แม่ครัวยอดเซียน - ตอนพิเศษ 2
อวิ๋นเฟยรู้สึกว่าตัวเองเป็นคนที่ล้มเหลวมาโดยตลอด ดวงก็ไม่ดี ทั้งๆที่เขามีมนุษย์สัมพันธ์ที่ไม่เลว พลังบำเพ็ญเพียรก็ไม่แย่ แต่ทำไมไม่มีเจ้าตำหนักคนหนักเลือกเขาไปเป็นทหารสวรรค์สักคน ถึงแม้เขาจะไปเข้าร่วมการคัดเลือก แต่ก็จะตกรอบ เขารู้สึกว่าตัวเองคงจะทำได้แค่นี้
กระทั่งคนผู้นั้นปรากฏตัวขึ้น เขาก็ยังคงทำตัวเหมือนแต่ก่อน อาจเป็นเพราะคุ้นชินกับการจัดการความสัมพันธ์ต่างๆ แต่คนผู้นั้นกลับรู้สึกสนใจ หลังจากนั้นเขาก็ได้รับการแจ้งว่า เจ้าตำหนักหลิวหลีที่เพิ่งมาใหม่ถูกใจเขาจะให้เขาไปเป็นขุนนางเซียนที่ตำหนักเวิ่นเทียน เขานึกว่าก็คงแค่นั้น คิดไม่ถึงว่าจะเกิดจุดเปลี่ยน ที่ข้ามการเป็นทหารสวรรค์ไปเป็นขุนนางเซียน หลิวหลี ชื่อนี้เขาจดจำได้อย่างขึ้นใจ
เขารู้สึกตื่นเต้นน้อยๆ ไม่รู้ว่าเจ้าตำหนักที่เพิ่งเข้ามาใหม่นี้จะมีนิสัยอย่างไรบ้าง ผลคือเจ้าตำหนักหลิวหลีเป็นคนที่ทำอะไรเปิดเผย มอบอํานาจในการเลือกทหารสวรรค์ให้กับเขา ให้เขาเป็นคนเลือก ต้องการอะไรก็ให้บอกนางทันที จู่ๆเขาก็พบว่าเจ้าตำหนักผู้นี้เฉยชากับอำนาจใด แต่ไม่ห้ามก่อเรื่องที่ขัดต่อกฏเกณฑ์
หลังจากนั้นเขาก็ยิ่งเห็นว่าเจ้าตำหนักผู้นี้ไม่สนใจอำนาจเลยจริงๆ ยกอำนาจทั้งหมดให้พวกเขาดูแลและจัดการ ผลสุดท้ายจึงกลายเป็นตำหนักที่แข็งแกร่งที่สุด ไม่มีสายจากจักรพรรดิหรือจากตำหนักอื่นๆ ไม่มีใครเข้าร่วมตำแหน่งเวิ่นเทียนโดยที่คิดจะใช้ชีวิตไปวันๆ
สิ่งที่ทำให้เขารู้สึกว่าเขาควรจะติดตามเจ้าตำหนักคนนี้ก็คือ ท่าทีที่นางปฏิบัติต่ออาจารย์ของนาง ทั้งๆที่เป็นเจ้าตำหนักที่สูงส่ง แต่กลับยอมรับอาจารย์ของตัวเอง อีกทั้งยังปฏิบัติตนในฐานะเป็นศิษย์ของอีกฝ่ายเหมือนที่ผ่านมา แล้วก็ให้อาจารย์ของนางมาอยู่ภายใต้การปกป้องของนาง สิ่งที่ทำให้เขาตกใจที่สุดก็คือ เจ้าตำหนักท่านนี้ยังสอนให้อาจารย์ของตัวเองปรุงยา เรื่องแบบนี้ไม่มีทางมีใครทำแน่
อีกสิ่งที่ทำให้เขารู้สึกว่าควรจะติดตามเจ้าตำหนักคนนี้ก็คือ ท่าทีที่นางปฏิบัติต่อนักปรุงยา ทุกคนต่างให้ความเคารพ แต่นางกลับไม่ได้รู้สึกอะไร ยาศักดิ์สิทธิ์ทั้งหมดนั้นนางจะเป็นคนปรุงเอง เขาถึงได้เข้าใจว่าตัวเองได้ติดตามเจ้านายที่เป็นนักปรุงยาที่มีอนาคต ตั้งแต่นั้นมาพวกเขาก็ได้ใช้ยาศักดิ์สิทธิ์ที่ดีที่สุด พลังบำเพ็ญเพียรเพิ่มขึ้นได้เร็วกว่าตำหนักอื่นมาก
สิ่งที่ทำให้เขายิ่งรู้สึกตกใจก็คือ ตอนประลองระหว่างตำหนัก เจ้าตำหนักของเขาเป็นที่เคารพนับถือมากขนาดไหน โชคดีมากจนทำให้พวกเขารู้สึกว่าเจ้าตำหนักเป็นคนที่เกิดมาโชคดี แต่กลับไม่ได้ล่วงรู้เลยว่าพลังบำเพ็ญเพียรของนางมีความแข็งแกร่งมากกว่านั้น ความหวังของพวกเขาก็คือหวังว่าจะได้รับคำแนะนำจากนายท่าน นางไม่เหมือนเจ้าตำหนักคนอื่นๆ ทุกคนที่ได้รับคำแนะนำจากนาง สิ่งที่เป็นปัญหาอยู่ก็ถูกคลี่คลายทันที ทำให้พลังบำเพ็ญเพียรเพิ่มขึ้นไม่มากก็น้อย พวกเขาเข้าร่วมกลุ่มกันเพื่ออะไร ก็เพื่อที่จะได้ทรัพยากรในการบำเพ็ญเพียร นายท่านก็จะมอบสิ่งที่พวกเขาต้องใช้ให้พวกเขาทุกคน
เจ้าตำหนักท่านนี้มักจะไม่ค่อยสนใจอำนาจ ต่างจากเจ้าตำหนักท่านอื่นที่มักจะกุมอำนาจไว้ที่ตนเอง ไม่ว่าเรื่องเล็กหรือใหญ่ก็ต้องรายงาน พวกเขารายงานไปหลายครั้ง แต่นายท่านก็ไม่สนใจเรื่องนี้แล้ว ปล่อยพวกเขาจัดการกันเอง หากมีเรื่องที่ต้องให้นางจัดการ แล้วค่อยเข้าพบนาง
จริงๆแล้วเขาเป็นคนโชคดี ในบรรดาขุนนางเซียนทั้ง 3 คน มีแค่เขาเท่านั้นที่นายท่านเลือกเอง ถึงแม้อีกสองคนจะมีสิทธิ์ทำอะไรก็ได้ แต่ก็ต้องปรึกษาเขาก่อน คนที่เคยเป็นเพื่อนเขาก็เคยบอกให้เขากุมอำนาจไว้เอง ทำให้นางเป็นเจ้าตำหนักแค่ในนามเท่านั้น แต่เขาปฏิเสธ โชคดีที่เขาปฏิเสธ ถึงแม้นายท่านจะไม่ค่อยสนใจอะไร แต่ถ้าคิดจะปิดบังอะไรนาง บอกเลยว่าฝันไปเถอะ
เจ้าตำหนักท่านนั้นของเขาบรรลุขั้นเซียนนพเก้านภาก่อน เจ้าตำหนักทุกคนต่างตกตะลึง องค์จักรพรรดิก็ด้วยเช่นกัน ผู้สืบทอดที่เขาคาดหวังไว้ไม่ได้เป็นเซียนนพเก้านภาก่อนนั้น แต่นายท่านแสดงออกอย่างชัดเจนว่าไม่ได้มีความสนใจต่อตำแหน่งจักรพรรดิเซียน สุดท้ายได้เป็นสุดยอดเจ้าตำหนักที่ไปเป็นตัวแทนดินแดนนภาเพลิงชนะตัวแทนจากดินแดนอื่นๆ
พวกเขาก็ได้เห็นสามีของเจ้าตำหนักท่านนี้ มีกลิ่นอายที่เยือกเย็นทั้งตัว พวกเขาอยากรู้มาตลอดว่าคนแบบไหนถึงจะเหมาะสมกับเจ้าตำหนักของพวกเขา แต่กลับนึกไม่ถึงเลยว่าจะโดดเด่นเช่นนี้ เหมาะสมกับเจ้าตำหนักของพวกเขาเป็นอย่างมาก โดยเฉพาะบรรยากาศตอนที่ทั้งสองคนอยู่ด้วยกัน พวกเขารู้สึกว่าไม่สามารถเข้าไปแทรกได้เลย พวกเขาอดรู้สึกอิจฉาไม่ได้ เขาสาบานว่าเขาจะหาคู่ครองแบบนี้ได้เหมือนกัน สุดท้ายเขาก็ได้เจอ การได้อยู่ด้วยกันมาหลายปี ทำให้ความรู้สึกที่เขามีต่อจื่อจู๋เปลี่ยนไป สุดท้ายหลังจากที่ได้รับการอวยพรจากทุกคน เขาก็รู้สึกว่าเขาจะต้องมีความสุขได้อย่างแน่นอน
เรื่องที่ทำให้เขาตกตะลึงไม่ใช่แค่เรื่องนี้ เจ้าตำหนักของเขามอบตำแหน่งเจ้าตำหนักตำหนักเวิ่นเทียนให้กับเขา เขานึกไม่ถึงเลยว่าจะเป็นเช่นนี้ จริงๆแล้ว นายท่านของพวกเขาอยู่ในขั้นราชาเซียนแล้ว ไม่เหมาะสมกับตำแหน่งนี้แล้วจริงๆ ไม่เช่นนั้นเจ้าตำหนักคนอื่นๆคงไม่รู้จะเอาหน้าไปไว้ที่ไหน ถึงแม้เขาจะสืบทอดตำหนักเวิ่นเทียนแล้ว แต่ก็ยังคงใช้วิธีการปกครองแบบเดียวกับเจ้าตำหนัก เพียงแต่เขาอาจจะช่วยอะไรในการฝึกบำเพ็ญได้มากนัก ยังดีที่เป็นพี่น้องที่อยู่ด้วยกันมาหลายปี จึงย่มเข้าใจกัน
สงครามครั้งใหญ่เริ่มต้นขึ้น พวกเขาก็ได้เข้าร่วมด้วยเช่นกัน อาศัยวิธีการร่วมมือกันที่เจ้าตำหนักสอนมากับยาศักดิ์สิทธิ์ที่นักปรุงยาเจียงปรุงขึ้น พวกเขาได้รับบาดเจ็บ แต่ไม่มีใครถึงแก่ชีวิต คนที่ทำให้พวกเขาภาคภูมิใจมากที่สุด คนที่โดดเด่นที่สุดก็ยังคงเป็นเจ้าตำหนักของพวกเขา พอถึงช่วงเวลาที่สำคัญก็ลอยตัวลงมาจากฟ้า โดดเด่นสะดุดตาเป็นอย่างมาก ทำให้คนที่เห็นรู้สึกสบายใจมากขึ้น แสงแห่งบารมีสาดส่อง เขาพบว่าแสงแห่งธรรมที่ตัวเองได้รับไม่น้อยไปกว่าสิ่งที่จักรพรรดิได้รับ อีกทั้งจักรพรรดิกลุ่มนี้ เป็นเพราะเจ้าตำหนักของพวกเขาถึงได้บรรลุถึงจุดตำแหน่งที่ฝันเอาไว้ได้ ยาเซียนศักดิ์สิทธิ์ที่เหลืออยู่พวกนั้น ญาติของเจ้าตำหนักเป็นผู้ที่ได้ไป หลังจากสงครามครั้งใหญ่ เจ้าตำหนักของพวกเขาก็บรรลุเป็นเทพ เชื่อว่าในโลกเทพ เจ้าตำหนักของพวกเขาก็ยังจะต้องอยู่ท่ามกลางแสงไฟเหมือนเดิม
พอเจ้าตำหนักบรรลุเป็นเทพ ตำหนักเวิ่นเทียนก็เงียบลงไม่น้อย ถึงแม้แต่ก่อนนายท่านมักไม่ค่อยได้อยู่ แต่พวกเขาพอยังได้เจอหน้าอยู่บ้าง ทั้งโลกเซียนต่างก็พากันพูดถึงเรื่องราวของเจ้าตำหนัก ตำหนักเวิ่นเทียนกลายเป็นตำหนักที่ทุกคนต่างก็อยากจะเข้ามาเป็นส่วนหนึ่ง เพียงแต่ว่าพวกเขาก็พร้อมใจกันจะปฏิเสธ จนกระทั่งทหารสวรรค์คนสุดท้ายบรรลุเป็นเซียนนภานพเก้า ตำหนักเวิ่นเทียนก็กลายเป็นแค่ประวัติศาสตร์ในวังนภาเพลิง ตอนนี้อีกไม่นานเขาก็จะบรรลุเป็นเทพแล้ว เขาคิดมาตลอดว่าหากบรรลุเป็นเทพแล้วจะได้ยินเรื่องราวของเจ้าตำหนักอยู่ไหมอย่างไรเสียเจ้าตำหนักของพวกเขานั้นโดดเด่น มักตกเป็นเป้าสายตาของผู้คน อยู่ๆเขาก็นึกได้ว่านางของเขามักบอกว่าไม่ควรทำตัวเด่น แต่ว่าถึงนางจะพยายามไม่ทำตัวโดดเด่นมากเพียงใด แต่ก็ยังคงเลป่งประกายออกมา
แต่ว่าหลังจากที่เขาบรรลุเป็นเทพ ก็เห็นเจ้าตำหนักที่เขาเฝ้านึกถึง มองเขาแล้วก็หัวเราะใส่เขา
“ขุนนางเซียนของข้า ในที่สุดเจ้าก็บรรลุเป็นเทพแล้ว มาเป็นขุนนางเทพของข้าต่อดีหรือไม่” หลิวหลียิ้มแล้วถามขึ้น
“ขอรับ” อวิ๋นเฟย เขานึกว่าจะเหมือนแต่ก่อน แต่กลับไม่รู้ว่าจะต่างกันมากขนาดไหน
จนกระทั่ง
“ขุนนางเทพอวิ๋น รบกวนท่านด้วย”
“เป็นเรื่องที่ข้าจะต้องรับผิดชอบอยู่แล้ว” ตอนนี้เขาถึงเพิ่งจะรู้ว่าตำแหน่งขุนนางเทพของตัวเองหมายความว่าอะไร ในฐานะที่เป็นขุนนางเทพคนที่ 3 ของเทพสูงสุด ตำแหน่งของเขาค่อนข้างจะพิเศษ การที่เขาบรรลุขึ้นมาแล้วได้เป็นขุนนางเทพ ทำให้เทพกับขุนนางเทพทุกคนต่างก็พากันสงสัย เขามีเสน่ห์อะไร ถึงได้เป็นขุนนางเทพในทันทีที่บรรลุเป็นเทพ
เขาเพิ่งจะรู้ว่าเจ้าตำหนักของตัวเองสุดยอดมากขนาดไหน อีกทั้งคนรอบข้างของเขาสุดยอดมากขนาดไหน เขากลายเป็นบุคคลที่ผู้อื่นริษยา ขุนนางเทพอีก 2 คนที่ทำงานด้วยกันก็ไม่เคยดูถูกเขา เพราะว่าเขาเป็นขุนนางเทพที่หัวหน้าของพวกเขาเป็นคนเลือกเอง
ตอนนี้เขารู้แล้วว่าตัวเองโชคดีขนาดไหน ได้พบป๋อเล่อ[1]ของเขา ทำให้ม้าตัวนี้อย่างเขาได้แสดงความสามารถออกมา แถมยังแสดงความสามารถได้อย่างเต็มที่เสียด้วย และเพราะเขาทำได้ดี เจ้าตำหนักของเขาก็เลยจำเขาได้ ในบรรดาขุนนางเทพทั้ง 5 เขาเป็นหนึ่งในนั้น ตอนนี้เขารู้สึกมีความสุขมาก รู้สึกว่าใช้ชีวิตได้อย่างเต็มที่ ตัวเองมีคุณค่าถึงจะเป็นตัวของตัวเองได้จริงๆ
………………………………………………
[1] เป็นสำนวนภาษาจีนที่มีเรื่องเล่าว่า ป๋อเล่อได้รับมอบหมายจากอ๋องรัฐฉู่ ให้ไปซื้อหาม้า วันหนึ่งขณะที่เดินทางกลับจากการไปเสาะหาม้า ป๋อเล่อก็พบม้าตัวหนึ่งกำลังออกแรงลากเกวียนอย่างยากลำบาก ตัวผอมแห้ง มันหอบหายใจเสียงดัง และมีท่าทางอิดโรย
เมื่อม้าพบเห็นป๋อเล่อเข้ามาใกล้ก็ร้องออกมาด้วยเสียงดังกังวาน ทันใดนั้นเองป๋อเล๋อก็พบว่า นี่เองคือสุดยอดอาชาที่เขาปรารถนา
ป๋อเล่อจึงขอม้ากับเจ้าของ เมื่ออีกฝ่ายได้ยินก็เข้าใจว่าป๋อเล่อนั้นโง่เขลา เนื่องจากที่ผ่านมา ม้าตัวนี้แทบไม่มีแรงลากเกวียน แถมยังกินจุ และมีขาที่ผอมแห้ง จึงรีบตกลงขายให้กับเขาไป
เมื่อกลับไปถึงรัฐฉู่ เมื่อม้าได้รับการดูแลเป็นอย่างดี จนกระทั่งเวลาผ่านไปไม่นาน มันก็กลับคืนสู่ลักษณะของยอดอาชา ต่อมา มันได้กลายเป็นม้าศึกคู่กายของท่านอ๋อง
จึงเป็นที่มาของสำนวน 伯乐相马 = ป๋อเล่อเลือกม้า