แม่ปากร้ายยุค 80 - ตอนที่ 14 ช่วยย้ายสำมะโนครัว
ตอนที่ 14 ช่วยย้ายสำมะโนครัว
โต้วโต้วไม่มีเสื้อผ้าเปลี่ยน คุณย่าฟางจึงออกไปช่วยซื้อเสื้อผ้าชุดเก่าตัวเล็กของเด็กคนอื่นมาหนึ่งชุด
ยุคสมัยนี้ คนโตได้ตัวใหม่ คนรองได้ตัวเก่า คนที่สามได้ตัวขาด จะซื้อเสื้อผ้าจากพวกเขาย่อมไม่ใช่เรื่องง่าย
โชคดีที่คุณย่าฟางรู้ทุกอย่าง เด็กบ้านไหนยังเล็ก เด็กบ้านไหนอายุน้อยกว่าโต้วโต้วไม่กี่ปี นางรู้อย่างแจ่มแจ้ง
ดังนั้นเสื้อผ้าที่นางไปซื้อมาจึงไม่มีทางขาดเป็นรูพรุนไม่เหลือชิ้นดีอย่างแน่นอน แต่ถึงกระนั้นก็ยังต้องเย็บปะซ่อมแซมไม่น้อย
หลังจากจัดการแต่งตัวให้โต้วโต้วเรียบร้อยแล้ว หลินม่ายก็พาโต้วโต้วและคุณปู่ฟางไปเก็บกุยช่ายด้วยกัน
ส่วนคุณย่าฟางก็นวดแป้ง
เมื่อล้างกุยช่ายจนสะอาดแล้ว คุณย่าฟางก็นวดแป้งเสร็จพอดี หลินม่ายจึงลงมือคลึงแป้งให้เป็นแผ่น
ในอดีตตอนที่เธอเริ่มทำธุรกิจขายของกินเล่น ยังไม่มีเครื่องคลึงแป้งเป็นแผ่นวางขาย ทุกอย่างต้องอาศัยฝีมือในการคลึงแป้งทั้งนั้น ดังนั้นจึงได้ฝึกทักษะการคลึงแป้งเป็นแผ่น ทั้งยังคลึงออกมาได้รวดเร็วและดีมากอีกด้วย
แม้ว่าในอดีตเธอเคยคลึงแต่แผ่นเกี๊ยวน้ำ ไม่เคยคลึงแผ่นเกี๊ยวทางเหนือ แต่เกี๊ยวทางเหนือคลึงแป้งได้ง่ายกว่าเกี๊ยวน้ำ
โต้วโต้วและสองปู่ย่าสกุลฟางจึงได้ห่อเกี๊ยวด้วยกัน
โต้วโต้วห่อเกี๊ยวไม่เป็น อาวุโสทั้งสองคนจึงสอนหล่อนห่อเกี๊ยว สองปู่ย่ากับหลานหนึ่งคนพูดคุยกันสนุกสนานเฮฮา บรรยากาศรอบตัวจึงดูอบอุ่นมากขึ้น
หลังจากห่อเกี๊ยวไปแล้วครึ่งชั่วโมง หลินม่ายก็เริ่มหย่อนเกี๊ยวลงต้ม โดยให้โต้วโต้วช่วยก่อไฟ
คุณย่าฟางจึงตำหนิขึ้น “โต้วโต้วเพิ่งจะโตแค่ไหนกันเชียว ก่อไฟเป็นที่ไหนกัน ให้คุณปู่ฟางก่อไฟเถอะ!”
โต้วโต้วรีบเอ่ยทันที “หนูก่อไฟเป็นค่ะ”
ขณะที่พูด ขาสั้น ๆ ก็เดินเตาะแตะไปนั่งหน้าเตาไฟ เลียนแบบท่าทางจุดไม้ขีดไฟจากผู้ใหญ่ ก่อนจะจุดลงบนฟืนไม้
แม้ว่าหลินม่ายจะไม่เคยเลี้ยงเด็กมาก่อน แต่ก็รู้ว่าตามใจเด็กไม่ได้ ไม่อย่างนั้นต่อไปตัวเองนั่นแหละจะลำบาก
จึงเอ่ยกับคุณย่าฟางด้วยรอยยิ้มว่า “คุณย่าดูสิ โต้วโต้วก่อไฟเป็น ก็ให้หล่อนก่อไฟไปเถอะ”
คุณย่าฟางลังเลชั่วขณะ แล้วเดินออกจากห้องครัวไป
ไม่นานเกี๊ยวก็ต้มเสร็จ ทุกคนมีเกี๊ยวชามใหญ่หนึ่งชาม
โต้วโต้วอยากถือชามเกี๊ยวด้วยตัวเอง แต่คุณย่าฟางกลัวว่ามันจะลวกมือหล่อน จึงคอยเดินตามอยู่ด้านหลังเหมือนแม่ไก่ที่ปกป้องลูกน้อย ทั้งยังดุที่หล่อนโอ้อวดตนเกินไปโดยไม่มีทีท่าจะหยุด
หลินม่ายไม่รู้สึกว่าหล่อนโอ้อวดตนแต่อย่างใด แค่อยากกินเกี๊ยวจนแทบอดใจไม่ไหวแล้วเท่านั้น
คุณปู่ฟางปอกกระเทียม จากนั้นก็ตักเกี๊ยวหนึ่งชิ้นเข้าปากตามด้วยกระเทียมหนึ่งกลีบ สีหน้ามีความสุขมาก ทั้งยังถามหลินม่ายอีกว่าอยากลองสักกลีบไหม
หลินม่ายส่ายสะบัดหน้าเหมือนกับกลองป๋องแป๋งเด็ก เธอใช้กระเทียมเป็นวัตถุดิบในการปรุงอาหารเท่านั้น ไม่เคยกินดิบ
แม้ว่ามณฑลหูในสายตาของคนกว่างตงจะอยู่ทางตอนเหนือ แต่วิถีในการดำรงชีวิตกลับอยู่ทางตอนใต้ ไม่ชินกับการกินกระเทียมดิบ
คุณย่าฟางส่งสายตาตำหนิใส่คุณปู่ฟางแวบหนึ่ง “คุณชอบกินก็กินไปคนเดียวสิ ทำไมต้องชวนม่ายจื่อกินด้วย!”
ก่อนจะอธิบายให้หลินม่ายฟังอีกครั้ง “คุณปู่ของหนูอยู่ในเมืองหลวงมาหลายสิบปี กลายเป็นคนภาคเหนือไปแล้ว ชอบกินกระเทียม ชอบกินบะหมี่เป็นชีวิตจิตใจ”
หลินม่ายเอ่ยถามด้วยรอยยิ้ม “คุณปู่เคยกินบะหมี่ผัดซอสราดเต้าซี่และเป็ดย่างของปักกิ่งไหมคะ?”
คุณปู่ฟางหัวเราะ ฮ่า ๆ ออกมาก่อนเอ่ยว่า “เคยกินสิ เคยกินมาหมดแล้ว แต่ฉันไม่ชินกับเตาซี่สักเท่าไหร่ รสชาตินั้นทำให้ฉันเวียนหัว”
หลังจากนั้นก็ทำปากขมุบขมิบพลางนึกย้อนถึงรสชาติที่ยังอบอวลอยู่ในปาก “เป็ดปักกิ่งเรียกได้ว่าหอมหวนชวนน้ำลายหกมาก คำเดียวก็มันเยิ้มไปทั้งปาก”
หลินม่ายเอ่ยด้วยรอยยิ้มว่า “หนูไม่เคยกินเป็ดปักกิ่งต้นตำรับเดิมมาก่อน ต่อไปจะต้องไปลองชิมในเมืองหลวงให้ได้เลยค่ะ”
โต้วโต้วเงยหน้าเอ่ยถามว่า “เป็ดย่างอร่อยเหมือนกับเกี๊ยวไหมคะ?”
คุณปู่ฟางลูบศีรษะน้อย ๆ ของหล่อนอย่างเบามือ “อร่อยกว่าเกี๊ยวแน่นอน!”
โต้วโต้วเบิกตากว้างด้วยความตกใจ “จะอร่อยแค่ไหนกัน หนูว่าเกี๊ยวอร่อยที่สุดในโลกแล้ว” กล่าวจบก็ก้มหน้าลงกินอย่างขมขื่น
เมื่อหลินม่ายได้ยินคำพูดของหล่อน และยิ่งได้เห็นหล่อนกินเกี๊ยวอย่างมีความสุข ก็อดปวดใจไม่ได้
เมื่อกินเกี๊ยวหมด โต้วโต้วก็หลับปุ๋ยไปในทันที
สองวันนี้หล่อนไม่ได้กินอะไรดี ๆ ไม่ได้ดื่มอะไรดี ๆ เลย แถมยังเอาแต่คิดถึงผู้เป็นแม่ ไม่เคยหลับสนิท
ตอนนี้เมื่อได้กินอิ่มหนำสำราญ ได้อยู่ในสภาพสังคมที่ปลอดภัยแห่งหนึ่ง ย่อมนอนหลับสนิทเป็นธรรมดา
หลินม่ายพาหล่อนไปส่งเข้านอน เด็กน้อยเมื่อหัวถึงหมอนก็หลับสนิท
หลินม่ายเดินไปคุยกับคุณปู่ฟางและคุณย่าฟางในห้องโถงกลาง
สองปู่ย่าสกุลฟางได้เอ่ยถามถึงประวัติความเป็นมาของโต้วโต้ว หลินม่ายจึงบอกความจริงกับพวกเขา
คุณปู่ฟางเอ่ยว่า “ไหน ๆก็มาถึงขนาดนี้แล้ว หนูก็รีบย้ายชื่อของโต้วโต้วมาเข้าทะเบียนบ้านของหนูเสียดีกว่า หล่อนอายุสามขวบกว่าแล้ว อีกไม่กี่ปีก็ต้องเข้าโรงเรียน ไม่มีทะเบียนบ้าน แม้แต่ระดับอนุบาลก็เข้าเรียนไม่ได้นะ”
เพราะยุคสมัยนี้บังคับใช้นโยบายวางแผนครอบครัวค่อนข้างเข้มงวด ดังนั้นการที่เด็กรับเลี้ยงจะย้ายเข้ามาในทะเบียนบ้านของเธอจึงไม่ใช่เรื่องง่าย เนื่องจากกลัวว่าครอบครัวที่มีลูกมากเกินไปจะฉกฉวยช่องโหว่ของเรื่องนี้ทำการถ่ายโอนเด็กที่มีจำนวนมากเกินไปให้กับญาติพี่น้องรับเลี้ยง
หลินม่ายตั้งใจจะเปิดธุรกิจก่อน เมื่อรู้จักคนเยอะขึ้นก็ค่อยหาลู่ทางย้ายชื่อโต้วโต้วเข้ามาในทะเบียนบ้านของเธอ
ในเมื่อคุณปู่ฟางถามคำถามนี้แล้ว เธอจึงบอกแผนการเดิมของตัวเองให้เขาฟัง
คุณปู่ฟางโบกมือ “ไม่ต้องรอนานขนาดนั้น หนูแค่นำทะเบียนบ้านให้ฉัน พรุ่งนี้ฉันจะไปหาผู้ชำนาญการ ประมาณหนึ่งสัปดาห์ก็จัดการให้หนูเรียบร้อยแล้ว”
หลินม่ายไม่คิดมากนัก ยื่นสมุดทะเบียนบ้านให้คุณปู่ฟางไป จากนั้นก็ล้วงหยิบเงินจำนวนหกหยวนออกมาจากกระเป๋าและยื่นให้คุณปู่ฟาง
คุณปู่ฟางเอ่ยถามอย่างไม่เข้าใจ “หนูให้เงินฉันทำไม?”
“คุณปู่ช่วยเดินเรื่องย้ายสำมะโนครัวให้โต้วโต้ว ต้องมีการติดต่อสัมพันธ์ เงินนี้หนูให้คุณปู่นำไปติดต่อสัมพันธ์ค่ะ”
คุณย่าฟางเลื่อนเงินที่อยู่ในมือของหลินม่ายกลับไป “ปู่ของหนูมีวิธี ไม่ต้องเข้าไปติดต่อหรอก”
หลินม่ายเพิ่งนึกได้ว่าลูก ๆ ของพวกเขาต่างทำงานอยู่ในเมือง อาจจะมีเส้นสาย ช่วยดำเนินเรื่องให้โต้วโต้วย้ายสำมโนครัวโดยที่ไม่ต้องเข้าไปติดต่อสัมพันธ์ แต่ต้องมีสินน้ำใจเกิดขึ้นอย่างแน่นอน
ในเมื่อสองปู่ย่าสกุลฟางไม่ยอมรับเงินก้อนนี้ของเธอ ดังนั้นเธอก็ไม่ให้ ไว้ซื้อของขวัญเป็นการตอบแทนในเทศกาลวันปีใหม่ก็แล้วกัน
อีกอย่างเงินที่ติดตัวเธอก็มีไม่มากนัก ทั้งยังต้องซื้อสินค้าเพิ่มด้วย
ทุกคนพูดคุยกันถึงเรื่องธุรกิจในวันนี้ของหลินม่ายครู่หนึ่ง
เมื่อได้ยินว่าหลินม่ายไปขอเช่าหม้อของคุณย่าผาง ซื้อเตาฟืนของหล่อน ต้องจ่ายค่าเช่าครึ่งวันหนึ่งหยวน จึงรู้สึกว่ามันไม่เข้าท่าเอาเสียเลย
คุณย่าฟางเอ่ยขึ้น “บ้านเราก็มีหม้อตั้งมากมาย แถมมีตาชั่งด้วย หนูขนหม้อและตาชั่งของเราไปไม่ต้องไปหาเช่าของคนอื่น ครึ่งวันหนึ่งหยวนขาดทุนเกินไป!”
หลินม่ายครุ่นคิดและเอ่ยว่า “หนูขนตาชั่งไปก็พอ แต่หม้อช่างเถอะ ถึงอย่างไรหนูก็ไปอาศัยเปิดแผงขายหน้าบ้านของท่าน ถ้าไม่ใช้หม้อของคุณย่าผาง ยังไงเงินก้อนนี้ก็ต้องออกไปอยู่ดี ต้องจ่ายเป็นค่าเช่า”
ในตอนที่เธอเปิดแผงขายอยู่ในเมืองเจียงเฉิงเมื่อครั้งอดีต มักจะมีนักเลงหัวไม้มากลั่นแกล้งเธอเสมอ ถ้าไม่อยากถูกกลั่นแกล้งก็ต้องจ่ายค่าคุ้มครอง
ทั้งยังมีกลุ่มเทศกิจคอยขับไล่ มันเป็นการเริ่มต้นที่ยากลำบากมาก
ไว้เธอหาเงินได้มากพอ ค่อยเช่าหน้าร้านสักแห่ง ทำใบอนุญาตประกอบธุรกิจ จนหลุดพ้นจากอันธพาลเหล่านั้น กลุ่มเทศกิจก็ไม่กลับมาขับไล่อีก
แม้จะเช่าหม้อเหล็กและไม้พายของคุณย่าผาง ซื้อเตาฟืนของนาง จ่ายค่าเช่าครึ่งวันหนึ่งหยวน แต่นางก็เป็นชาวเมืองฮั่นโขว วางแผงขายหน้าบ้านของนางแบบนี้ พวกนักเลงหัวไม้เหล่านั้นก็คงไม่กล้ามายุ่มย่ามกับเธอ
พวกนักเลงหัวไม้ชอบหลอกคนแปลกหน้าที่สุด
ส่วนกลุ่มเทศกิจนั้น—— ขอแค่แผงขายเล็ก ๆ เหล่านั้นมีไม่เยอะ ไม่มีใครไปรายงาน โดยทั่วไปก็ไม่โผล่หน้ามาขับไล่หรือยึดของกลางพวกชาวบ้านหรอก
ต่อให้กลุ่มเทศกิจมาถึง เธอก็แค่เก็บแผงขาย ซ่อนตัวในบ้านของคุณย่าผางก็หมดปัญหาแล้ว รอให้เทศกิจจากไปก็ค่อยเปิดแผงขายต่อ
เช่าพื้นที่หน้าบ้านของคุณย่าผางประหยัดความยุ่งยากไปได้ไม่น้อย จ่ายค่าเช่าแค่หนึ่งหยวนก็ถือว่าคุ้มค่า
คุณย่าฟางจึงยอมแพ้ ก่อนเอ่ยว่า “หนูตั้งใจขายเกาลัดในทุกวันก็พอ เรื่องเก็บเกาลัดยกให้เป็นหน้าที่คุณปู่ของหนู เขาอยู่บ้านว่างทั้งวันอยู่แล้ว ช่วยหนูเก็บเกาลัดเขาจะได้ขยับแข้งขยับขาบ้าง”
ฤดูหนาวในมณฑลหูมีหิมะตกน้อยมาก หรือต่อให้มีหิมะตกก็ตกไม่มากและไม่นาน อีกทั้งพื้นดินที่มีหิมะปกคลุมก็ละลายอย่างรวดเร็ว
เวลาที่คุณปู่ฟางไปซื้อเกาลัดจะได้ไม่เหยียบจนลื่นหกล้ม ด้วยเหตุนี้หลินม่ายจึงตอบตกลง “งั้นก็ได้ค่ะ หนูจะให้ค่าแรงคุณปู่ฟางวันละหนึ่งหยวนนะคะ”
คุณย่าฟางเอ่ยอย่างไม่สบอารมณ์ “เราอยากช่วยหนู ไม่ได้อยากได้ค่าแรงหนู ถ้าหนูพูดเรื่องเงินอีกฉันจะโกรธธแล้วนะ!”
หลินม่านรีบเอ่ย “ก็ได้ค่ะ ไม่พูดแล้วค่ะ ๆ”
แต่ในใจกลับคิดว่า รอให้ถึงเทศกาลปีใหม่ ค่อยซื้อเสื้อผ้าชุดใหม่ให้สองปู่ย่าคนละชุดละกัน เพราะถึงอย่างไรในวันปกติก็ซื้อเนื้อกลับมากินบ่อย ๆ อยู่แล้ว ถือว่าเป็นการตอบแทนแล้วกัน
………………………………………………………………………………………………………………………….
สารจากผู้แปล
มีคนสนับสนุนดี ชีวิตก็ดีขึ้นได้นะคะ
น้องโต้วโต้วรอหน่อยนะคะ อีกไม่นานหนูจะได้เป็นลูกของม่ายจื่อแล้ว
ไหหม่า(海馬)