แม่ครัวยอดเซียน - ตอนที่ 410 (2)
“น้องหญิงเจ้าไม่เป็นไรก็ดีแล้ว พวกเราฝึกบำเพ็ญสักหน่อยก็ได้ ถึงอย่างไรเสียเทพรัตติกาลนั่นก็กำลังเข้าฌาน จัดการทำลายแมลงกู่นั่นจะดีกว่า” ในใจลึกๆของหนานกงเวิ่นเทียน ก็รู้สึกเจ้าแมลงกู่นั่นอันตรายเกินไป เขายอมเสียเวลาเพื่อไม่ให้น้องหญิงปรุงยาดีกว่า
“ท่านพี่ ข้าไม่เป็นไรจริงๆ สบายใจได้ ข้าจำเป็นต้องปรุงยายาเทพศักดิ์สิทธิ์ พวกเราจะเสียเวลาเปล่าไม่ได้แล้ว ถ้าท่านพี่ไม่วางใจ ท่านพี่ดูข้าปรุงยาก็ได้” หลิวหลีเสนอวิธีไกล่เกลี่ยที่ดีต่อทั้งสองฝ่าย
“ก็ได้ ข้าจะดูอยู่ข้างๆ” หนานกงเวิ่นเทียนรู้ว่าหากหลิวหลีตัดสินใจจะปรุงยานี้ให้ได้แล้ว ก็จะไม่มีอะไรห้ามนางได้
คราวนี้หลิวหลีจัดการกับตัวกู่อย่างระมัดระวัง ทั้งยังเอาคืนโดยทำให้มันเจ็บปวดอยู่นานเพื่อระบายความแค้น เรื่องดวงจิตออกจากร่างไม่เท่าไรหรอก แต่ทำให้ท่านพี่ของนางต้องเป็นกังวล อภัยให้ไม่ได้
หลังจากจัดการเจ้าแมลงกู่เสร็จหลิวหลีก็เริ่มจัดการอย่างอื่น นางใช้เพลิงเทพทั้งหมดรวมกันเป็นหนึ่งเดียว ซึ่งตอนนี้ถือว่าเป็นเพลิงเทพที่แข็งแกร่งที่สุดของนาง เพียงแต่นางปรุงยาอย่างเชื่องช้า เพราะนางมีแมลงกู่เพียงตัวเดียวไม่มีตัวที่สองอีกแล้ว ถ้าปรุงเสียก็จะต้องเสียเวลาไปอีกนาน และยิ่งนานวัน การเปลี่ยนแปลงก็ยิ่งเร็วขึ้น ตัวนางเองไม่กล้ารับประกันว่าจะเกิดอะไรขึ้นบ้าง ที่นางระมัดระวังแบบนี้ถือเป็นสิ่งที่ถูกต้อง เพราะผลลัพธ์สุดท้ายเป็นที่น่ายินดียิ่ง หลิวหลีมองยาเทพศักดิ์สิทธิ์ 10 เม็ดที่สมบูรณ์แล้วรีบเก็บทันที หากกลิ่นอบอวลกระจายออกไปจะเกิดปัญหาได้ ดังนั้นระมัดระวังรอบคอบจะเป็นการดีที่สุด
“น้องหญิง นี่เสร็จเรียบร้อยแล้วหรือ” ใจหนานกงเวิ่นเทียนเองก็ตุ๊มๆต่อมๆ ตามการเคลื่อนไหวของหลิวหลี อย่างไรเสียยาเทพศักดิ์สิทธิ์ในครั้งนี้สำคัญสำหรับพวกเขามาก
“อืม เรียบร้อยแล้ว แค่รอทุกคนออกฌานมาแล้วค่อยกินยาพร้อมกัน” จากนั้นพอพลังมั่นคงแล้วค่อยบุกไปหา เวลาของพวกเขาค่อนข้างกระชั้นชิด นางรู้สึกว่าเทพรัตติกาลผู้นั้นคงไม่ให้เวลาพวกเขานานนักหรอก ดังนั้นพวกเขาจะช้าไม่ได้
“ทุกคนน่าจะซึมซับได้พอสมควรแล้ว น้องหญิงถึงแม้ยานั้นจะสุดยอดมากก็จริงแต่ก็คงไม่มากขนาดนั้นมั้ง” หนานกงเวิ่นเทียนกล่าว
“พวกเราออกฌานไปรอกันเถอะ” หลิวหลีเสนอ
“แต่น้องหญิง เจ้าฟื้นฟูร่างกายสักหน่อยเถอะ” เป็นครั้งแรกที่เขาเห็นน้องหญิงของเขาปรุงยาแล้วมีสีหน้าซีดเซียวแบบนี้ ปกติการปรุงยาเป็นเรื่องง่ายดายอย่างมากสำหรับนาง
“พอพูดไปแล้ว ข้าก็จำเป็นต้องเข้าฌานฟื้นฟูร่างกายจริงๆ” หลิวหลีเพิ่งรู้สึกว่าร่างกายตนเองรับไม่ไหวแล้ว เข้าฌานเพื่อฟื้นฟูร่างกายหน่อยดีกว่า
เมื่อมองดูหลิวหลีที่กำลังฟื้นฟูร่างกายอย่างจริงจัง หนานกงเวิ่นเทียนก็คิดถึงปัญหาข้อหนึ่งอยู่ มิน่าทุกคนถึงรู้สึกว่าน้องหญิงของเขาเปิดเผย ฉลาดปราดเปรื่อง เขาเองก็รู้สึกเช่นนี้เหมือนกัน เขามักจะรู้สึกว่าเขาแต่งงานกับคู่ครองบำเพ็ญที่เป็นผู้ชาย แต่เขาก็รู้สึกมีความสุขมากเช่นกัน มันคือความสุข น้องหญิงมีแค่เขา กระทั่งดวงจิตออกจากร่าง คนที่นางคิดถึงก็ยังเป็นเขา ดังนั้นไม่ว่าตำแหน่งนั้นจะเป็นอย่างไรเขาก็ต้องช่วยนางคว้ามันมา ใครก็ไม่มีสิทธิ์แย่งชิงไปจากนาง เมื่อมุ่งมั่นคิดได้เช่นนี้ หนานกงเวิ่นเทียนเองก็เข้าฌานเช่นกัน
“ออกฌานแล้ว จริงๆด้วย ยาที่นังหนูปรุงไม่ธรรมดาเลย เพียงแต่วิธีการกินยาน่ารำคาญใจอยู่บ้าง” อวิ๋นชิงรู้สึกได้ถึงการเปลี่ยนแปลงของพลัง พอใจมันก็พอใจอยู่หรอก เพียงแต่วิธีการใช้ยา ทำให้ตอนคิดถึงทรมานใจอยู่บ้าง
“พอได้แล้ว ย่อยหมดแล้ว ออกจากฌานได้แล้ว เหมือนที่นังหนูว่าไว้เลย แค่พวกเราพยายามสักหน่อยก็เป็นประมุขเทพได้แล้ว” เอ๋าเลี่ยรู้สึกได้ถึงการเปลี่ยนแปลงของพลังตนเอง พอนึกถึงหลิวหลีแล้ว มุมปากก็อมยิ้ม จริงๆเลย นังหนูนั่นทำให้รู้สึกพึ่งพาได้เหมือนเคย
“ขอบเขตพลังประมุขเทพมันเป็นความรู้สึกแบบนี้นี่เอง ยาที่ท่านพี่ปรุงไม่เลวเลยจริงๆ” เพียงแต่พอนึกถึงวิธีใช้ยา ทำให้เขาไม่อยากเป็นครั้งที่สอง
“พอจะช่วยพวกเขาได้แล้ว” อิงเสวี่ยรู้สึกได้ถึงการเปลี่ยนแปลงของพลังตนเอง ใช้ได้ดีทีเดียว
“ราชาเทพระดับสุดยอด จะช่วยท่านน้าหลิวหลีได้แล้ว” สองแฝดเอ่ยอย่างพร้อมเพรียงกัน
จวินหาวลืมตาขึ้น ตัวเองมีการพัฒนาขึ้นแต่ก็ยังขาดอยู่อีกหน่อย สวีโจวรู้สึกว่าเหมือนตนเองจะบรรลุขอบเขตราชาเทพระดับสุดยอดแล้ว เทพรัตติกาลนั่น ขอโทษด้วยจริงๆ ใครใช้ให้เขาเป็นผู้สืบทอดของเทพรัตติกาลล่ะ ในเมื่อมีสถานะเช่นนี้ เขาเองก็อยากครอบครองตำแหน่งนั้นเหมือนกัน
หลิวหลีเปิดตาขึ้น รู้สึกได้ถึงการเปลี่ยนแปลงในร่างกายตนเอง มีพลังเทพบางส่วนเปลี่ยนเป็นปราณผสม เข้าใกล้มากขึ้นอีกแล้ว แต่จะเข้าฌานต่ออีกไม่ได้ คาดว่าทุกคนคงออกฌานกันหมดแล้ว
“ท่านพี่พวกเราไปกันเถอะ ทุกคนน่าจะออกฌานกันหมดแล้ว” หลิวหลีเอ่ย
พอทั้งคู่ออกไปก็เห็นคนนั้งอยู่เต็มบ้านตนเองจริงๆ
“นังหนู ไม่ใช่ว่าพวกเจ้าสองคนไปสานสัมพันธ์รักกันมาอีกหรอกนะ” เอ๋าเลี่ยกระเซ้า หนานกงเวิ่นเทียนทำท่าทางเย็นชากว่าเดิม หลิวหลีกุมหน้าผาก ครั้งนี้นางไม่ได้ทำจริง ๆนะ
“เจ้าคิดมากไปแล้ว”
“เป็นแบบนั้นหรือ นังหนู พวกเราออกฌานกันหมดแล้ว แล้วเป็นเทพประมุขเลยนะ” เอ๋าเลี่ยโอ้อวด
“เห็นแล้ว วางใจเถอะ ตาข้าไม่ได้บอด” หลิวหลีกลอกตาใส่เอ๋าเลี่ย ลำพองใจอะไร
“ท่านน้าหลิวหลี อีกนิดเดียวพวกเราก็จะบรรลุขอบเขตเทพประมุขแล้ว” สองแฝดเศร้าใจอยู่บ้าง พวกเขานึกว่าการบำเพ็ญเพียรของเขาถือว่าว่องไวมากแล้ว แต่ก็ถูกท่านพ่อของเขานำหน้าไปแล้ว ทำให้พวกเขาไม่พอใจนัก
“ปิงเซียวกับเหลยรุ่ยเก่งมากเลย ท่านพ่อของพวกเจ้าสู้พวกเจ้าไม่ได้หรอก แต่เป็นเพราะเขากินยาเข้าไปน่ะ” หลิวหลีเปิดโปงเอ๋าเลี่ยอย่างไม่เกรงใจ ถ้าเป็นจริงแล้วมันจะอย่างไร ไม่แน่ว่ายังเทียบเจ้าเด็กสองคนไม่ได้เลยด้วยซ้ำ น่าอายไหมล่ะ หลิวหลีส่งสายตาดูแคลนไปให้ ทำเอาเส้นเลือดบนหน้าผากเอ๋าเลี่ยปูดโปนเต้นตุบๆ นังหนูแฉเขาเสียแล้ว จะให้เขาได้เล่นสนุกหน่อยไม่ได้หรือไง ทำให้ความน่าเคารพของความเป็นพ่อของเขาพังทลายต่อหน้าบุตรชาย
“อย่างนั้นหรือ ข้าก็ว่าทำไมท่านพ่อถึงเก่งกาจขึ้นมามากมายขนาดนี้ได้อย่างกระทันหัน ท่านน้าหลิวหลี พวกเราขอกินบ้างได้ไหม” ปิงเซียวเอ่ย
“นั่นสิ น้าหลิวหลี พวกเราเองก็อยากบรรลุขอบเขตประมุขเทพเหมือนกัน” เหลยรุ่ยเสริม แล้วมองหลิวหลีด้วยท่าทางน่าสงสาร
“ไม่ได้ เป็นเด็กเป็นเล็กจะกินยาเทพศักดิ์สิทธิ์อะไรกัน” หลิวหลีปฏิเสธโดยไม่ลังเล
“แต่ข้ามีของดีให้พวกเจ้า พวกเจ้าเลือกสถานที่เข้าฌานไว้ล่ะ” หลิวหลีเอ่ยด้วยท่าทีลึกลับ
“นังหนู หรือว่าเจ้าปรุงยานั่นเสร็จแล้ว” ในใจของอวิ๋นชิงเต้นระส่ำ สมแล้วที่เป็นยอดอัจฉริยะ คิดไม่ถึงว่าจะทำสำเร็จแล้ว มีอะไรที่นังหนูทำไม่ได้บ้างนะ
“ใช่แล้ว พวกเจ้าเปิดฝาขวดออกแล้วรีบกินเข้าไป อย่าให้กลิ่นของยาลอยออกมาล่ะ ไม่เช่นนั้นจะเกิดอะไรขึ้นข้าเองก็ไม่รู้เหมือนกัน” หลิวหลีเอ่ยด้วยท่าทางเข้มงวด
“รับทราบ” นี่เป็นยาเทพศักดิ์สิทธิ์ที่แม้แต่เทพที่แท้จริงยังต้องใจสั่น พวกเขาจะไม่ล่วงรู้ถึงภัยอันตรายได้อย่างไร
แล้วจึงแจกจ่ายยากันออกไป จากนั้นทั้งสองคนเรียกจวินหาวและสวีโจวมาและให้ทั้งคู่ตัดสินใจเอง
พวกเขาสองคนกลืนน้ำลาย มียาเทพศักดิ์สิทธิ์ที่มหัศจรรย์เช่นนี้อยู่จริงหรือ มือของพวกเขาสั่นเล็กน้อย พอขบคิดดูก็อดกลั้นต่อสิ่งเย้ายวนนี้ไม่ได้
“ประมุขเทพอัคคี ท่านว่ามาเถิดว่าต้องการให้พวกข้าทำสิ่งใด บนโลกนี้ไม่มีของฟรีอยู่แล้ว” จวินหาวกล่าว
“มีเรื่องที่ต้องการให้พวกเจ้าทำจริงๆนั่นแหละ หลังจากดูดซับยาเม็ดนี้แล้ว ข้ามีเรื่องใหญ่ให้พวกเจ้าทำ จากนี้ไปพวกเจ้าต้องร่วมมือกับข้าไปคว้าตำแหน่งเทพที่แท้จริงมาให้ได้ พวกเจ้ากล้าหรือเปล่า?” หลิวหลีถาม
“เทพที่แท้จริงหรือ” ทั้งสองคนกลืนน้ำลายเฮือกใหญ่ พวกเขาเกิดอาการลังเลอยู่บ้าง รู้สึกว่าตอนนี้ยังไม่มีความสามารถถึงขนาดนั้น ทำไมถึงต้องการให้พวกเขาทำเรื่องนี้นะ
“ใช่ ไปกับพวกข้า” หลิวหลีพยักหน้าพร้อมเอ่ย
“ศิษย์พี่หลง พวกท่านเองก็จะไปช่วงชิงตำแหน่งเทพที่แท้จริงเหมือนกันหรือ” สวีโจวรู้สึกเหลือเชื่อ
“อืม เพราะมีเวลาไม่มากแล้ว การไปเปิดประตูของตำหนักเทพที่แท้จริงเป็นเพียงทางเลือกหนึ่งเดียวของข้า” หลิวหลีกล่าว
“ถึงแม้ข้าจะไม่รู้ว่ามันคือเรื่องอะไรแน่ แต่ศิษย์พี่หลงมีบุญคุณกับข้า แล้วยังเอายาล้ำค่านี้ให้ข้าเพื่อเพิ่มโอกาสให้ข้าอีก ข้ายินดี” สวีโจวสูดหายใจเข้าลึกแล้วคว้ายาเทพศักดิ์สิทธิ์นั้นมา แล้วตัดสินใจวางเดิมพัน แล้วตัวเขาเองนั้นก็ค่อนข้างอันตราย เพราะในขณะที่เทพรัตติกาลยังอยู่ในตำแหน่งแล้ว แล้วมีคนแบบเขาโผล่มา แต่จะบอกว่าเขาไม่มีทะเยอทะยานเลยก็เป็นไปไม่ได้ เมื่อก่อนเป็นเพราะไม่รู้ แต่ตอนนี้รู้แล้ว ต่อให้ร่างต้องแหลกสลายเขาก็จะลองสู้สักตั้ง
“ในเมื่อเป็นเช่นนี้แล้ว ข้าก็ขอสู้ตาย ข้าเชื่อว่าประมุขเทพอัคคีคงไม่ทำร้ายพวกเราหรอก” จวินหาวถอนหายใจและตัดสินใจว่าจะเอาด้วย เขารู้สึกว่าหากเขาร่วมมือกับหลิวหลีเขาจะสำเร็จ ดังนั้นเขาจึงขอสู้ตายด้วย
“ดีมาก ถ้าอย่างนั้นตอนที่พวกเจ้ากินยาเข้าไป ห้ามลังเลเด็ดขาด จะให้ดีที่สุดเทเข้าปากไปเลย อย่าให้กลิ่นของยาลอยออกมา ไม่เช่นนั้นพวกเราจะต้องเจอกับอันตรายใดบ้าง ข้าไม่กล้ารับประกัน” หลิวหลีกำชับอย่างจริงจัง
“ทราบแล้วศิษย์พี่หลง” สวีโจวเอ่ยพร้อมพยักหน้า
“เข้าใจแล้ว” จวินหาวพยักหน้า
…………………………………………………