แม่ครัวยอดเซียน - ตอนที่ 413
“ในที่สุดก็ปรากฏตัวแล้ว จนปล่อยวางความทะเยอะทะยานในใจของพวกเราได้แล้ว แต่เทพรัตติกาลยังไม่เข้าใจ ทำไมเขาถึงประสบความสำเร็จได้” เทพพสุธาถอนหายใจ
“ไม่ใช่ไม่เข้าใจ แต่ไม่อยากยอมรับต่างหาก” เทพวายุเอ่ยพลางส่ายหน้า
“ตอนนี้ผู้สืบทอดของมหาเทพสูงสุดปรากฏตัวแล้ว คิดไม่ถึงว่าจะปรากฏตัวขึ้นแล้วจริงๆ” เทพพสุธามองตำหนักเทพอัคคีที่ปิดสนิทอย่างไร้สติ
“ข้ารู้สึกว่าเยี่ยโยวหวงช่างน่าขันสิ้นดี ทั้งๆที่อยากจะฆ่าอีกฝ่าย ทำลายเมล็ดพันธุ์แห่งเทพของอีกฝ่าย แต่กลับเป็นการช่วยให้ได้สร้างเมล็ดใหม่หลังจากเมล็ดเก่าแตกแล้วแล้วมีคุณสมบัติครบถ้วนไปเสียได้” เทพวายุเหน็บแนม
เมื่อหลิวหลีเหยียบเข้าตำหนักเทพอัคคี ไฟก็ถูกจุดขึ้น ความสว่างไสวนั้น ทำให้ทุกสิ่งในครรลองสายตาสว่างวาบทันที
“คิดไม่ถึงว่าจะเป็นนังหนูตัวยุ่งนี่ ข้าเป็นถึงเทพอัคคี ประพฤติตัวอยู่ในครรลองคลองธรรม แต่สุดท้ายกลับตกอับจนอยู่ในขั้นที่ต้องยอมให้เด็กน้อยมารับตำแหน่งข้า”
“พูดจบแล้วหรือยัง บอกเงื่อนไขของท่านมา ข้าน้อยไร้ความสามารถ การได้สืบทอดตำแหน่งเทพของท่านนั้น ก็เดาไปว่าข้าคงมีความสามารถอยู่บ้าง” หลิวหลีพูดตัดบท คำพูดบ่นเรื่อยเปื่อยไม่หยุด เป็นเด็กแล้วมันจะอย่างไร
“น่าสนใจนี่ สีผม สีดวงตาของเจ้า” เทพอัคคีประหลาดใจกับสิ่งที่เห็น ให้ตายเถอะ นี่มันเด็กที่ไหน เป็นสตรีผู้ยิ่งใหญ่ชัดๆ
“ดังนั้นท่านก็เห็นแล้ว ข้ายุ่งมาก” หลิวหลีเอ่ย ใช้มือเสยผมยาวสลวย แสงประกายสีรุ้งที่ทอออกมานั้นสว่างแสบตา จนเทพอัคคีรู้สึกว่าตาของเขาใกล้จะบอดแล้ว นี่เขากำลังเชิญหน้ากับพระโพธิสัตว์ที่ไหนมาแน่ หากไม่ใช่เพราะเขาเหลือสภาพเท่านี้ เขาก็คงจะเหงื่อตก
“ใช่ ข้ารู้แล้ว แต่ถึงจะเป็นเช่นนี้ ข้าก็ไม่ยอมแพ้หรอก” เหตุใดอารามน้อยๆแห่งนี้ของเขาถึงต้องต้อนรับคนยิ่งใหญ่เช่นนี้ ชวนให้ใจสลายจริงๆ
“เริ่มกันเลยเถอะ อยู่ๆท่านก็รู้สึกว่าข้าเหมาะสมมากใช่ไหม” หลิวหลีกระพริบตา
“เนตรมนตร์ลวงของเจ้าใช้ไม่ได้ผลกับข้า” เงาอัคคีเหงื่อไหล ทำไมนังหนูคนนี้ถึงได้โหดร้ายแบบนี้ กระทั่งเงาก็ยังไม่ปล่อยผ่าน เหนื่อยใจ
“ข้าสะกดเพลิงเทพในร่างเจ้าแล้ว หากเจ้าเดินผ่านทะเลเพลิงตรงหน้าได้ ก็จะถือว่าเจ้าชนะ” เมื่อเงาพูดจบ ตรงหน้าก็แปรเปลี่ยนเป็นทะเลเพลิงที่ไร้ที่สิ้นสุด
หลิวหลีเดินเข้าไปโดยไม่เงยหน้าขึ้นเลยสักนิด จนเงารู้สึกว่านังหนูคนนี้โอหังจริงๆ แล้วก็เกิดเหตุการณ์ที่ทำให้เขาอ้าปากค้าง เมื่อทะเลเพลิงแยกออกจากกัน ดวงจิตอัคคีของผู้สืบทอดตำแหน่งเทพอัคคีปรากฏขึ้น รอให้หลิวหลีมาหยิบไป
“เหมือนลำดับขั้นตอนจะไม่ถูกเท่าไหร่” เงาอยากปาดเหงื่อจริงๆ เป็นปีศาจโผล่มาจากไหนกันถึงได้รับการยอมรับจากเทพอัคคีอย่างรวดเร็ว แต่กลับไม่รู้เลยว่าเมล็ดพันธุ์ในร่างกายหลิวหลีได้สร้างขึ้นใหม่แล้วหลังจากที่แตกไป ปราณในร่างกายมากกว่าครึ่งก็กลายเป็นปราณผสม มหาเทพสูงสุดเป็นผู้นำของเหล่าทวยเทพ อย่างไรก็ต้องยอมศิโรราบแก่นาง
เงามองหลิวหลีเดินไปถึงจิตอัคคีอย่างสบายๆ หยิบมันขึ้นมาและกลืนเข้าไปในคำเดียว ปราณอัคคีเข้มข้นกลายเป็นแสงสีแดง ขับตัวหลิวหลีให้เด่นขึ้นราวกับฝังสีแดงเข้าไปหนึ่งชั้น ส่องแสงละลานตาอย่างมาก
“ช่างเถอะๆ เจตนารมณ์ของสวรรค์เป็นเช่นนี้ ภารกิจของข้าก็นับว่าเสร็จสิ้นแล้ว” เขาสร้างด่านทุกชนิดแล้ว ไม่ว่าจะทำอะไร ก็ทำอะไรคนตรงหน้าที่ไม่รู้จักเหน็ด ไม่รู้จักเหนื่อย แถมยังถูกกลิ่นอายผสมของนางเขย่าประสาท สุดท้ายจึงยอมมอบดวงจิตอัคคีที่เป็นสิ่งสำคัญที่สุดของตำหนักเทพอัคคีให้ไป เจ้าพวกนี้ไม่คิดจะทดสอบนายคนใหม่ที่เพิ่งได้รับตำแหน่ง คิดไม่ถึงว่าจะยอมแพ้แบบนี้
หลิวหลีรู้สึกว่าพลังอัคคีเข้มข้นดูเหมือนจะเปลี่ยนแปลงไปตามความคิดของตนเอง ตนอยากให้พวกมันทำอะไร พวกมันก็จะทำตาม นี่คือการควบคุม
ทุกคนมองไปบนยอดเขาอย่างคาดหวัง ตำหนักที่เป็นตัวแทนของเทพอัคคีส่องแสงสีแดง ทุกคนเข้าใจทันทีว่าเทพอัคคีคนใหม่ได้ถือกำเนิดขึ้นแล้ว อีกทั้งทุกคนต่างรู้ดีว่าเป็นใคร นอกจากหลิวหลีก็ไม่มีคนอื่น
หลิวหลีมองดูรูปเปลวเพลิงบนหน้าผาก ที่ทำให้ตนดูมีเสน่ห์มากขึ้น นางได้ตำแหน่งเทพอัคคีมาครองแล้ว
“นังหนู ดีใจด้วยที่เจ้าได้กลายเป็นเทพอัคคีแล้ว ข้าหวังว่าเจ้าจะใช้พลังนี้ให้ดี ไฟเป็นตัวแทนของธรรมะ อย่าได้มีจิตใจชั่วร้าย” เงากล่าวเตือน แต่เมื่อเห็นเรือนผมที่ส่องประกายของนาง เอาเถอะ ดูเหมือนเขาจะพูดจาไร้สาระ คนมีจิตใจชั่วร้ายจะถูกเลือกเป็นผู้สืบทอดของมหาเทพสูงสุดได้อย่างไร
“ขอบคุณผู้อาวุโสมาก” เงาคิดไม่ถึงว่าจะได้รับการโค้งคำนับด้วยความเคารพจากหลิวหลี
“นังหนู เจ้าใช้ได้นี่” เงาพูดจบก็หายตัวไป
ส่วนคนที่เหลือไม่ได้ราบรื่นเหมือนหลิวหลี หนานกงเวิ่นเทียนเลือกตำหนักเทพเหมันต์ เทพเหมันต์คนก่อนเป็นเทพผู้หญิง จึงไม่ค่อยชอบใจนักที่ผู้สืบทอดของตนเป็นผู้ชาย ทั้งที่คนผู้นี้เป็นผู้สืบทอดที่มีสติปัญญาและคุณสมบัติที่ดีที่สุดที่เคยมีมา แต่ทำไมต้องเป็นผู้ชาย ส่วนเอ๋าเลี่ยฟังคำแนะนำของหลิวหลีเลือกตำหนักเทพสงครามที่อยู่ระหว่างตำหนักเทพสุวรรณกับตำหนักเทพอัคคี แม้ว่าอิงเสวี่ยจะเป็นหงส์เหมันต์ แต่ไม่อยากแย่งชิงตำแหน่งเทพเหมันต์กับหนานกงเวิ่นเทียน จึงเลือกตำหนักเทพน้ำค้างแข็งที่อยู่ระหว่างตำหนักเทพวารีกับตำหนักเทพเหมันต์ ส่วนฝาแฝดจถูกใจตำหนักเทพวารี จื่อฉีตัดสินใจจะครอบครองตำแหน่งเทพอัสนีให้ได้ ส่วนอวิ๋นชิงสูดหายใจลึกแล้วเลือกตำหนักเทพพฤกษา จวินหาวตรงเข้าไปในตำหนักเทพมารที่อยู่ระหว่างตำหนักเทพรัตติกาลและตำหนักเทพอัสนี ฟากสวีโจวได้แต่มองดูตำหนักที่คอยเฝ้ามองตรงหน้าด้วยสีหน้าสับสน ตอนนี้อยู่ใกล้เขาแค่นี้แล้ว เขาสูดหายใจเข้าปอดลึกแลัวจึงดันประตูเข้าไป
“เมื่อครู่ข้าเห็นว่ามีคนเข้าไปในตำหนักเทพรัตติกาล” เทพวายุพูดด้วยน้ำเสียงเหลือเชื่อ เทพรัตติกาลยังอยู่ แต่กลับมีผู้สืบทอดตำแหน่งแล้ว นี่เป็นการตบหน้าอย่างแรงจนพวกเขารู้สึกเจ็บหน้าแทนอีกฝ่าย
“นี่เป็นเพราะผู้คุมกฎสวรรค์ก็ไม่พอใจกับวิธีการของเทพรัตติกาล” เทพพสุธาพึมพำ
“หากตาข้าไม่ได้เบลอ มีคนเข้าไปในตำหนักเทพรัตติกาล มีเทพรัตติกาลอยู่แล้วไม่ใช่หรือ” เหลยหยางชะงักไป นี่มันไม่สมเหตุสมผลนัก
“เทพรัตติกาลก่อเรื่องเลวร้ายอะไร ถึงได้มีผู้สืบทอดปรากฏตัวขึ้นมา” อวิ๋นเหมี่ยวรู้สึกตกตะลึง
“ดังนั้นการได้สืบทอดตำแหน่งเทพแล้วไม่ได้แปลว่าจะยิ่งใหญ่ตลอดไป หากจิตใจชั่วร้าย ผู้คุมกฎสวรรค์ย่อมจัดการ” อวิ๋นเหมี่ยวพูดต่อ
“ใช่” เหลยหยางเห็นด้วยกับความคิดเห็นนี้
ยังมีอีกสองคนที่รู้สึกเหลือเชื่อ เจียงไหวหน้าซีดราวกับตายไปแล้ว ขุนเขาที่ยิ่งใหญ่แข็งแกร่งที่เขาคิดว่าไม่มีทางสั่นคลอน คิดไม่ถึงว่าตอนนี้กลับสั่นคลอนแล้ว แถมยังเข้าแทนที่เขาได้ทุกเมื่อ ด้านเหยียนซวี่มีสีหน้าโล่งอกราวกับยกภูเขาออกจากอก ในที่สุดเขาก็หลุดพ้นได้แล้วใช่ไหม
หนานกงเวิ่นเทียนกำลังอยู่ในการทดสอบเทพเหมันต์ด้วยใบหน้าไม่เปลี่ยนสีด้วยซ้ำ จนเงาเทพเหมันต์ชื่นชมเขา แต่ก็ยังยอมรับไม่ได้ที่ตำแหน่งเทพเหมันต์ของนางจะต้องถูกสืบทอดโดยผู้ชาย ดังนั้นจึงเพิ่มความยากเข้าไปให้มาก และทุกปัจจัยที่อาจกลายเป็นจิตมารของหนานกงเวิ่นเทียนก็ปรากฏขึ้นเรื่อยๆ ผลคือเขาชะงักฝีเท้าเพียงเล็กน้อย ก่อนจะเดินเข้าไปอย่างไม่ลังเล
“ได้ยินมาว่าพวกเจ้าสองสามีภรรยารักกันมาก เจ้ารักและหวงแหนนางมาก แต่ทำไมเมื่อเห็นภาพนี้ คิดไม่ถึงว่าเจ้าจะยืนนิ่งแบบนี้” เงาเทพเหมันต์ถามด้วยความไม่เข้าใจ
“ฮูหยินองข้ากำลังเข้ารับบททดสอบของเทพอัคคีอยู่ นางต้องทำสำเร็จ และข้าก็ต้องทำให้สำเร็จเช่นกัน” หนานกงเวิ่นเทียนพูดอย่างหนักแน่น
“ดีมาก ยินดีด้วย เจ้าผ่านแล้ว เจ้ากลายเป็นเทพเหมันต์คนใหม่” เงาเทพเหมันต์รู้สึกว่า คนผู้นี้นอกจากเรื่องเป็นผู้บำเพ็ญเพียรชายที่เป็นไม่ค่อยน่าพอใจนัก แต่เรื่องอื่นๆก็เป็นที่น่าพอใจ เงาเทพเหมันต์เข้าใจทันที เป็นชายเป็นหญิงแล้วเกี่ยวอะไร เงาเทพเหมันต์มอบดวงจิตเหมันต์ออกมา หนานกงเวิ่นเทียนเอ่ยขอบคุณอย่างนอบน้อมพลางรับดวงจิตนั้นมา เขาทำสำเร็จแล้ว
ส่วนอวิ๋นชิงจำลองสถานการณ์ต่างๆมากมายเกี่ยวกับการสืบทอดตำแหน่งเทพพฤกษาของตน แต่ไม่เคยคิดเลยว่าจะเป็นการทดสอบความสามารถต่างๆ ซึ่งจะเป็นผู้สืบทอดนั้นต้องผ่านด่านทุกชนิด เทพพฤกษาคนก่อนเป็นเทพผู้หญิง แต่นางไม่สนใจว่าผู้สืบทอดจะเป็นชายหรือหญิง ประเด็นสำคัญก็คือดูว่าผู้สืบทอดจะเข้าใจคุณค่าของต้นไม้ถึงขั้นไหน เพียงแค่บรรลุถึงจุดประสงค์ของนาง นางก็จะมอบดวงจิตพฤกษาให้ และเทพพฤกษาคนก่อนพอใจในตัวอวิ๋นชิงมากอย่างเห็นได้ชัด
“ไม่เลวเลย ไม่ว่าจะเจ้าไปอยู่ที่ไหนก็ล้วนมีจิตใจที่กว้างขวางอารีย์ เรื่องนี้ดีมาก ต้นไม้คือความโอบอ้อมอารีย์ ซึ่งเจ้าเข้าใจได้อย่างลึกซึ้งข้ามอบดวงจิตพฤกษาให้เจ้า ข้าสบายใจมาก” พอเทพพฤกษาคนก่อนพูดจบก็หายตัวไป อวิ๋นชิงประคองดวงจิตพฤกษาไว้ในมือที่สั่นน้อยๆ นี่หมายความว่ายอมรับเขาแล้ว
เอ๋าเลี่ยลงมือสังหารครั้งแล้วครั้งเล่า ร่างกายราวกับเป็นเครื่องจักรสังหารก็ไม่ปาน ทั้งตัวเต็มไปด้วยเลือดที่ไม่รู้ว่าเป็นของเขาหรือของคนที่เขาฆ่าไป ดวงตาว่างเปล่าราวกับเป็นเครื่องจักรสังหาร เงาเทพสงครามถอนหายใจ ตอนแรกคิดว่าเป็นเมล็ดพันธ์ุที่ดี สุดท้ายก็ถูกการจิตสังการครอบงำจิตใจ คิดจะสืบทอดตำแหน่งของเขา ไม่ง่ายหรอกนะ
ทันใดนั้นการกระทำของเอ๋าเลี่ยก็หยุดลงทันทีและพุ่งเป้าหมายไปที่เงาเทพสงคราม แล้วเริ่มโจมตี
“หืม? น่าสนใจนี่” เงาของเทพสงครามพึงพอใจ คนผู้นี้ใช้ได้ทีเดียว
ผ่านไปนาน กว่าเอ๋าเลี่ยกับเงาเทพสงครามก็แยกจากกัน
“เจ้าหนุ่ม เจ้าถือกำเนิดมาเพื่อสู้รบ สิ่งนี้คือดวงจิตสงคราม มันเป็นของเจ้าแล้ว ในฐานะที่เป็นเทพสงคราม จำไว้ว่าเจ้าห้ามฆ่าผู้ที่ช่วยเหลือเจ้า” เงาเทพสงครามพูดจบก็หายตัวไป
“ขอบคุณผู้อาวุโสมาก” เอ๋าเลี่ยประคองดวงจิตสงครามในมือ
…………………………………….