แม่ปากร้ายยุค 80 - ตอนที่ 149 โต้วโต้วเป็นลม
ตอนที่ 149 โต้วโต้วเป็นลม
พอกลับมาที่ชุมชน หวังหรงเห็นหลินม่ายเพิ่งจะก้าวขึ้นรถแทรกเตอร์แล้วกำลังจะขับออกไป หล่อนก็ตาลุกวาวในทันที
หล่อนชี้ไปข้างหน้าแล้วพูดว่า “พ่อคะ แม่คะ ผู้หญิงคนนั้นไงที่เรียกตำรวจมาจับพี่ชายและเพื่อนของเขาอีกสองคน!”
ตอนนั้นแม่ของหวังหรงแสดงสีหน้าเคียดแค้น ราวกับว่าอยากฉีกหลินม่ายให้เป็นชิ้น ๆ
ต่างกันที่พ่อของหวังหรงนั้นเป็นคนที่มีเหตุผล
เขาเดินเข้าไปภรรยา แล้วกระซิบว่า “คุณอย่าเสียเวลาไปทะเลาะกับยัยเด็กนั่นเลย เราควรไปขอร้องหล่อนมากกว่า แล้วให้หล่อนไปบอกกับตำรวจว่าทั้งหมดเป็นแค่เรื่องเข้าใจผิด แบบนี้เราถึงจะช่วยลูกชายกับเพื่อนอีกสองคนของเขาออกมาจากสถานีตำรวจได้”
แม่ของหวังหรงไม่สามารถข่มกลั้นความโกรธได้ต่อไป หล่อนกับสามีและลูกสาวจึงเดินไปขวางทางหลินม่าย
พอเห็นครอบครัวของหวังหรง หลินม่ายกลับจำหน้าได้แค่หวังหรงเท่านั้น
พอเห็นว่าข้างหลังของหล่อนยังมีสองสามีภรรยาวัยกลางคนอีกคู่หนึ่ง และสังเกตเห็นว่าใบหน้าของหล่อนและผู้หญิงคนนั้นค่อนข้างคล้ายคลึงกันอยู่หลายส่วน ไม่ต้องเดาก็รู้ว่าพวกเขาต้องเป็นคนในครอบครัวเดียวกัน
แต่ไม่ว่าอีกฝ่ายจะเข้ามาขวางเธอด้วยจุดประสงค์ใด หลินม่ายก็ไม่อยากเสียเวลากับพวกเขา
เธอไม่สนใจพวกเขา ก่อนจะขับรถแทรกเตอร์เลี้ยวหลบไปอีกทาง
ครอบครัวหวังหรงไม่ยอมแพ้จึงรีบวิ่งไปขวางหน้ารถแทรกเตอร์อีกครั้ง
หลินม่ายเริ่มหงุดหงิด “พวกคุณช่วยหลีกทางให้ฉันหน่อยได้ไหมคะ?”
หวังหรงแสดงสีหน้าไม่สู้ดี “เสี่ยวหลิน ลงมาจากรถแทรกเตอร์สิ พวกเรามีอะไรจะคุยด้วย”
หลินม่ายแหงนหน้ามองท้องฟ้า ตอนนี้มืดครึ้มมากกว่าเดิมเสียอีก เมฆสีดำบดบังท้องฟ้าเต็มไปหมด ไม่นานฝนต้องตกหนักอย่างแน่นอน
“เราไม่รู้จักกัน แล้วฉันก็ไม่อยากคุยกับพวกคุณด้วย โปรดหลีกทางให้ด้วยค่ะ”
เธอพูดจาฉะฉานเสียงดังฟังชัด ดังเสียจนผู้อาศัยในละแวกนั้นต่างได้ยินอย่างชัดเจน
ชาวบ้านต่างเดินเข้ามาดูเมื่อได้ยิน โดยพวกเขายืนอยู่ห่างจากสถานการณ์ตรงหน้าประมาณหนึ่งถึงสองเมตร
ครอบครัวหวังหรงแค่ต้องการเกลี้ยกล่อมให้เธอช่วยพูดกับตำรวจเรื่องหวังเฉียงและเพื่อนของเขาอีกสองคนอย่างเงียบ ๆ เพราะไม่อยากให้ชาวบ้านแถวนี้รู้เข้า
หวังเฉียงและเพื่อนของเขาถูกตำรวจจับกุมไว้ ตอนแรกมีเพียงไม่กี่คนในชุมชนที่รู้เรื่องนี้
การถูกตำรวจจับกุมขึ้นโรงพักนั้นไม่ใช่เรื่องน่ายินดีเลยสักนิด แต่มันสายเกินไปแล้วที่ครอบครัวของหวังหรงจะปกปิด แน่นอนว่าพวกเขาจะยอมให้คนอื่นรู้เรื่องนี้ได้อย่างไร โดยเฉพาะชาวบ้านที่อาศัยอยู่ในละแวกชุมชนเดียวกัน!
เมื่อเห็นว่าหลินม่ายจงใจทำให้เรื่องบานปลาย แม่ของหวังหรงรู้สึกบันดาลโทสะจนอยากเข้าไปตบตีอีกฝ่ายในทันที
แต่พ่อของหวังหรงรีบพูดดักไว้ก่อนว่า “เสี่ยวหลิน เรามีเรื่องต้องขอความช่วยเหลือจากคุณจริง ๆ”
หลินม่ายยังคงตอบกลับอย่างเย็นชา “ในฐานะผู้หญิงธรรมดาคนหนึ่ง ฉันช่วยอะไรพวกคุณไม่ได้หรอกค่ะ และฉันเองก็ไม่อยากช่วยด้วย ได้โปรดถอยออกไปให้พ้นทางด้วย ฟังเข้าใจใช่ไหมคะ?”
พ่อของหวังหรงอ้อนวอนเธอมากขึ้น “คุณช่วยพวกเราได้จริง ๆ ช่วยได้อย่างแน่นอน ได้โปรดอย่าปฏิเสธพวกเราเลย ขอร้องล่ะ!”
หลินม่ายเห็นความพยายามของทั้งสามคน จึงถามด้วยน้ำเสียงเย็นชาว่า “แล้วพวกคุณอยากให้ฉันช่วยเรื่องอะไรคะ? ถ้าไม่ยอมพูดแล้วฉันจะรู้ไหม?”
พ่อของหวังหรงหันไปมองผู้คนจำนวนมากที่แห่เข้ามามุงดูมากขึ้นเรื่อย ๆ เขาจำใจพูดด้วยความลำบากใจออกไปว่า “เรื่องนี้ไม่สะดวกที่จะคุยกันข้างนอก รบกวนตามพวกเราเข้าไปคุยกันในบ้านเถอะ”
สีหน้าของหลินม่ายมืดลง จากนั้นก็ชี้นิ้วไปที่ลูกสาวของเขา แล้วพูดว่า “ก่อนหน้านี้ลูกสาวของคุณเคยวางแผนร้ายใส่ฉันมาแล้วครั้งหนึ่ง แล้วถ้าฉันยอมตามพวกคุณเข้าไปในบ้าน ฉันจะไม่ถูกครอบครัวของคุณเล่นงานเอาหรือ?”
คราวนี้เสียงของเธอดังขึ้นกว่าเดิม จนชาวบ้านในละแวกนั้นได้ยินคำพูดของเธออย่างชัดถ้อยชัดคำ
สองแม่ลูกรู้สึกอับอายมาก พ่อของหวังหรงก็เช่นกัน “นั่นเป็นการกระทำที่ไร้ความคิดของหวังหรง อย่าไปถือสาหล่อนเลย”
หลินม่ายพูดอย่างไม่อดทน “แล้วเมื่อไหร่พวกคุณจะพูดถึงสาเหตุที่มาขอความช่วยเหลือจากฉันเสียทีล่ะ? ถ้ายังอึกอักไม่ยอมพูด งั้นก็ช่วยหลีกทางให้ฉันด้วย ตอนนี้ฝนใกล้จะตกแล้ว ฉันต้องรีบกลับบ้าน”
พ่อของหวังหรงไม่ยอมแพ้ เขายืนกรานเพื่อขอให้เธอกลับไปด้วยกันให้ได้
หลินม่ายเริ่มโกรธเคือง “คุณไม่ยอมปล่อยฉันไปง่าย ๆ ใช่ไหม? ถ้าอย่างนั้นฉันจะไปแจ้งความกับตำรวจเดี๋ยวนี้ แล้วบอกว่าพวกคุณพยายามคุกคามสิทธิเสรีภาพของฉัน ดูซิว่าตำรวจจะจัดการกับเรื่องนี้อย่างไร?”
พ่อของหวังหรงรีบอธิบาย “เสี่ยวหลิน พวกเราแค่มาขอร้องให้คุณช่วย ไม่ได้ต้องการคุกคามสิทธิเสรีภาพของคุณเสียหน่อย”
หลินม่ายไม่ต้องการเสียเวลาอีกต่อไป จึงกระโดดลงจากรถแทรกเตอร์พลางพูดว่า “ถ้าอย่างนั้นฉันเดินไปโรงพักก็ได้ แล้วเรียกให้ตำรวจมาจัดการกับพวกคุณซะ”
ลูกชายและเพื่อน ๆ ของเขาถูกตำรวจจับกุมอยู่ในตอนนี้ พ่อของหวังหรงเองก็ไม่อยากตกอยู่ในสภาพแบบนั้นเช่นเดียวกัน จึงจำใจบอกให้ภรรยาและลูกสาวยอมถอยห่าง เพื่อเปิดทางให้หลินม่ายขับรถแทรกเตอร์ออกไป
แม่ของหวังหรงหันไปตำหนิเธอด้วยความโกรธแค้น “แกมันนังแพศยา!”
ก่อนจะหันกลับมาถามสามีว่า “แล้วเราควรทำยังไงต่อดีล่ะคะ?”
พ่อของหวังหรงครุ่นคิดก่อนตอบว่า “ในเมื่อเรารู้ที่อยู่ของหล่อนแล้ว วันพรุ่งนี้เราจะเตรียมของขวัญติดมือไปให้หล่อนด้วย ไม่ว่าอย่างไรก็ต้องพาหล่อนไปสถานีตำรวจให้ได้ ให้หล่อนยอมร้องขอความเมตตาให้ตำรวจปล่อยลูกชายของเรากับเพื่อน ๆ ของเขาเสีย”
หลินม่ายขับรถแทรกเตอร์มาถึงบ้าน เมฆดำครึ้มในตอนแรกค่อย ๆ สลายตัวไปแล้ว เผยให้เห็นดาวประดับฟ้ามากมาย เธอได้แต่แหงนมองท้องฟ้าแล้วกะพริบตาอยู่อย่างนั้น
หลินม่ายรู้สึกเสียดาย ถ้าเธอไม่กลัวว่าฝนจะตกตั้งแต่แรกคงไม่รีบกลับมาเร็วขนาดนี้
หลินม่ายขับรถแทรกเตอร์มาจอดริมถนนหน้าร้าน แล้วเริ่มทำการขายผลไม้เสียตรงนี้เลย
ถนนสายนี้ในยามค่ำคืนเต็มไปด้วยผู้คนมากมาย ทันทีที่เธอตะโกนเรียกลูกค้า ลูกค้าจำนวนมากก็แห่มารุมล้อมซื้อผลไม้ของเธอทันที
เมื่อเห็นว่าเธอกำลังยุ่ง โจวฉายอวิ๋นจึงหันไปสั่งงานกับผู้ช่วยในร้าน แล้วออกไปช่วยขายอีกแรงหนึ่ง
ตั้งแต่เริ่มเปิดร้าน เธอสาละวนอยู่แต่ในครัวและนอกครัว ทำให้ความสามารถของเธอพัฒนาอย่างก้าวกระโดด ไม่เพียงแต่เพิ่มพูนทักษะด้านการค้าขาย แม้แต่ประสบการณ์ยังเพิ่มขึ้นตามลำดับ
ขณะเดียวกัน โต้วโต้วกำลังเล่นกับเด็กอีกคนหนึ่งอยู่ไม่ไกลจากตัวบ้าน
เด็กคนหนึ่งที่เดินเข้ามาเล่นกับเธอพูดขึ้นอย่างหิวโหยว่า “แม่ของเธอกำลังขายผลไม้อยู่แหละ ฉันอยากลองกินดูบ้างจัง”
โต้วโต้วยืดอกแล้วพูดอย่างภาคภูมิใจว่า “ได้สิ เดี๋ยวฉันจะไปขอแบ่งลูกท้อมาจากแม่สักสองสามผล”
เมื่อได้ยินแบบนั้น เด็กคนอื่น ๆ ก็วิ่งตามมาแล้วพูดขึ้นว่า “โต้วโต้ว ฉันก็อยากกินลูกไหนเหมือนกัน”
โต้วโต้วยิ้มหวานแล้วตอบว่า “ได้เลย ได้เลย!”
เด็กหญิงตัวน้อยวิ่งไปหาหลินม่าย แล้วร้องขอลูกไหนและลูกท้อจากหลินม่ายมาจำนวนหนึ่งในขณะที่เธอกำลังยุ่งอยู่กับการขายของ
มือของโต้วโต้วเล็กเกินกว่าจะหอบพวกมันไว้ได้หมด จึงเอาใส่ในกระโปรงของตัวเองไว้
หลินม่ายรีบตะโกน “โต้วโต้ว อย่าถกกระโปรงขึ้นจนเห็นกางเกงในเด็ดขาดเลยนะ”
โต้วโต้วพยักหน้ารับ ถึงอย่างนั้นหล่อนก็เผลอยกชายกระโปรงขึ้นอีกจนได้ ทำให้กางเกงในลายดอกไม้โผล่วับแวมออกมาให้เห็น
เนื่องจากหลินม่ายกำลังยุ่ง แถมยังมีลูกค้าเข้ามาเลือกซื้อผลไม้ไม่ขาดสาย จึงไม่ได้สนใจ
ถึงอย่างนั้นก็วางแผนไว้ในใจว่า คืนนี้จะต้องไปอบรมให้หล่อนรู้สึกรักนวลสงวนตัวเสียบ้าง
ขณะที่โจวฉายอวิ๋นและหลินม่ายกำลังทำงานอยู่นั้น เด็กหลายคนรีบวิ่งเข้ามาด้วยสีหน้าแตกตื่น แล้วตะโกนอย่างร้อนรนว่า “ป้าหลินคะ เกิดเรื่องแล้ว หยางหยางผลักโต้วโต้วล้มลงกับพื้น ตอนนี้โต้วโต้วเป็นลมไปแล้วค่ะ!”
เมื่อได้ยินแบบนี้ หลินม่ายรีบทิ้งงานตรงหน้าทันที แล้ววิ่งตามเด็ก ๆ ไปดูอาการของโต้วโต้ว
โจวฉายอวิ๋นก็อยากตามไปดูด้วย แต่ลูกค้าภายในร้านและลูกค้าที่มารอซื้อผลไม้เยอะเกินไป เธอจึงต้องอยู่รับมือ
พอหลินม่ายวิ่งตามเด็ก ๆ จนมาถึงตัวโต้วโต้วที่กำลังนอนสลบไม่ได้สติอยู่ ปรากฏว่าเธอถูกป้าหูพยายามเขย่าตัวปลุกให้ตื่นอย่างร้อนรน
ป้าหูรู้สึกผิดเล็กน้อยเมื่อเห็นว่าเด็กหญิงผู้โชคร้ายต้องตกอยู่ในสภาพนี้เพราะฝีมือของหลานชายตัวเอง
หล่อนหันไปหาหลินม่ายแล้วพูดว่า “ลูกสาวเธอล้มแล้วสลบไป ฉันเลยรีบวิ่งออกมาช่วยดูอาการให้ ตอนนี้คงไม่เป็นอะไรมากแล้ว”
หลินม่ายเห็นอาการของโต้วโต้วไม่สู้ดี จึงรีบอุ้มเธอขึ้นมา ก่อนพูดด้วยน้ำเสียงเย็นชาว่า “โต้วโต้วของฉันไม่ได้ล้มเอง แต่ถูกหลานชายของคุณผลักจนล้มต่างหากล่ะ ต่อให้คุณบอกว่าเธอไม่เป็นอะไร แต่ถึงยังไงฉันก็จะพาเธอไปตรวจดูที่โรงพยาบาลอยู่ดี!”
พูดจบแล้ว เธอก็กึ่งเดินกึ่งวิ่งไปที่โรงพยาบาลผู่จี้พร้อมโต้วโต้วที่นอนคอพับอยู่ในอ้อมแขน
ป้าหูตะโกนไล่หลังเธอไปว่า “เด็กฟื้นแล้วแท้ ๆ หล่อนยังจะเอาอะไรจากฉันอีก? ทำให้เรื่องเล็กกลายเป็นเรื่องใหญ่อยู่เรื่อย คิดจะขูดรีดเงินกันหรือยังไง?”
หลินม่ายวิ่งพรวดเข้าไปที่แผนกต้อนรับของโรงพยาบาลผู่จี้โดยมีโต้วโต้วอยู่ในอ้อมแขน เธอร้องตะโกนอย่างกระวนกระวาย “คุณพยาบาลคะ ช่วยดูทีค่ะ ไม่รู้ว่าทำไมลูกสาวฉันถึงได้ดูหายใจลำบากแบบนี้?”
พยาบาลในแผนกต้อนรับเห็นว่าใบหน้าของเด็กหญิงตัวน้อยเริ่มเปลี่ยนเป็นสีม่วง จึงรีบเปิดช่องสีเขียว แล้วพาสองแม่ลูกเข้าไปในห้องฉุกเฉินเป็นการด่วน
………………………………………………………………………………………………………………………….
สารจากผู้แปล
ควรเอาเวลานี้ไปสอนลูกสาวไม่ให้เป็นดอกบัวขาวดีกว่ามาหาเรื่องม่ายจื่อนะคะคุณแม่
น้องโต้วโต้วอาการน่าเป็นห่วงมากเลย ขอให้น้องฟื้นนะคะ
ไหหม่า(海馬)