แม่ครัวยอดเซียน - ตอนที่ 414
“พวกเจ้าสองคนน่าสนใจดี แฝดจากจากไข่ใบเดียวกัน หายากๆพวกเจ้าตัดสินใจจะต่างคนต่างสืบทอดตำแหน่งเทพวารีของข้า หรือจะรับตำแหน่งด้วยกัน” เงาเทพวารีมองเด็กหนุ่มคู่นี้อย่างสนอกสนใจ
“ต้องด้วยกันอยู่แล้ว” ทั้งสองประสานเสียง
“พวกเจ้าสองคน คนหนึ่งเป็นมังกรเหมันต์ คนหนึ่งเป็นหงส์อัสนี ตำหนักข้าไม่เหมาะสมกับพวกเจ้า เหตุใดถึงเลือกที่นี่” เงาเทพวารีถามอย่างสนใจ
“ธาตุของพวกข้าสองคนเกี่ยวข้องกับน้ำ ทำไมพวกข้าจะเลือกตำหนักเทพวารีไม่ได้ล่ะ” ปิงเซียวย้อนถาม
“น้าเขยของข้าเป็นผู้สืบทอดตำแหน่งเทพเหมันต์ ท่านลุงของพวกข้าเป็นผู้สืบทอดตำแหน่งเทพอัสนี พวกข้าย่อมไม่ยอมถูกทิ้งไว้ข้างหลังอยู่แล้ว อีกอย่างตัวข้าคนเดียวมั่นใจว่าคงทำไม่ได้ แต่หากเป็นพวกข้าพี่น้องร่วมมือกันก็ไม่แน่” เหลยรุ่ยอธิบาย พอประโยคสุดท้ายอย่างเชื่อมั่น
“ครอบครัวของพวกเจ้าช่างน่าสนใจ น่าเสียดาย ข้ามีเพียงตำแหน่งเดียว ไม่อาจมีผู้สืบทอด 2 คนได้ พวกเจ้าไปเสียเถอะ พวกเจ้าอายุยังน้อย ยังมีโอกาส” เงาเทพวารีพูดอย่างเสียดาย
“ใครบอกว่าไม่สามารถสืบทอดตำแหน่งสองคนได้ พวกเราแยกกันเป็นสองคน แต่พอรวมร่างกันก็นับเป็นคนเพียงคนเดียว” ฝาแฝดพูดด้วยน้ำเสียงและจังหวะจะโคนเดียวกัน ประสานเสียงด้วยท่าทีเหมือนกันไม่มีผิดเพี้ยน หากไม่ได้ยินเสียงซ้ำก็จะเหมือนเป็นเสียงของคนเพียงคนเดียว เงาเทพวารีเห็นก็ตกตะลึง ทำแบบนี้ก็ได้ด้วยหรือ
“ผู้อาวุโส ข้าก็บอกแล้ว ว่าพวกข้าเป็นพี่น้องฝาแฝดจากไข่ใบเดียวกัน จะไม่พิเศษสักนิดเลยได้อย่างไร” ทั้งสองพูดพร้อมกันอีกครั้ง หากไม่ใช่เพราะตาคนละสี เงาเทพวารีก็คงรู้สึกเหมือนตนเองเห็นภาพหลอน
“น่าสนใจจริงๆ หากพวกเจ้ายืนยันจะทำเช่นนั้น เช่นนั้นก็ขอให้พวกเจ้าสู้ๆแล้วกัน”เงาเทพวารีกล่าว
“ขอบคุณผู้อาวุโส” ปิงเซียวตอบ
“ผู้อาวุโส ท่านวางใจได้ พวกเราจะตั้งใจ จะไม่ให้ตำแหน่งเทพวารีของท่านต้องเสียเกียรติ” เหลยรุ่ยพูด
เงาเทพวารีประหลาดใจ กลับมาเป็นสองคนอีกแล้ว น่าสนุกจริงๆ น่าเสียดายที่ตนเป็นเพียงเงา ไม่สามารถออกไปข้างนอกได้ ไม่อย่างนั้นก็อยากจะเจอคนในครอบครัวที่แสนประหลาดนี้ คิดไม่ถึงว่าจะยกทั้งครอบครัวมาชิงตำแหน่งเทพ นับว่าหาได้ยากนัก
ฝาแฝดมองเงาที่หายตัวกลายเป็นสายน้ำที่ไร้จุดจบ ปิงเซียวปล่อยพลังเหมันต์ออกมาแช่แข็งฝ่ายตรงข้าม ทั้งคู่ใช้ทุกวิถีทางแต่ก็ยังไม่มีประโยชน์ พวกเขาใจร้อนอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ แต่พวกเขาตัดสินใจกันเป็นอย่างดีก่อนจะตัดสินใจเลือกตำแหน่งเทพวารี และยังเป็นพวกเขาสองพี่น้องร่วมมือกันด้วย หากไม่สำเร็จจะไม่ได้เจอท่านน้าหลิวหลี ไม่ได้! ทั้งสองคำรามออกมาพร้อมกัน แปลงร่างกลายเป็นร่างเดิม รวมร่าง
“ทำแบบนี้ก็ได้ด้วย” เงาเทพวารีรู้สึกว่าจิตใจที่นิ่งสงบไม่หวั่นไหวของเขา ปั่นป่วนเพราะเจ้าเด็กตรงหน้า แล้วเห็นมังกรบินตัวใหญ่ยักษ์ นี่คือร่างที่ทั้งสองคนรวมกันเป็นหนึ่ง พอเป็นแบบนี้ก็ไม่รู้ว่าจะนับอย่างไรดี จะบอกว่าหนึ่งคนก็ได้ บอกสองคนก็ได้เหมือนกัน
“เหลยรุ่ย ทำแบบนี้ไม่ได้ ตำแหน่งที่พวกเราต้องสืบทอดคือตำแหน่งเทพวารี ต้องลึกซึ้งเข้าใจสายน้ำ ไม่อย่างนั้นพวกเราต้องต่อสู้อยู่ในการศึกที่ไม่มีวันจบ”เสียงของปิงเซียวดังออกมาจากปากของมังกรบิน
“ข้าเข้าใจแล้ว ปิงเซียว พวกเรามาบรรลุมันไปด้วยกัน” เหลยรุ่ยเอ่ย ทั้งสองยังคงอยู่ในสภาพมังกรบินลอยอยู่เหนือสายน้ำแล้วเริ่มพยายามบรรลุเพื่อรู้แจ้งทุกหนทาง มองดูความพริ้วไหวของสายน้ำ แต่กลับโอบอุ้มทุกสรรพสิ่งบนโลก ทันใดนั้นมังกรบินก็หายไปและปรากฎตัวจึ้นเป็นคน 2 คน แต่จู่ๆพวกเขาก็ลืมตาขึ้น นัยต์ตานิ่งสงบ ทันใดนั้นเอง บนผิวน้ำเกิดรอยกระเพื่อมไหว ดวงจิตวารีลอยขึ้นมาเหนือผิวน้ำ สองพี่น้องยื่นมือมาจับกันไว้แน่น แล้วดวงจิตวารีลอยเข้าไปในร่างสองพี่น้อง ในที่สุดก็ทำสำเร็จแล้ว
“ในเมื่อดวงจิตวารียอมรับพวกเจ้า เช่นนั้นพวกเจ้าคือเทพวารีคนใหม่แล้ว จำไว้ว่าคนเราจ้องมีจิตใจที่ดี” เงาเทพวารีพูดจบก็หายไป
“ขอบคุณผู้อาวุโสมาก” ทั้งสองประสานเสียง
จื่อฉีหลบตาข่ายอัสนี เขามาผิดตำหนักแล้วหรือเปล่า จริงๆแล้วที่นี่คือตำหนักเทพสงครามหรือ
“เจ้าหนุ่ม อยากสืบทอดตำแหน่งเทพอัสนีของข้าก็ต้องผ่านสิ่งเหล่านี้มาให้ได้” จื่อฉีนึกย้อนคำพูดมุทะลุตรงไปตรงมาของเทพอัสนี เทพที่แท้จริงคนนี้ก่อนตายคงจะเป็นชายหนุ่มที่ตรงไปตรงมาแน่ แต่ตาข่ายอัสนีออกจะถี่แน่นไปหน่อยแล้ว แต่จื่อฉีกัดฟันกรอด ในเมื่อเขาอยากจะสืบทอดตำแหน่งเทพอัสนี ไม่ลำบากแม้แต่น้อยจะได้อย่างไร ไหนเลยจะราบรื่นได้เช่นนั้น เหลยรุ่ยอุตส่าห์ถอดใจในสิ่งที่เขาถนัดที่สุดเพื่อตนเอง ดังนั้นจะยอมแพ้ไม่ได้เด็ดขาด จื่อฉีกัดฟันแล้วส่งเสียงคำราม เขาเป็นถึงน้องชายของหลงหลิวหลีผู้เก่งกาจที่สุดในใต้หล้า จะมายอมแพ้เช่นนี้ได้อย่างไร ก้แค่ผ่านมันไปให้ได้ไม่ใช่หรือ เขาไม่กลัวหรอกแล้วจึงกลับไปร่างเดิม เขาฝืนดูดซึมตาข่ายอัสนีกัมปนาททั้งหมดเข้าไปในร่างกาย แล้วฉีกทึ้งอย่างรุนแรง จื่อฉีกัดฟันฝืน เขาไม่เชื่อว่าตนเองจะเอาชนะของไร้ชีวิตวิญญาณนี้ไม่ได้ รอให้เขาสืบทอดตำแหน่งเทพอัสนีก่อนเถอะ เขาจะต้องใช้พวกเขาอย่างเต็มที่ พวกเขาเป็นสิ่งมีชีวิตที่แข็งแกร่งที่สุดในโลก และเที่ยงตรงที่สุด เขาก็มีชีวิตเช่นนี้ ทันใดนั้นเองตาข่ายอัสนีกัมปนาทในร่างเขาก็เกิดการเปลี่ยนแปลง สุดท้ายก็หดเล็กลงกลายเป็นหินอัสนี
“เจ้าหนุ่ม ยินดีด้วย หินอัสนีเป็นของเจ้าแล้ว จดจำคำพูดในวันนี้ของเจ้าเอาไว้ จงปฏิบัติตัวในครรลองคลองธรรม” เงาเทพอัสนีพูดจบก็หายตัวไป
“ขอบคุณผู้อาวุโส” จื่อฉีเอ่ยอย่างจริงใจ
“มาดูเร็ว ตำหนักเทพเหมันต์ส่องแสงแล้ว ตำหนักเทพวารีก็ส่องสว่างเช่นกัน ตำหนักนั้นคือตำหนักเทพพฤกษา แล้วยังมีตำหนักเทพสงครามตรงนั้นอีก นั่นตำหนักเทพอัสนี ไม่ทันไรก็มีเทพที่แท้จริงมากขึ้นถึงหกคนแล้ว”
“ให้ตายสิ คนพวกนี้แข็งแกร่งกันมาก น่าอิจฉาจริงๆเลยนะ”
มือของอวิ๋นเหมี่ยวสั่นระริก ตำหนักเทพพฤกษา ตำหนักเทพพฤกษาสว่างขึ้นแล้ว แปลว่าลูกชายของเขาครอบครองตำแหน่งเทพพฤกษา กลายเป็นเทพพฤกษาคนใหม่แล้วใช่หรือไม่ ลูกชายของเขาทำเรื่องที่เขาไม่สามารถทำได้ ดีแล้ว สมกับเป็นลูกชายของเขา เป็นหน้าเป็นตาให้เขาคนนี้จริงๆ
“เทพอัคคีพวกเราล้วนรู้กันดีว่าเป็นประมุขเทพอัคคีที่แท้จริง ส่วนเทพเหมันต์น่าจะเป็นสามีนางประมุขเทพขั้วเหมันต์ ส่วนเทพพฤกษาคาดว่าจะเป็นประมุขเทพหมื่นพฤกษา (ว่านมู่) เทพอัสนี เทพวารี ไม่แน่ใจว่าเป็นใคร แต่เทพสงครามน่าจะเป็นเอ๋าเลี่ยที่มาอยู่ภูเขาเทพได้ไม่นานก็ทะเลาะกับคนไปทั่ว คนผู้นี้ค่อนข้างแปลก ไม่ชอบให้คนอื่นเรียกฉายา ชอบให้เรียกชื่อ”
“พี่อวิ๋นเหมี่ยว ยินดีด้วย ลูกชายของท่านมีความสามารถเกินคนรุ่นเก่าจริงๆ พวกข้าคงต้องยอมรับในโชคชะตาเสียแล้ว” เหลยหยางเอ่ยอย่างกระดากอาย สายตาเต็มไปด้วยความอิจฉา ดีจริงๆ ตอนนี้เขาสูญเสียคุณสมบัติไปแล้ว เขาเป็นผู้บำเพ็ญเพียรธาตุอัสนี ตำหนักเทพอัสนีมีเจ้าของแล้ว เขาไร้วาสนากับตำแหน่งเทพที่แท้จริงแล้ว
“ใช่ ตำหนักเทพวารีก็มีเทพที่แท้จริงแล้ว” อวิ๋นเหมี่ยวยังคงผิดหวังเล็กน้อย อย่างไรเสียเขาก็หมดวาสนากับตำแหน่งที่เขาเฝ้าฝันหา
“อวิ๋นเหมี่ยวคิดว่า หากพวกเรามีความกล้ามากกว่านี้สักนิด ผลที่ออกมาจะแตกต่างไหม” อยู่ดีๆเหลยหยางก็ถามขึ้น
“ข้าแค่รู้ว่าไม่มีคำว่า ‘ถ้า’ ถ้าหากมีคำว่าถ้าแล้ว พวกเราก็คงจะดีกว่านี้มาก แต่ลำดับขั้นตอนก็วุ่นวายมาก” อวิ๋นเหมี่ยวส่ายหน้า มันมีคำว่าถ้าที่ไหนกัน คนกับเวลามีแต่จะเดินไปข้างหน้า เช่นนั้นแล้วคนเราจึงต้องมองไปข้างหน้า
ความจริงแล้วจวินหาวกระอักกระอ่วน เขาได้เจอท่านอาก่อนเข้าฌาน จะบอกว่าเขาทำตัวเป็นเด็กไม่รู้จักโตก็ได้ จะว่าเขาพึ่งพิงท่านอามากเกินไปก็ไม่เป็นไร สิ่งที่ได้รับมาก็คือ เขากล้าที่จะลงมือทำ ดังนั้นจวินหาวจึงสูดหายใจเข้าลึกๆ เขาตัดสินใจแล้วว่าจะต้องครอบครองตำแหน่งเทพมารให้ได้
“ในที่สุดก็มีคนมาเคาะประตูตำหนักเทพมารของข้า”
“ผู้อาวุโส ท่านคือ?” จวินหาวมองเงาตรงหน้า ด้วยความสงสัย
“เจ้าเด็กมีมารยาท ข้าเป็นแค่ภาพลวงตาส่วนหนึ่งของเทพมาร แม้ว่าเจ้าจะเป็นคนแรกที่มาเคาะประตูตำหนักเทพมารของข้า แต่ข้าก็จะไม่อ่อนข้อให้หรอกนะ” เงาเทพมารเอ่ย
“ผู้เยาว์จะทำให้สุดความสามารถ” จวินหาวพูดอย่างแน่วแน่
สิ้นเสียงจวินหาว ภาพการสังหารฆ่าฟันก็ปรากฏขึ้นในครรลองสายตา สันดานดิบเถื่อนของมนุษย์ทุกรูปแบบปรากฏขึ้นตรงหน้าเขา จวินหาวเกือบถูกกลืนกินเข้าไป ในตอนเริ่มแรกจวินหาวยังสามารถควบคุมตนเองได้ แต่เมื่อเวลาผ่านไป จวินหายก็ถูกดูดเข้าไป ดวงตาทั้งสองข้างไร้ความรู้สึก ราวดำดิ่งเข้าไปในเหตุการณ์ตรงหน้า และทำเรื่องเลวร้าย ทำสิ่งที่เห็นแก่ตัวไม่สนใจผู้อื่นไปกับคนพวกนั้น จวินหาวคิดว่า แม้ชีวิตเช่นนี้จะทำให้เขาสบายใจ มีความสุข แต่ก็รู้สึกว่างเปล่า เหมือนขาดอะไรไป เขายังทำทุกอย่างเหมือนเดิมซ้ำๆ จนกระทั่งมองเห็นคนที่ถูกรังแก ใบหน้านั้นทำให้เขารู้สึกคุ้นตาแปลกๆ นั่นมัน
“ท่านอา” จวินหาวได้สติทันที แม้ว่าเรื่องพวกนี้จะยังคงเล่นซ้ำๆ แต่จวินหาวกลับไม่ได้รับอิทธิพลใดๆ มีบางครั้งถึงขนาดพูดเย้าแหย่ได้
จนภาพพวกนั้นลดลงไปช้าๆ และค่อยๆกลายเป็นหินสีดำ จวินหาวสงสัยแต่ก็ยื่นมือออกไปรับไว้
“ยินดีด้วย หินมารนี้เป็นของเจ้าแล้ว จำไว้ว่าการเป็นเทพมาร ต้องรักษาสติไว้ให้ดี จิตใจต้องอบอุ่น ห้ามปล่อยให้สิ่งเหล่านั้นกัดกินเจ้า” เงาเทพมารพูดจบก็หายตัวไป
“ขอบคุณผู้อาวุโสมาก”
“นี่เป็นคนโหดจากที่ไหนมา คิดไม่ถึงว่าตำแหน่งเทพมารก็มีผู้สืบทอดแล้ว”
……………………………………………