แม่ปากร้ายยุค 80 - ตอนที่ 131 เอาชื่อเสียงเป็นประกัน
ตอนที่ 131 เอาชื่อเสียงเป็นประกัน
เสียงของฟางจั๋วหรานดังขึ้นในฉับพลัน “ที่หลอกตบทรัพย์คราวก่อน สันติบาลคงอบรบคุณน้อยไปสินะ ถึงได้แผลหายก็ลืมเจ็บเร็วขนาดนี้ แล้วกุข่าวลือขึ้นมาได้?”
ป้าหูรีบหุบปากทันใด
ธุรกิจของหลินม่ายยุ่งมาก ไม่มีทางมีเวลามาจัดการป้าหูอยู่แล้ว
ทว่าเมื่อเห็นฟางจั๋วหรานตอกหน้าป้าหูแทนเธอ เธอก็ไม่อาจนิ่งดูดายอยู่ได้
แม้แต่ธุรกิจก็ไม่ทำมันแล้ว เธอเดินไปเบื้องหน้าป้าหูแล้วเอ่ยตำหนิต่อว่า “อาหารร้านคุณน่ะทั้งสกปรกทั้งไม่อร่อย ก็เพราะทั้งสกปรกทั้งไม่อร่อย กลิ่นเหม็นคาว หลูจู่ของร้านคุณเลยไม่มีคนกินและขายไม่ได้ คุณเอาข่าวเสียๆ หายๆ ของร้านคุณมาสาดสีใส่ฉัน คุณช่วยมียางอายสักนิดจะได้ไหม?”
ป้าหูโกรธจนหน้าดำหน้าเขียว แต่กลับไม่กล้าโต้เถียง กลัวว่าจะมีเรื่องจนต้องไปสถานีตำรวจอีก
หรือต่อให้ไม่กลัวจะมีเรื่องจนต้องไปสถานีตำรวจ หล่อนเองก็ไม่กล้าแข็งกร้าวสู้กลับอยู่ดี
เพราะครั้งนี้ฟางจั๋วหรานไม่ได้มาคนเดียว แต่พากลุ่มศัลยแพทย์มือใหม่มาทานอาหารเที่ยงที่ร้านของหลินม่ายด้วย
กลุ่มศัลยแพทย์มือใหม่ที่ยืนอยู่ด้านหลังของฟางจั๋วหรานนั้น แม้จะเป็นกลุ่มปัญญาชนที่ดูสะอาดสะอ้านเกลี้ยงเกลา แต่ก็ล้วนเป็นชายหนุ่มวัยรุ่น ทำให้ชวนตกตะลึงไม่น้อย
อีกฝ่ายมีกำลังคนมาก ทั้งยังเป็นหมอของโรงพยาบาลที่มีชื่อเสียงที่สุดในเขตภาคกลาง ถึงป้าหูกินดีหมีหัวใจเสือมาก็ไม่กล้าหาเรื่องด้วย
เมื่อฟางจั๋วหรานเห็นป้าหูหยุดโจมตี จึงได้เดินไปยังเบื้องหน้าของพยาบาลสองสามคนนั้น แล้วถามโหมวตานด้วยความคลางแคลง “เธอเคยกินอาหารของร้านม่ายจื่อไหม?”
หลินม่ายไม่ทันรอให้หล่อนตอบ ก็เอ่ยขึ้น “ไม่เคยน่ะสิ เธอจงใจใส่ร้ายฉัน คงเป็นเพราะชอบคุณ ฉันแค่ส่งอาหารให้คุณไม่กี่ครั้ง ก็ถูกเธอเห็นเป็นศัตรูหัวใจ ครั้งแรกที่ฉันส่งอาหารให้คุณ เธอก็มาขวางฉันซักถามอยู่เป็นครึ่งวัน”
เดิมทีหลินม่ายไม่คิดจะพูดเรื่องขี้ปะติ๋วพวกนี้กับฟางจั๋วหรานอยู่แล้ว
หากโหมวตานอยากจะไล่ตามฟางจั๋วหรานเธอก็ไม่อาจขัดขวาง
แต่เพื่อที่จะไล่ตามฟางจั๋วหรานจนมาใส่ร้ายป้ายสีเธอ เช่นนั้นเธอคงต้องเปิดโปงเบื้องหลังทั้งหมดของหล่อนออกมา
โหมวตานหน้าดำหน้าแดง กัดฟันยืนกรานว่าหล่อนเคยกินอาหารในร้านของหลินม่ายแล้ว และเคยท้องร่วงจริงๆ
หล่อนยอมพูดโกหก ยังดีกว่าให้ฟางจั๋วหรานมีความรู้สึกแย่ๆ ที่หล่อนใส่ร้ายป้ายสีคนอื่น
ต่อให้หลินม่ายกับโจวฉายอวิ๋นปฏิเสธอย่างสุดกำลัง แต่เรื่องนี้ก็ไม่มีทางมีบุคคลที่สามที่จะมาเป็นพยานได้ จึงไม่อาจพูดได้ชัดเจน
ฟางจั๋วหรานทำมือเป็นสัญญาณให้หลินม่ายหยุด แล้วพูดอย่างอ่อนโยน “ไปทำงานของคุณเถอะ ต่อล้อต่อเถียงกับคนที่ยืนกระต่ายขาเดียว คิดแต่จะสาดโคลนใส่คุณไปก็ไม่มีประโยชน์”
สีหน้าของโหมวตานซีดเผือดลง หล่อนรู้ว่าฟางจั๋วหรานไม่เชื่อตนแต่เชื่อหลินม่าย ทันใดนั้นก็ห่อเหี่ยวราวกับลูกบอลที่ลมรั่ว ไร้ความทะยานที่จะโต้แย้งอีกต่อไป
ฟางจั๋วหรานพูดกับพยาบาลคนอื่นๆ “ผมกล้าใช้ชื่อเสียงเป็นประกัน อาหารของร้านม่ายจื่อทั้งสะอาดและอร่อย เชื่อผมเถอะ ตอนเที่ยงก็กินข้าวที่ร้านม่ายจื่อสิ ผมเลี้ยงเอง”
พูดจบ เขาก็เดินนำเข้าไปในร้านของหลินม่าย
แพทย์มือใหม่กลุ่มนั้นตามเข้าไปติดๆ ทั้งยังพากันถามเสียงอึกทึก “พวกเราได้สิทธิพิเศษนั่นไหม?”
ฟางจั๋วหรานผู้สุภาพเรียบร้อยมาตลอดมองไปทางพวกเขาอย่างเย็นชา “พวกนายว่ายังไงล่ะ?”
ท่าทางแบบนี้ แน่นอนว่าหมายถึงไม่มี
พยาบาลเหล่านั้นทิ้งโหมวตาน แล้วตามเข้าร้านไปด้วยความเบิกบานใจ ต่างคนต่างแย่งกันพูดแสดงความเห็น “พวกเราต้องเชื่อศาสตราจารย์ฟางสิคะ!”
โหมวตานยืนโดดเดี่ยวลำพังอยู่นอกร้าน โมโหจนแทบจะร้องไห้
ลูกค้าบางส่วนที่มารอดูเห็นแบบนั้น ก็เข้ามาซื้ออาหารในร้านของหลินม่ายอย่างวางใจ
ขณะเหล่าแพทย์มือใหม่และพยาบาลสาวสองสามคนกินอาหารของร้านหลินม่าย แต่ละคนต่างชมไม่ขาดปาก ทุกคนกินกันจนอิ่มถึงจากไปอย่างอาวรณ์
ธุรกิจเซาเข่าในตอนเย็น ถนนทั้งสายมีแค่หลินม่ายเจ้าเดียว นอกจากนี้ยังเพิ่มเมนูใหม่เข้าไปด้วย มีปลาตะเพียนย่าง เต้าหู้กระทะร้อนและไก่มังสวิรัติย่าง ธุรกิจคึกคักเฟื่องฟูเสียยิ่งกว่าเมื่อวาน
ร้านอาหารที่อยู่ในถนนสายเดียวกันจำนวนไม่น้อยมองเธอค้าขายด้วยความอิจฉาตาร้อนอยู่ไม่ไกล
พวกเขาเองก็อยากจะขายเซาเข่าเหมือนกัน แต่ติดที่ไม่อาจหายี่หร่าได้
วันหยุดเนื่องในวันแรงงานสามวันผ่านไปอย่างรวดเร็ว
ในสามวันนี้ หลินม่ายมีกำไรสุทธิจากการขายสัตว์ปีกและร้านอาหารเกือบหนึ่งพันหยวน แม้จะเหนื่อยแทบตาย แต่มันก็คุ้มค่าแล้ว
แม้ว่าเสี่ยวลี่และคุณป้าทั้งสามคนจะไม่ได้ทำงานครบเต็มเดือน แต่หลินม่ายก็ยังจ่ายค่าจ้างของเดือนก่อนให้กับพวกหล่อน
และหลังจากนี้ก็จะจ่ายค่าจ้างทุกๆ สิ้นเดือน
ส่วนค่าทำงานล่วงเวลาของวันแรงงานก็ค่อยจ่ายสิ้นเดือนพฤษภาคม
เมื่อเสี่ยวลี่และเหล่าคุณป้าได้รับอั่งเปาของวันแรงงาน ก็นึกว่านั่นคือค่าทำงานล่วงเวลา
นึกไม่ถึงหลินม่ายจะบอกว่าค่าทำงานล่วงเวลาจะจ่ายตอนสิ้นเดือน ถึงได้รู้ว่าค่าทำงานล่วงเวลานั้นคิดแยกกัน แต่ละคนต่างก็ดีใจอย่างมาก
ออกมาทำงาน ใครจะไม่อยากได้เงินเพิ่มบ้าง?
ผ่านพ้นวันแรงงานไป ธุรกิจก็ดิ่งลงเหว สาเหตุหลักก็เพราะไม่มีการสนับสนุนทางเศรษฐกิจในวันหยุดแล้ว
แม้จะดิ่งลงอย่างฉับพลัน แต่ก็ดีกว่าช่วงก่อนวันแรงงานอยู่มากโข เพียงแย่กว่าตอนเปิดร้านใหม่เล็กน้อยเท่านั้น บ่งชี้ว่าในที่สุดร้านอาหารของตนได้ตั้งหลักอย่างมั่นคงบนถนนสายนี้แล้ว
หลินม่ายวางแผนจะจ้างคนงานเพิ่ม และปลดปล่อยตัวเองออกมา จะได้นำผลผลิตทางการเกษตรมาขายต่อในเมือง
การรับผลผลิตทางการเกษตรมาขายทำกำไรได้มากว่าร้านอาหารมากทีเดียว
ชาติก่อนเธอเพิ่งจะมาเร่ร่อนที่เมืองเจียงเฉิงหลังจากปี 1983
ตอนนั้นไม่คุ้นเคยที่ทาง ไม่รู้อะไรเลยสักอย่าง เริ่มทำจากแผงขายของข้างถนนที่ง่ายที่สุด ด้วยเหตุนี้จึงไม่ได้สนใจการหาเงินด้วยการรับผลผลิตทางการเกษตรมาขายเช่นนี้
เกิดใหม่ชาตินี้ รู้จักรับผลผลิตทางการเกษตรมาขายทำกำไรแล้ว ไม่ว่ายังไงก็จะพลาดโอกาสแห่งความมั่งคั่งนี้ไปไม่ได้
การรับผลผลิตทางการเกษตรมาขายต่อนั้นจำเป็นต้องนำหน้าทำก่อนใคร ตอนที่ไม่มีใครทำนี่แหละ ถึงจะสามารถทำเงินได้มาก
รอให้คนอื่นมาทำตามกันหมดก็หาเงินอะไรไม่ได้แล้ว ดังนั้นเรื่องนี้จะล่าช้าไม่ได้
โจวฉายอวิ๋นเห็นว่าหลินม่ายจะรับสมัครคน โดยเฉพาะต้องการรับสมัครคนที่มีพื้นฐานการทำอาหารมาถ่ายทอดเทคนิคทำเซาเข่าสองสามคน ก็ไม่เห็นด้วยอย่างยิ่ง
บอกว่าหากเธอสอนเทคนิคให้กับคนอื่น คนอื่นเขาก็เอาไปเปิดร้านใหม่
หลินม่ายยิ้มพลางพูด “เธอคิดว่าถ้าฉันไม่สอนเทคนิคให้คนอื่นแล้ว ก็จะไม่มีใครทำเซาเข่าได้เหรอ? ขอแค่มีพื้นฐานการทำอาหารสักหน่อย มาชิมเซาเข่าของฉันบ่อยๆ กระทั่งสังเกตให้มากๆ ก็สามารถทำได้เองโดยไม่ต้องมีครูสอนแล้ว การทำอาหาร นอกจากอาหารบางอย่างที่สามารถเก็บสูตรลับเอาไว้ได้เช่น ตุ๋นพะโล้ ซอสพริก อย่างอื่นก็ทำได้ยากมาก ไม่นานก็ถูกลอกเลียนแบบไปได้ เทคนิคการทำเซาเข่าจะรั่วก็รั่วออกไปเถอะ ขอแค่พวกเราเองทำออกมาจนพูดกันไปปากต่อปาก ลูกค้าคนอื่นก็จะมากินอยู่ดี อีกอย่างสิ่งสำคัญต่อจากนี้ก็ไม่ได้อยู่ที่การทำเซาเข่า ฉันแค่วางแผนจะทำให้เซาเข่าหาเงินได้เร็วขึ้น”
เมื่อพูดถึงซอสพริก หลินม่ายก็นึกถึงซอสพริกเหล่ามาม่าที่ครองไปทั่วโลกในชาติก่อนขึ้น
น้ำพริกของคุณยายเถียนรสชาติไม่ได้ด้อยไปกว่าซอสพริกเหล่ามาม่าเลย เพียงแค่เปลี่ยนพริกในนั้นเป็นพริกขี้หนูของอวิ๋นกุ้ย แล้วเพิ่มวัตถุดิบเข้าไปอีกเล็กน้อย เป็นไปได้มากว่าจะแข่งกับซอสพริกเหล่ามาม่าได้เลย
ที่สำคัญก็คือในยุคนี้ซอสพริกเหล่ามาม่ายังไม่ได้ก้าวสู่โลกกว้าง
หากตนชิงนำไปก่อนหนึ่งก้าวล่ะ ไม่แน่ว่าอาจสามารถเข้าแทนที่เหล่ามาม่ากลายเป็นผู้นำของซอสพริกเลยก็ได้
เพียงแต่เงื่อนไขในตอนนี้ยังไม่สุกงอมเต็มที่ จึงยังไม่สามารถทำธุรกิจซอสพริกได้
แต่เธอก็ได้มีแผนการนี้แล้ว
นอกจากนี้แล้ว เธอยังคิดจะทำอาหารแช่แข็งอีกด้วย
แม้ว่าที่เธอทำในชาติก่อนจะเป็นแฟรนไชส์โรงแรม
แต่แฟรนไชส์โรงแรมหากอยากจะขยับขยายนั้นเป็นเรื่องยากมาก ชาติก่อนเธอลงทุนลงแรงมากมายทั้งหมดไป ก็ได้แค่ร่วมกับเจ้าพ่อด้านอาหารและเครื่องดื่มของมณฑลหูเท่านั้น
ในชาตินี้ เธอไม่มีทางพอใจกับความสำเร็จเล็กน้อยแค่นั้นแน่ ไม่ว่าอย่างไรก็ต้องเป็นเศรษฐีระดับแนวหน้าของประเทศให้ได้ อย่างนั้นแล้วการทำอาหารแช่แข็งก็เป็นตัวเลือกที่ไม่เลว
ที่เธอมีความคิดเช่นนั้น มาจากกะปิของคุณยายเถียนล้วนๆ
มีกะปิแล้ว รอให้ได้อาวุธลับแล้ว อาหารแช่แข็งที่ทำออกมาจะต้องรสชาติสดอร่อยกว่าอาหารแช่แข็งอื่นแน่นอน
แต่ไม่ว่าจะทำอาหารแช่แข็ง หรือว่าทำน้ำพริก ล้วนต้องมีทุนเริ่มต้นในการเปิดโรงงาน หากไม่มีสักหมื่นสองหมื่นหยวน ก็อาจสร้างโรงงานขึ้นมาไม่ได้
นั่นจึงยิ่งจำเป็นที่จะต้องสร้างรายได้อย่างรวดเร็วด้วยการรับผลผลิตทางการเกษตรมาขายต่อ