แม่ปากร้ายยุค 80 - ตอนที่ 129 ลองขายเซาเข่า
ตอนที่ 129 ลองขายเซาเข่า
วันนี้เป็นวันที่งานยุ่งมากทั้งวัน จนกระทั่งถึงเวลาห้าโมงเย็นจึงเลิกงาน
หลินม่ายมอบซองแดงให้ป้าแม่ครัวทั้งสามตามเทศกาลคนละ 5 หยวนก่อน เพราะพวกหล่อนต้องเลิกงานแล้ว ส่วนเสี่ยวลี่ยังต้องช่วยงานล่วงเวลาต่อสำหรับการขายเซาเข่าในตอนเย็น
เสี่ยวลี่เห็นว่าซองแดงที่หลินม่ายมอบให้เหล่าแม่ครัวนั้นค่อนข้างมาก เธอก็พอจะเดาได้ว่าหลังงานกะกลางคืนวันนี้จบลง ตัวเองก็จะได้รับเงินจำนวนมากเช่นเดียวกัน หล่อนจึงทำงานต่อไปอย่างอารมณ์ดี
วันนี้เป็นวันแรงงาน หลินม่ายเลยมีมื้อพิเศษให้เป็นซี่โครงหมูตุ๋น ทั้งสามรีบกินข้าวเย็นด้วยกันเพื่อรีบไปทำงานต่อ
หลินม่ายนำเสี่ยวลี่และโจวฉายอวิ๋นไปยังเตาย่างสองเตาที่ตั้งอยู่หน้าร้าน
พวกหล่อนไม่ได้มีถ่านอัดที่ใช้สำหรับทำเซาเข่าโดยเฉพาะ เลยใช้เป็นถ่านโค้กแทน
ข้อดีของการใช้ถ่านโค้กก็คือ ไม่มีควันจากการเผามากนักและให้ความร้อนสูง
แต่ก็มีข้อเสียคือเปลวไฟจะแรงเกินไป ทำให้อาหารไหม้เร็ว ต้องใช้ความระมัดระวังในการย่าง
หลินม่ายมีประสบการณ์ล้นเหลือ เธอไม่มีปัญหากับข้อจำกัดเหล่านี้
ร้านของป้าหูข้างบ้านเองก็ได้อานิสงค์จากช่วงเทศกาลเช่นกัน วันนี้เป็นวันที่ร้านของหล่อนขายดีเป็นพิเศษ
เมื่อเวลาล่วงเลยมาถึงช่วงค่ำแบบนี้ ร้านของป้าหูก็เลิกงานกันแล้ว ทั้งครอบครัวของหล่อนออกมานั่งกินมื้อเย็นด้วยกันที่หน้าบ้าน เมื่อเห็นว่าหลินม่ายกำลังยุ่งอยู่กับการทำงานก็ลอบส่งสายตาเยาะเย้ยมาให้
ใกล้จะหกโมงเย็นแล้ว แต่ลูกค้าที่ผ่านไปมาเพื่อซื้อของก็ยังดูบางตากว่าที่คาดเอาไว้ ทำให้พวกร้านรวงต่าง ๆ และพ่อค้าแม่ค้าที่มารอขายของต้องทำงานหนักเพื่อเรียกลูกค้า
ร้านอื่น ๆ ที่อยู่รอบ ๆ เองก็รู้สึกว่ามันเงียบเกินไปจริง ๆ พวกเขามองหลินม่ายด้วยรอยยิ้มเจื่อน
โจวฉายอวิ๋นมองไปที่ถนน เห็นว่ามีรถขับผ่านไปมาน้อยกว่าตอนกลางวันครึ่งหนึ่งก็เริ่มกังวล “แบบนี้จะมีใครมากินเซาเข่าไหมเนี่ย”
“ต้องมีสิ น่ากลัวว่าจะเตรียมของมาน้อยเกินไปด้วยซ้ำ” หลินม่ายยังคงมีท่าทางเต็มไปด้วยความมั่นใจ
เซาเข่าใส่ยี่หร่าส่งกลิ่นหอมมาก ในยุคที่หาของอร่อยกินได้ไม่มากแบบนี้ใครจะอดใจไหว
หลินม่ายเริ่มเอาเนื้อสัตว์และผักที่เตรียมไว้ออกมาขึ้นเตาย่าง เธอนำมะเขือม่วงย่างบนกระทะร้อน ซึ่งข้าง ๆ กันมีหลูจู่
แค่กลิ่นหอมของหลูจู่ก็ทำให้คนที่ผ่านไปผ่านมาเริ่มน้ำลายสอแล้ว
พอเจ้าของร้านสาวโรยผงยี่หร่าและพริกป่นลงไป บรรดานักกินทั้งหลายที่ผ่านไปมาก็ก้าวเข้ามาที่หน้าร้านเพื่อถามซื้ออาหารของเธอ
หลินม่ายแนะนำเมนูทั้งหมดพร้อมราคาให้พวกเขา
ในยุคนี้พวกถั่วฝักยาวและผักต่าง ๆ มีราคาเพียงชั่งละหนึ่งถึงสองเหมาเท่านั้น
แต่พอเอามาเสียบไม้ขายก็เพิ่มมูลค่าได้ ราคาต่อหนึ่งไม้แทบจะซื้อผักสดได้หนึ่งชั่ง
แม้ว่าลูกค้าจะรู้แบบนั้น แต่พวกเขาก็สนใจเรื่องความอร่อยของมันมากกว่าจึงยอมจ่าย
ป้าหูที่มายืนสังเกตการณ์พอได้ยินราคาอาหารก็ลอบกลืนน้ำลายแล้วบ่นว่า “นี่แค่ผักเสียบไม่เองนะ ขายแพงขนาดนั้นมีแต่คนโง่เท่านั้นแหละที่จะยอมซื้อ”
ทำเอาลูกค้าที่รอซื้ออาหารอยู่หันมามองตาเขียว เริ่มนึกฉุนกับคำพูดนั้น หลังจากนั้นก็หันกลับไปเลือกซื้อเซาเข่า
เห็นแบบนั้นหญิงชราจึงบ่นพึมพำอย่างโกรธเคือง “ต้องโง่ขนาดไหนถึงซื้อมากินเนี่ย”
ลูกค้าได้ยินแบบนั้นจึงยิ่งโกรธเข้าไปใหญ่ “ป้านั่นแหละโง่ ก็เห็นโง่กันทั้งบ้านอ่ะ”
พอถูกตอกกลับแบบนั้น หล่อนเลยยอมถอยกลับไปที่ร้านตัวเองแล้วมองร้านข้าง ๆ ขายดิบขายดีอย่างแค้นเคือง
เซาเข่าหอมมาก ทั้งที่ยังไม่ทันได้ชิมก็สัมผัสถึงความอร่อย
โต้วโต้วเดินมาที่ด้านข้างแม่ของเธอ ใบหน้าเล็ก ๆ เงยขึ้นมองหลินม่าย “แม่จ๋า หนูก็อยากกิน”
หลินม่ายเหล่มองลูกสาวยิ้ม ๆ “ลูกเพิ่งจะกินเกี๊ยวชามใหญ่ไปตอนเย็น ย่อยหมดแล้วเหรอ หิวเร็วจังเลย”
ถึงจะถามแบบนั้น แต่หลินม่ายก็นำหมูย่างสามชิ้น มะเขือม่วงย่าง ถั่วฝักยาว และมันฝรั่งเสียบไม้สองสามชิ้น โรยกระเทียมใส่จานให้ลูกกิน
ไม่นานนักคนที่มากินเซาเข่าก็แน่นร้าน
โจวฉายอวิ๋นต้องย้ายโต้วโต้วไปกินอาหารที่ม้านั่งเล็ก ๆ หน้าร้านแทน
ป้าข้างบ้านเห็นแบบนั้นก็เริ่มกระวนกระวายกับความอยากชิมเซาเข่าฝีมือหลินม่าย
ป้าหูมองหลินม่ายเป็นศัตรูตัวฉกาจ แล้วหล่อนจะเข้าไปซื้อเซาเข่าที่ร้านได้ยังไงกัน
หล่อนตีหยางหยางเข้าหนึ่งครั้งแล้วไล่หลานชายให้กลับเข้าบ้านไปนอน
ในที่สุดงานทั้งหมดของคุณหมอฟางประจำวันนี้ก็จบลง เขาตรงไปหาหลินม่ายที่ร้านทันทีที่เลิกงาน
พอโต้วโต้วเห็นคุณอาคนโปรด ก็รีบตรงเข้าไปหาเข้าพร้อมกับเนื้อหมูย่างที่เธอจงใจเหลือไว้กินเป็นอย่างสุดท้าย
เด็กน้อยรีบบอกอย่างตื่นเต้น “คุณอาคะ มากินเซาเข่าเร็ว เซาเข่าของแม่อร่อยมาก มีมะเขือม่วงย่างด้วย”
ชายหนุ่มเข้ามาอุ้มเด็กน้อยขึ้นในอ้อมแขนแล้วกินหมูย่างที่เจ้าตัวเล็กป้อนให้
ด้านนอกของหมูย่างกำลังเกรียมได้ที่แต่ข้างในยังมีความนุ่มชุ่มฉ่ำ หอมเครื่องเทศและยี่หร่า มีรสเผ็ดติดลิ้นของพริกป่น เป็นรสชาติที่น่าทึ่งมาก
คุณอาพยักหน้าให้หลานสาวหงึกหงัก “อื้ม…อร่อยมากจริงด้วย”
จากนั้นก็มองไปที่เด็กน้อยในอ้อมแขนแล้วเอ่ยชมขึ้นมา “วันนี้ใส่ชุดใหม่เหรอ สวยจังเลย”
โต้วโต้วชี้ไปทางแม่ของเธอที่ทำงานอยู่แล้วถามบ้าง “แม่ก็ใส่ชุดใหม่เหมือนกัน สวยไหมคะ”
คุณหมอฟางมองตามไป เห็นหลินม่ายสวมชุดที่เขาเป็นคนซื้อให้ก็อดยิ้มออกมาไม่ได้ “สวยมาก”
วันนี้หญิงสาวร่างบางดูสวยไปหมดแม้จะผิวคล้ำไปบ้างก็ตาม
พอได้ยินคำตอบจากคุณอาเด็กน้อยตัวแสบก็เอามือป้องปากตะโกนไปที่แม่ของเธอว่า “แม่คะ คุณอาชมว่าแม่สวยมาก”
เสียงดังนั้นทำเอาคนในร้านหลายคนหันมามอง
แม้ว่าหลินม่ายจะมีรูปร่างที่ได้สัดส่วนและใบหน้าจิ้มลิ้ม แต่เพราะผิวพรรณที่ดำคล้ำไม่ได้ขาวกระจ่าง ทำให้ผู้คนต่างมองข้ามความงามในส่วนอื่น ๆ ไป จะหาคนมาชมว่าสวยก็แทบจะไม่มี
ถ้าพินิจดูอย่างจริงจังแล้ว หลินม่ายไม่ได้จัดว่ามีรูปร่างหน้าตาที่แย่เลยซักนิด เพียงแค่มองข้ามเรื่องสีผิวไป เธอก็คือคนสวยคนหนึ่ง
ป้าหูข้างบ้านยังอยู่ บ่นพึมพำกับตัวเองขึ้นมา “อ๋อ ที่เอาชุดใหม่มาใส่แต่เช้าคือตั้งใจรออ่อยผู้ชายนี่เอง”
เสียงนั้นเบามากจนหลินม่ายไม่ได้ยิน
หญิงสาวอยู่ในอาการเขินอายเมื่อลูกตะโกนออกมาแบบนั้น
ฟางจั๋วหรานเดินเข้าไปใกล้เธอพร้อมลูกสาวในอ้อมแขนแล้วเริ่มชม “เซาเข่าอร่อยมาก”
หลินม่ายรีบดึงสติตัวเองกลับมา “มีอันที่อร่อยกว่านี้อีก”
คุณหมอฟางถามด้วยรอยยิ้ม “ไหน มีอะไรอีก”
“คากิกระทะร้อน”
หลินม่ายขอให้โจวฉายอวิ๋นเอาคากิที่หมักไว้ออกมาย่างบนกระทะ เกิดเสียงฉู่ฉ่าน่ากินเป็นพิเศษ
เห็นคุณลูกค้าสุดหล่อยืนมองอย่างตั้งอกตั้งใจก็ยิ้มแล้วพูดกับเขาว่า “ยังไม่ได้กินมื้อเย็นเลยใช่ไหม พี่ฉายอวิ๋นเก็บเกี๊ยวไว้ให้จานใหญ่ไว้ให้คุณแหน่ะ”
แต่โต้วโต้วรีบแย้งขึ้น “แม่ไม่ได้เป็นคนบอกให้ป้าเก็บไว้ให้คุณอาหรอกเหรอคะ”
สุดท้ายคนถูกจับได้ก็กลับมาเขินอีกครั้งหลังจากที่พยายามอย่างมากในการดึงสติตัวเองกลับมาเมื่อครู่ สองข้างแก้มซับสีเลือดอย่างน่าเอ็นดู คนเป็นแม่หันไปเอ็ดลูกสาวจอมแสบแก้เก้อ “ไม่ต้องพูดเลย ไม่พูดก็ไม่มีใครว่าเป็นใบ้หรอกน่า”
เด็กน้อยยิ้มอย่างซุกซน
หลังจากที่ฟางจั๋วหรานกินเกี๊ยวจนหมด หลินม่ายก็ทำคากิกระทะร้อนเสร็จพอดี
ระหว่างที่กำลังจัดใส่จาน ก็มีชายคนหนึ่งเดินเข้ามาแล้วชี้ไปที่คากิของเธอ “ผมอยากได้เหมือนอย่างนี้ที่นึงครับ”
หลินม่ายยิ้มแล้วเอ่ยปฏิเสธ “อ้อ เมนูนี้เราไม่ได้ทำขายน่ะค่ะ”
ลูกค้าเอ่ยอย่างสงสัย “ทำไมไม่ขายล่ะ กลัวผมจ่ายไม่ไหวเหรอ ผมมีเงินนะ”
ฟางจั๋วหรานจึงตรงเข้ามาตอบแทน “ผมซื้อแล้วครับจานนี้” หลังจากนั้นก็ถือคากิจานนั้นไป
ทำให้ลูกค้าต้องยอมแพ้แล้วสั่งหมูย่างกับผักย่างไปหลายไม้และยังถูกดึงความสนใจด้วยมะเขือม่วงกับกระเทียมย่างหอม ๆ เขาจึงสั่งมันเพิ่มไปด้วย เพราะเห็นว่านั่นก็เป็นเมนูที่น่ากินเช่นกัน
ลูกค้าหนุ่มพึมพำขึ้นมา “คากิคงมีน้อยจนไม่พอขาย ไม่รู้จะไปหากินที่ไหนแล้วเหมือนกัน”
หลินม่ายยิ้มแล้วตอบลูกค้า “มันหาซื้อยากจริง ๆ ค่ะ”
ชายคนนั้นมีสีหน้าเสียดาย “เฮ้อ ถึงผมจะทำงานที่ปศุสัตว์ แต่น่าเสียดายที่ทำอยู่แผนกสัตว์ปีก ไม่งั้นก็คงช่วยคุณหาคากิมาย่างกระทะร้อนขายให้ผมได้”
พอได้ยินแบบนั้นหญิงสาวก็รีบถามต่ออย่างตื่นเต้นทันที “พี่ชาย คุณทำงานอะไรในแผนกสัตว์ปีกเหรอคะ”
…………………………………………………………………………………………………………………………
สารจากผู้แปล
เรือนี้ก็เครื่องแรงไม่เคยแผ่ว ยิ่งกว่าไฟย่างเซาเข่าอีก
ตีสนิทไว้เลยม่ายจื่อ เผื่อได้แหล่งวัตถุดิบ
ไหหม่า(海馬)