แม่ปากร้ายยุค 80 - ตอนที่ 172 ผมอยากให้คุณนั่งสบาย
ตอนที่ 172 ผมอยากให้คุณนั่งสบาย
ยุคสมัยนี้การเดินทางข้ามเมืองใหญ่ ๆ ยังจำเป็นต้องใช้เอกสารสำคัญแนะนำตัว
หลังจากเสร็จสิ้นการค้าขายในช่วงเช้า หลินม่ายก็เดินทางกลับไปที่หมู่บ้านซานหยาง เพื่อขอให้หัวหน้าหมู่บ้านช่วยออกเอกสารสำคัญแนะนำตัวให้
หัวหน้าหมู่บ้านยิ้มอย่างใจดี หยิบเอกสารสำคัญแนะนำตัวกับปากกาออกมา ถามว่า “เธอจะไปไหนหรือ?”
“กว่างโจวค่ะ”
หัวหน้าหมู่บ้านหยุดจรดปลายปากกาลงกระดาษชั่วคราว “เธอจะไปที่นั่นทำไมกัน? ฉันเคยได้ยินมาว่ากว่างโจววุ่นวายมาก ถ้าไม่มีอะไรสำคัญ ฉันขอแนะนำว่าเธออย่าไปเลย”
การแสวงหาความมั่งคั่งต้องแลกมาซึ่งอันตรายอยู่แล้ว ถ้าไม่กล้าเสี่ยง แล้วจะกอบโกยโชคลาภได้อย่างไร?
หลินม่ายตอบแบ่งรับแบ่งสู้ “ฉันจำเป็นต้องไปค่ะ พอดีมีธุระสำคัญ”
หัวหน้าหมู่บ้านไม่ได้เกลี้ยกล่อมเธออีก เขาพับเอกสารสำคัญแนะนำตัวแล้วยื่นให้เธอ ไม่ลืมอวยพรว่า “เดินทางปลอดภัยนะ”
หลินม่ายพยักหน้าแทนคำขอบคุณ จากนั้นก็ไปที่ธนาคารเพื่อเบิกถอนเงินทั้งหมดในสมุดคู่ฝากออกมา ก่อนจะไปที่บ้านของลุงฉีเพื่อขอซื้อผักจำนวนหลายสิบชั่ง
โจวฉายอวิ๋นไม่รู้เจตนาของอีกฝ่าย ถามไถ่ว่า “ม่ายจื่อ เธอจะไปกว่างโจวไม่ใช่เหรอ ทำไมถึงได้ซื้อผักมาเยอะแยะมากมายนัก?”
หลินม่ายตอบกลับอย่างมีเลศนัยเพียงว่า “ส่วนหนึ่งของเวทมนตร์น่ะ” แล้วไม่ได้อธิบายอะไรเพิ่มเติมอีก
ฟางจั๋วหรานแวะมากินอาหารมื้อเที่ยงที่ร้าน พร้อมกับยื่นเงินสดให้เธอสองพันหยวน
หลินม่ายถามกลับ “ทำไมจู่ ๆ ถึงได้ให้เงินฉันล่ะคะ แถมเงินก็ไม่ใช่น้อย ๆ ด้วย?”
ฟางจั๋วหรานตอบ “คุณจะไปกว่างโจวเพื่อซื้อเสื้อผ้าไม่ใช่หรือ? คุณจะซื้อเสื้อผ้าพวกนั้นได้ยังไงถ้าไม่มีเงินติดตัว? สองพันพอไหม? ถ้ายังไม่พอผมจะได้ไปถอนมาเพิ่ม”
หลินม่ายไม่คิดเลยว่าเขาจะใส่ใจเรื่องดังกล่าว ทั้งยังใจกว้างให้เงินเธออีกด้วย
เธอพยักหน้าอย่างรวดเร็ว “พอค่ะ พอแล้ว แต่คุณต้องคิดเสียว่าเป็นเงินยืมนะคะ ไว้ฉันจะหามาคืนคุณภายหลัง ไม่อย่างนั้นฉันคงไม่ขอรับไว้”
ฟางจั๋วหรานพยักหน้า “ได้สิ”
ความจริงแล้วเขาไม่เห็นด้วย แต่กลัวว่าหญิงสาวจะยืนกรานไม่ยอมรับเงินจากเขา
สองวันต่อมา ทั้งสองออกเดินทางมุ่งสู่กว่างโจวด้วยกัน
หลังจากจัดการซื้อตั๋วรถไฟที่ออกเดินทางในเวลาตีห้าครึ่ง ฟางจั๋วหรานก็มาถึงที่ร้านของหลินม่ายพร้อมกับสะพายกระเป๋าเป้ผ้าใบไว้บนหลังตั้งแต่ยังไม่ถึงตีห้า
หลินม่ายเก็บสัมภาระเรียบร้อยแล้ว เตรียมรถเข็นที่นายช่างจางทำขึ้นเป็นพิเศษ นอกจากนี้ยังมีกระเป๋าสะพายที่บรรจุของใช้จำเป็น เช่น เสื้อผ้าสำหรับผลัดเปลี่ยน ถุงตาข่ายสำหรับใส่อาหารแห้ง ไม่มีอย่างอื่นอีก
ทั้งหมดนี้เหมาะสำหรับการท่องเที่ยวในช่วงฤดูร้อน ไม่จำเป็นต้องพกของเยอะแยะมากมาย
แต่เมื่อเธอต้องเดินทางไปที่กว่างโจวพร้อมด้วยรถเข็นคันเล็กแบบนี้ ไม่ว่าใครก็คาดเดาได้ว่าเธอต้องไปรับสินค้ามาขายแน่ นี่สะดุดตาเกินไป
เพื่อปิดบังสายตาอยากรู้อยากเห็นของผู้คน หลินม่ายจัดแจงวางผักทั้งหมดที่เธอซื้อมาวันก่อนไว้ในรถเข็น แสร้งทำเป็นว่าเธอไปกว่างโจวในครั้งนี้ก็เพื่อขนผักไปขาย
โดยทั่วไปแล้ว พวกนักต้มตุ๋น โจรล้วงกระเป๋า หรือโจรปล้นชิงทรัพย์คงไม่หมายตาที่จะขโมยผักแน่ เธอทำแบบนี้ ถือเป็นการสร้างความปลอดภัยให้กับตัวเองอีกชั้นหนึ่ง
ยิ่งขนผักพวกนี้ไปขายที่กว่างโจวด้วย ไม่แน่ว่าเธออาจทำเงินได้เล็กน้อยเพื่อใช้ทดแทนค่าใช้จ่ายในการเดินทาง
หลินม่ายกลัวว่าถ้าโต้วโต้วตื่นขึ้นมาแล้วไม่เห็นตัวเองอาจร้องไห้กระจองอแง จึงขึ้นไปปลุกหล่อนให้ตื่นเพื่อร่ำลา
ปรากฏว่าโต้วโต้วตื่นขึ้นก่อนที่เธอจะเดินเข้าไปปลุกเสียอีก ทั้งยังถามอย่างไม่อ้อมค้อม “แม่จะไปไหนเหรอคะ แล้วจะกลับมาเมื่อไหร่?”
หลินม่ายอธิบายความจำเป็นให้หล่อนฟังอย่างอดทน เพื่อสร้างความไว้วางใจให้หล่อนรู้สึกปลอดภัย
หลังจากกินอาหารมื้อเช้าที่ร้านของตัวเองเรียบร้อยแล้ว หลินม่ายกับฟางจั๋วหรานก็ออกเดินทางไปพร้อมกัน
โต้วโต้ว โจวฉายอวิ๋น และหลี่หมิงเฉิง เฝ้ามองดูพวกเขาค่อย ๆ เดินห่างออกไป
ยุคสมัยนี้ยังไม่มีรถไฟฟ้าความเร็วสูง มีแค่รถไฟแบบด่วนและแบบธรรมดา
ฟางจั๋วหรานซื้อตั๋วรถไฟแบบด่วนในการเดินทางครั้งนี้ของพวกเขา
ถึงแม้ชื่อจะเรียกว่ารถไฟด่วน แต่การเดินทางของมันก็ยังนับว่าช้ามากเมื่อเทียบกับหลายทศวรรษต่อมา การไปกว่างโจวโดยรถไฟใช้เวลาร่วมสิบห้าชั่วโมงเป็นอย่างต่ำ
หลินม่ายเดินตามฟางจั๋วหรานขึ้นรถไฟ พอเห็นว่าเขาพาตัวเองไปยังที่นั่งที่บุด้วยเบาะรองนุ่ม ๆ ก็รู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย “คุณจองที่นั่งเบาะนุ่มไว้ให้ฉันเหรอคะ?”
“มีปัญหาอะไรหรือเปล่า?” เขาผลักหลินม่ายเข้าไปเบา ๆ พลางชี้ไปที่ชั้นบนสุด “นั่นที่ของคุณ”
หลินม่ายวางของที่นำติดตัวมาด้วยไว้บนชั้นวางสัมภาระ “ไม่ได้มีปัญหาอะไรหรอกค่ะ ฉันแค่คิดว่ามันออกจะสิ้นเปลืองเกินไปหน่อย เราเดินทางกันแค่สิบกว่าชั่วโมงเอง”
“ผมไม่คิดว่ามันเป็นการสิ้นเปลืองอะไรเลย แค่อยากให้คุณนั่งสบายเท่านั้นเอง”
อย่างไรก็ตาม ที่นั่งที่บุด้วยเบาะรองนุ่มนิ่มก็เอื้ออำนวยต่อการนั่งเป็นระยะเวลานานจริง ๆ แถมโซนนี้ยังเงียบสงบมากด้วย แต่ด้วยความที่นั่งอยู่ในห้องโดยสารเพียงสองต่อสองกับฟางจั๋วหราน ทำให้หลินม่ายรู้สึกอึดอัดเล็กน้อย
ไม่นานหลังจากนั้นหลินม่ายก็ทำใจชินกับมันเสียแล้ว ก่อนจะนั่งด้วยความผ่อนคลาย เสียงดังของหัวรถจักรแว่วมาเป็นระยะ กระทั่งเวลาสิบห้าชั่วโมงผ่านพ้นไป รถไฟก็เคลื่อนเข้าไปจอดเทียบชานชาลาที่สถานีกว่างโจว
ตอนอยู่บนรถไฟ โชคดีที่มีเจ้าหน้าที่คอยเดินตรวจขบวนเป็นระยะ ๆ นอกจากนี้เมื่อเป็นช่วงกลางวัน สภาพแวดล้อมจึงค่อนข้างปลอดภัย ตอนที่ลงจากรถไฟยังอันตรายเสียกว่า
สถานีรถไฟในยามค่ำคืนยังมีผู้คนเดินสวนกันไปมาขวักไขว่ นอกเหนือจากฟางจั๋วหรานที่ยืนอยู่ข้าง ๆ เธอแล้ว หลินม่ายอดคิดไม่ได้ว่าคนอื่น ๆ ล้วนเป็นคนไม่ดีกันทั้งนั้น
ถึงแม้ในใจจะคิดอย่างนั้น แต่การแสดงออกของเธอค่อนข้างเรียบเฉย
โจรล้วงกระเป๋า โจรปล้นชิงทรัพย์ หรือนักต้มตุ๋นทุกคนไม่มีใครที่สายตาไม่ดี ตราบใดที่ทำตัววอกแวก ตื่นตัว และหวาดระแวงอยู่ตลอดเวลา คนพวกนั้นจะรู้ได้ทันทีว่าเธอมีเงิน
ยิ่งแสดงท่าทางผ่อนคลายมากเท่าไร โอกาสที่จะถูกเล็งเป้าหมายก็จะยิ่งน้อยลงเท่านั้น
ที่ชานชาลาผู้โดยสาร มีผู้โดยสารจำนวนมากเบียดเสียดกันลงจากรถไฟ หลายครั้งพวกเขาถึงขั้นเดินชนหลินม่าย
ตอนนั้นเอง หลินม่ายกดกระเป๋าที่สะพายอยู่ให้แน่นขึ้นโดยไม่รู้ตัว
เก้าในสิบ คนที่เดินชนเธอมักจะเป็นหัวขโมยที่แฝงตัวอยู่ในฝูงชน ดังนั้นเธอจึงอดระแวดระวังไม่ได้
ทันใดนั้น เสียงใครบางคนก็ร้องตะโกนขึ้น “ขโมย ช่วยกันจับขโมยเร็ว มันขโมยกระเป๋าของฉันไป!”
หลินม่ายจับกระเป๋าสะพายที่มีลักษณะลาดเอียงของตัวเองให้แน่นยิ่งกว่าเดิม ก่อนจะหันมองตามทิศทางของเสียงนั้นด้วยสายตาเคร่งขรึม
เธอเห็นว่าชายหนุ่มคนหนึ่งที่มีอายุประมาณยี่สิบปี กำลังพยายามวิ่งไล่ล่าหัวขโมยคนนั้นอยู่ท่ามกลางฝูงชนที่หลั่งไหลเข้ามาไม่ขาดสาย
ถึงอย่างนั้น กลับมีชายหญิงห้าถึงหกคนโผล่หน้าออกมาขัดขวางเขาเป็นระยะจากทางซ้ายและขวา เหมือนจงใจไม่ให้เขาไล่ตามอีกฝ่ายได้ทัน
ในไม่ช้าหัวขโมยคนนั้นก็หายตัวไปท่ามกลางฝูงชนอันหนาแน่น ผู้ที่ถูกขโมยกระเป๋าได้แต่จ้องมองไปข้างหน้าด้วยสายตาว่างเปล่า
ถึงหลินม่ายจะเคยเกิดใหม่มาแล้วหลายครั้ง แต่เธอก็ยังรู้สึกหวาดกลัวเมื่อได้พบเห็นเหตุการณ์แบบนี้
หลังจากเดินไปได้สักระยะหนึ่ง เธอเห็นคุณป้าคนหนึ่งกำลังร้องไห้ฟูมฟายเกลือกกลิ้งไปมากับพื้น พูดว่าเงินทั้งหมดที่พกติดตัวก็ถูกโจรล้วงเอาไปเช่นเดียวกัน
ผู้โดยสารที่เดินผ่านไปมาเพียงเหลือบมองหล่อนด้วยความเห็นอกเห็นใจเท่านั้น ก่อนจะเดินต่อไป ไม่มีใครหยุดให้หล่อนหยิบยืมเงินเลย
อยู่ในที่สาธารณะแบบนี้ ใครบ้างจะกล้ายื่นมือเข้าไปยุ่ง? ใครบ้างจะรับรองได้ว่าเหยื่อรายต่อไปอาจไม่ใช่พวกเขาเสียเอง?
หลินม่ายกับฟางจั๋วหรานจับมือกันไว้ ในที่สุดก็ฝ่าฝูงชนออกมาจากสถานีรถไฟได้
ด้านนอกสถานีรถไฟเต็มไปด้วยแสงไฟที่ส่องสว่าง ทั้งเมืองเต็มไปด้วยความโกลาหล
ความพลุกพล่านของเมืองเจียงเฉิงเทียบไม่ได้เลยกับเมืองกว่างโจวแห่งนี้ ทุกคนล้วนแล้วแต่กระฉับกระเฉงเร่งรีบอยู่ตลอดเวลา
ตัวแทนจากโรงแรมที่พักและคนขับรถโดยสารประจำทางต่างกรูเข้ามายืนออกันอยู่ด้านหน้า
ผู้โดยสารบางคนออกปากปฏิเสธอย่างแน่วแน่ แต่ยังมีผู้โดยสารบางคนที่ไหวตัวไม่ทัน ถูกตัวแทนโรงแรมที่พักหรือคนขับรถฉุดแขนลากออกไป
หลินม่ายพลันหายใจไม่ทั่วท้อง อยากออกจากที่นี่ไปพร้อมกับฟางจั๋วหรานโดยเร็วที่สุด
ขณะนั้นเอง ชายหญิงหลายคนก็กรูเข้ามารวมตัวกัน ถามไถ่พวกเขาว่าต้องการหาโรงแรมที่พักหรือขึ้นรถโดยสารไปที่ไหนหรือไม่
ฟางจั๋วหรานเพิกเฉยต่อคนเหล่านั้น ใช้ร่างกายสูงโปร่งและแข็งแรงของตัวเองผลักดันฝ่ากลุ่มคนเหล่านั้นออกไป ในที่สุดก็สามารถพาหลินม่ายออกมาพ้นจากพื้นที่อันตรายนอกสถานีรถไฟได้
หลินม่ายถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ด้วยความโล่งอก ตบหน้าอกของตัวเองไปพลาง “แย่อะไรอย่างนี้!”
ฟางจั๋วหรานเหล่ตามอง “แล้วยังคิดจะวางแผนเดินทางมาที่กว่างโจวคนเดียวอีกหรือ?!”
หลินม่ายยิ้มแหยด้วยความเขินอาย เธอไม่คิดว่ากว่างโจวในปี 1980 จะน่ากลัวขนาดนี้นี่นา
ถึงแม้พวกเขาจะกินอาหารแห้งที่หลินม่ายจัดเตรียมมาด้วยขณะอยู่บนรถไฟรองท้องไปแล้ว แต่ตอนนี้ก็เป็นเวลาสามทุ่ม ทั้งสองเริ่มหิวขึ้นมาพอดี จึงต้องหาร้านอาหารเล็ก ๆ เพื่อแวะกินข้าว
ร้านอาหารขนาดเล็กที่เปิดขายอยู่ใกล้กับสถานีรถไฟไม่อนุญาตให้พวกเขานั่งกิน คงเพราะกลัวว่ามิจฉาชีพจะแฝงรอยมาในนามลูกค้า
ทั้งสองจึงขึ้นรถบัสแล้วค่อยลงเมื่อรถขับผ่านไปประมาณห้าป้าย
ช่วงกลางเดือนมิถุนายนแบบนี้ เมืองเจียงเฉิงร้อนระอุมากจนทำให้ผู้คนรู้สึกราวกับอยู่ในเตาหลอมแร่แปรธาตุของไท่ซ่างเหล่าจวิน(1) แต่ไม่น่าเชื่อว่ากว่างโจวจะร้อนอบอ้าวยิ่งกว่า
เมืองนี้เต็มไปด้วยผู้คนที่ไม่รู้จักหลับใหลเนื่องด้วยสภาพอากาศที่ร้อนเกินไป โดยเฉพาะแผงขายอาหารที่อยู่หน้าเตาตลอดเวลายิ่งร้อนเป็นพิเศษ
ฟางจั๋วหรานเลือกร้านขายอาหารว่างที่ดูสะอาดตาก่อนจะเข้าไปข้างใน สั่งโจ๊กทิงไจ๋(2) ฮะเก๋า และฉางเฝิ่น(3) แต่ละเมนูสั่งมาอย่างละสองจาน
ฟางจั๋วหรานยังต้องการสั่งบะหมี่เกี๊ยวอีกด้วย แต่ถูกหลินม่ายห้ามไว้เสียก่อน
บะหมี่เกี๊ยวในกว่างโจวเสิร์ฟด้วยการใส่ทั้งเส้นบะหมี่และเกี๊ยวในชามเดียวกัน นี่เป็นสิ่งที่เธอรับไม่ค่อยได้เท่าไหร่
ในเจียงเฉิง เกี๊ยวก็คือเกี๊ยว ไม่ควรมีบะหมี่ปนอยู่ในชามด้วย
ใช่ว่าบะหมี่เกี๊ยวที่ขายอยู่ในกว่างโจวมีรสชาติไม่อร่อย แต่เธอแค่ไม่ค่อยคุ้นชินกับการกินแบบนั้น
ฟางจั๋วหรานเห็นว่าหน้าร้านนี้มีหม้อขนาดใหญ่ตั้งอยู่ อีกทั้งเครื่องในที่กำลังตุ๋นอยู่ในหม้อก็ส่งกลิ่นหอมหวนชวนรับประทานมาก ๆ ดังนั้นเขาจึงสั่งเพิ่มมาอีกสองชาม
พอพ่อค้ายกเกาเหลาเครื่องในเนื้อมาเสิร์ฟ หลินม่ายสังเกตเห็นว่าในชามมีอัณฑะวัวปนอยู่ด้วย
เพราะรู้อยู่แล้วเธอจึงไม่หลวมตัวกินเข้าไป ก่อนจัดการกับชามตรงหน้า เธอก็ใช้ตะเกียบคีบพวกมันใส่ลงในชามของฟางจั๋วหราน
ฟางจั๋วหรานกินอัณฑะวัวเข้าไปหลายชิ้นทีเดียว เขารู้สึกว่ามันรสชาติดีมาก จึงถามด้วยความสงสัย “อร่อยออก ทำไมคุณถึงไม่ลองกินดูล่ะ? จริงสิ นี่เป็นส่วนไหนของวัวกันนะ?”
หลินม่ายกระดากปากเกินกว่าจะบอกเขาไปตามตรง “ฉันก็ไม่รู้เหมือนกันค่ะ ถ้าคุณบอกว่าอร่อย งั้นก็กินเยอะ ๆ เถอะ”
สมแล้วที่กว่างโจวมีชื่อเสียงเลื่องลือจนได้รับสมญาว่าเป็นเมืองหลวงแห่งอาหารเลิศรส ฉางเฝิ่นหอมอร่อย ฮะเก๋าก็หวานฉ่ำกำลังพอดี
เมนูที่ดีที่สุดจะเป็นอะไรไปไม่ได้นอกจากโจ๊กทิงไจ๋ การกินโจ๊กทิงไจ๋อุ่นร้อนแบบนี้ให้ความรู้สึกดีไม่น้อย
พอขับเหงื่อออกจากร่างกายแล้ว หลินม่ายก็เริ่มรู้สึกสบายใจสบายกายมากขึ้น
…………………………………………………..
(1)ไท่ซ่างเหล่าจวิน (太上老君) เทพตามความเชื่อของลัทธิเต๋า มีรูปลักษณ์เป็นชายแก่ผมขาว หนวดเครายาว ถือแส้ของนักพรตลัทธิเต๋า มีหน้าที่หลอมแร่แปรธาตุ ทำยาวิเศษและยาอายุวัฒนะ
(2)โจ๊กทิงไจ๋ (艇仔粥) คล้ายโจ๊กหมูสับ แต่จะใช้เนื้อสับแทน ผสมกับหมี่กรอบ นิยมใส่หนวดหมึกเล็ก ๆ กับถั่วลิสงให้ด้วย เวลาเสิร์ฟจะใส่เนื้อดิบแล้วราดโจ๊กเดือดๆ ลงไป ต้องคนไปเรื่อย ๆ จนกว่าจะสุกทั่วกัน
(3)ฉางเฝิ่น (虾饺) คล้ายก๋วยเตี๋ยวหลอดของไทย ใช้แผ่นก๋วยเตี๋ยวที่นึ่งสุกใหม่มาห่อไส้ ส่วนใหญ่เป็นกุ้ง แล้วม้วนเป็นหลอด ตัดเป็นท่อน ๆ ราดด้วยซีอิ๊วดำผสมซีอิ๊วขาว บ้างเรียกก๋วยเตี๋ยวหลอดฮ่องกง
สารจากผู้แปล
สภาพเมืองน่ากลัวมาก ถ้าหลินม่ายมาคนเดียวไม่มีพี่หมอมาด้วยนี่จะรอดเหรอ
ไหหม่า(海馬)