แม่ปากร้ายยุค 80 - ตอนที่ 19 หนูไม่ใช่เด็กเหลือขอ
ตอนที่ 19 หนูไม่ใช่เด็กเหลือขอ!
แม้ว่าคุณย่าคนนี้จะไม่ใช่คุณย่าแท้ ๆ ของฟางจั๋วหราน แต่ถ้าเปรียบเทียบกับคุณย่าบ้านอื่น คงจะทัดเทียมกันไม่ได้
ในตอนที่แม่เลี้ยงแต่งงานกับคุณพ่อของเขานั้น เขาเพิ่งอายุได้แค่ 5 ขวบ หวังเหวินฟางไม่ชอบเขาเป็นอย่างมาก ต่อให้ไม่ได้ทำอะไรรุนแรงกับเขา แต่ก็เย็นชากับเขาเสมอมา
แม่แท้ ๆ ของแม่เลี้ยงก็คือคุณย่า แม้จะไม่ชอบขี้หน้า แต่ก็รับเขาไปเลี้ยงดูอย่างดี
เขาไม่มีความรู้สึกลึกซึ้งกับพ่อแท้ ๆ และแม่เลี้ยงสักเท่าไร แต่กลับรู้สึกผูกพันลึกซึ้งกับคุณย่าบุญธรรมและคุณปู่บุญธรรม ทั้งสองท่านเป็นอาวุโสที่ใจดีมาก
แต่น่าเสียดายที่เมื่อปีก่อนคุณปู่ได้จากโลกนี้ไป สุขภาพร่างกายของคุณย่านับวันยิ่งทรุดลง ถ้าไม่ใช้เวลาอยู่กับนางให้มากขึ้น เกรงว่าหลังจากนี้คงไม่มีโอกาสนั้นแล้ว
ฟางจั๋วหรานยิ้มอย่างละอายใจ “เป็นความผิดของฉันเอง…”
”ไอหยา หยุดโทษตัวเองเถอค่ะ ไปซื้อของขวัญกับฉัน แล้วไปอวยพรวันเกิดคุณยายซะ”
ขณะเอ่ย หวังหรงได้ดึงมือของเขาเดินออกไป
ฟางจั๋วหรานดึงมือของตัวเองกลับ แล้วเอ่ยอย่างจริงจัง “หรงหรง ฉันเคยพูดกับเธอแล้ว เราโตกันแล้ว ต้องมีระยะห่างกันบ้าง”
นัยน์ตาของหวังหรงฉายแววน้อยเนื้อต่ำใจแวบหนึ่ง ก่อนจะเอ่ยด้วยน้ำเสียงกระเง้ากระงอด “คนเราก็มีลืมกันบ้าง พี่อย่าโกรธเลยนะคะ?”
หล่อนกลัวญาติผู้พี่จะโกรธ จนทิ้งให้หล่อนไปซื้อของขวัญให้คุณยายคนเดียว
อย่ามองว่าญาติผู้พี่เป็นคนสุภาพอ่อนโยนเชียวนะ เรื่องแบบนี้เขาทำได้อยู่แล้ว
เขาแค่ดูสุภาพ แต่ในใจกลับห่างเหินมาก
สองพี่น้องกินอาหารเช้าในร้านอาหารริมทางของรัฐนอกเขตแล้วค่อยตรงไปยังห้างสรรพสินค้าลิ่วตู้เฉียว
หวังหรงรู้มาจากพี่สาวของหล่อนว่าในช่วงเทศกาลปีใหม่ ห้างสรรพสินค้าจะมีการจัดบูธเครื่องประดับ และเริ่มขายเครื่องประดับทองกันที่นี่
นี่คือห้างสรรพสินค้าที่ขายเครื่องประดับทองเป็นอันดับสองของเมืองเจียงเฉิง
แม้ว่าเดือนสิบในปีนี้ห้างสรรพสินค้าของเมืองเจียงเฉิงจะเริ่มเปิดขายเครื่องประดับแล้ว แต่ราคานั้นแพงกว่าราคาเครื่องประดับทองในห้างสรรพสินค้าลิ่วตู้เฉียวห้าหยวนต่อกรัมเลยทีเดียว
เงินเดือนของคนงานทั่วไปตกเดือนละแค่ยี่สิบถึงสามสิบหยวนเท่านั้น ราคาเครื่องประดับทองห้าหยวนต่อหนึ่งกรัมเป็นความคิดที่น่ากลัวมาก
ดังนั้นหวังหรงจึงอยากพาฟางจั๋วหรานไปเลือกซื้อเครื่องประดับทองในห้างสรรพสินค้าลิ่วตู้เฉียวเป็นของขวัญให้กับคุณยาย และถือโอกาสซื้อแหวนทองเล็ก ๆ สักวงให้หล่อนไปเลยทีเดียว
แม้ฟางจั๋วหรานจะเป็นอาจารย์ศัลยแพทย์ที่มีอายุน้อยที่สุดในโรงพยาบาลผู่จี้ รายได้ของเขาก็ห่างไกลกว่าคนทั่วไปมากโข
แต่ราคาเครื่องประดับทองที่มีมูลค่า 90 หยวนต่อหนึ่งกรัมในห้างสรรพสินค้าเจียงเฉิงสร้างความกดดันให้เขาระดับหนึ่ง
หล่อนต้องประหยัดเงินเพื่อเขา ให้เขารู้สึกว่าตนเอาตัวรอดได้ และยอมซื้อแหวนทองให้หล่อนอย่างเต็มใจ
ตราบใดที่เขาซื้อแหวนทองให้ตัวเองได้ โดยให้คุณยายรับรู้ หล่อนก็อาศัยบารมีของคุณยายบีบบังให้เขาแต่งงานกับตนได้
ระหว่างทาง หวังหรงเอาแต่พูดเจื้อยแจ้วไม่มีหยุดพักเหมือนนกกระจอกแตกรัง แต่ฟางจั๋วหรานกลับเงียบสงบมาตลอด
หวังหรงเอาแต่พูดฉอดๆ อยู่คนเดียว จนกระทั่งพบว่าฟางจั๋วหรานที่อยู่ข้างกายได้หยุดเดินกะทันหัน
หล่อนหันไปมองเขาด้วยความสงสัย จนเห็นเขาจ้องเขม็งไปยังสถานที่มีผู้คนมุงกันเป็นจำนวนมากอยู่ไม่ไกลนักตรงหน้าอย่างไม่ละสายตา
ในใจจึงตกตะลึงเป็นอย่างมาก มองเพียงปราดเดียวก็รู้ว่าที่ตรงนั้นมีคนกำลังทะเลาะวิวาทกัน ญาติผู้พี่คนนี้สนใจเรื่องทะเลาะวิวาทบนท้องถนนตั้งแต่เมื่อไหร่กัน
หล่อนเอ่ยถามอย่างไม่เข้าใจ “ตรงนั้นมีอะไรน่าสนใจนักหนาคะ”
ฟางจั๋วหรานไม่ได้สนใจหล่อน ย่างเท้าเดินไปตรงนั้น
หวังหรงจนปัญญา ทำได้เพียงไล่ตามไป
เมื่อใกล้ถึง ใบหน้าของหล่อนก็หงิกงอทันที
มิน่าล่ะญาติผู้พี่ถึงได้รีบนัก ที่แท้ก็ผู้หญิงตัวดำที่มาส่งเกาลัดในคราวที่แล้วคนนั้นกำลังทะเลาะวิวาทกับคนอื่นอยู่นั่นเอง
เมื่อนึกถึงเหตุการณ์ที่ญาติผู้พี่ยอมทิ้งหล่อนไปหาผู้หญิงตัวดำคนนี้ หวังหรงก็รู้สึกถึงความเปรี้ยวขึ้นสมองราวกับกินมะนาวไปสิบตันรวดเดียว
ฟางจั๋วหรานรับรู้ได้ว่าเกิดอะไรขึ้นจากเสียงวิพากวิจารณ์ของทุกคน
แล้วเขาก็เห็นคุณป้าคนนั้นชี้หน้าด่าหลินม่ายอย่างอวดดีด้วยความฉุนเฉียว “เธอรอฉันก่อน ฉันจะไปเรียกคนมาถล่มแผงขายของของเธอเดี๋ยวนี้!”
แต่แล้วน้ำเสียงเย็นชาหนึ่งก็ดังขึ้น “ป้ามีสิทธิ์อะไรมาถล่มแผงขายของคนอื่น!”
คุณป้าคนนั้นจึงโต้กลับด้วยเหตุผล “ใครใช้ให้เด็กเมื่อวานซืนคนนั้นใส่ร้ายฉัน!”
โต้วโต้วถูกหลินม่ายดึงเข้ามาในอ้อมกอด ก่อนจะตะโกนด้วยความโกรธจนเลือดขึ้นหน้าพลางสะอื้นร่ำไห้ว่า “หนูไม่ได้ใส่ร้ายป้า และหนูก็ไม่ได้เป็นเด็กเมื่อวานซืนด้วย!”
ฟางจั๋วหรานเอ่ยเสียงเคร่งขรึม “สหายตัวน้อยไม่ได้ใส่ร้ายป้า ผมเองก็เห็นว่าป้าไม่ได้จ่ายเงิน ดังนั้นป้าต้องจ่ายเงินเดี๋ยวนี้ แล้วต้องซื้อของขวัญเป็นการขอโทษสหายตัวน้อยคนนี้ด้วย!”
พวกเขาสองคนเพิ่งมาถึง ทำไมญาติผู้พี่ถึงเห็นว่าคุณป้าคนนั้นยังไม่จ่ายเงินค่าเกาลัด
เขากลับยอมเป็นพยานให้ผู้หญิงตัวดำคนนั้น ในใจของหวังหรงยิ่งอิจฉาเป็นทวีคูณจนอยากจะแฉความจริง แต่ก็กลัวว่าญาติผู้พี่จะโกรธหล่อนจนไม่ยอมให้อภัยและไม่สนใจหล่อนอีก
หลังจากชั่งใจอยู่สามรอบ หล่อนก็ไม่กล้าปริปาก แต่กลับถลึงตาใส่หลินม่ายแวบหนึ่งอย่างอดไม่ได้
แม้ฟางจั๋วหรานจะเพิ่งมาถึง แต่คนที่อยู่ในเหตุการณ์นั้นมีจำนวนเยอะเกินไป ไม่มีใครระวังใคร
ทุกคนเห็นเขามีรูปร่างสูงสง่า ทั้งยังแต่งกายดูดี มองแวบเดียวก็รู้ทันทีว่าเป็นคนมีฐานะ การพูดการจาของเขาก็ดูมีน้ำหนักมาก
ทุกคนต่างทยอยกันเอ่ยกับคุณป้าคนนั้น “ตอนนี้มีพยานเพิ่มบอกว่าป้าไม่จ่ายเงินแล้ว ป้ามีอะไรจะโต้แย้งอีกไหม?”
คุณป้าคนนั้นโกรธจนควันออกหู จึงจำใจต้องจ่ายเงินอย่างเกลียดชัง
แต่เรื่องขอโทษหล่อนคงขอโทษให้ไม่ได้ ด้วยศักดิ์ศรีที่มันค้ำคอ หล่อนจะไม่ยอมก้มหัวให้ลูกสาวของพ่อค้าหาบเร่เด็ดขาด
ก่อนจากไปหล่อนก็ไม่ลืมข่มขู่หลินม่ายอีกครั้ง “ฝากไว้ก่อนเถอะ ฉันจะพาคนมาถล่มแผงขายของของแกให้พังพินาศเลยคอยดู!” กล่าวจบก็เตรียมจากไป
ฟางจั๋วหรานมีสีหน้าเคร่งขรึม รุดหน้าไปกระชากแขนของคุณป้า จากนั้นก็ลากหล่อนไปยังทิศทางของสถานีตำรวจอย่างอดไม่ได้
“จะถล่มแผงขายของของหล่อนใช่ไหมครับ งั้นเราไปเจรจากันที่สถานีตำรวจแล้วกัน ป้ามีสิทธิ์อะไรไปถล่มร้านของคนอื่น!”
ยุคสมัยนี้ยังไม่มีสายด่วน 110 ตำรวจจะไม่ออกมาทำคดีข้อพิพาทบนถนนเส้นเล็กเหล่านี้
ต่อให้ลากคุณป้าคนนี้ไปถึงสถานีตำรวจ ทางสถานีตำรวจคงไม่ทำคดีให้แน่นอน ทำได้แค่ส่งมอบให้กับองค์กรชุมชนจัดการ
ให้องค์กรชุมชนออกหน้าให้ก็พอ ถ้าต่อไปคุณป้าคนนี้ยังก่อเรื่องก็ไปฟ้ององค์กรชุมชนได้เลย ต้องชดใช้อย่างไรก็ชดใช้อย่างนั้น สรุปแล้วก็คือหล่อนคงสร้างปัญหาโดยเปล่าประโยชน์ไม่ได้อีก
ทุกอย่างที่เกิดขึ้นมันกะทันหันและรวดเร็วมาก หลินม่ายต้องรีบขายของ แม้แต่คำขอบคุณก็ยังไม่ทันได้เอ่ย คุณป้าคนนั้นกลับถูกฟางจั๋วหรานลากตัวออกไป
คุณป้าคนนี้ดิ้นพล่านไปตลอดทาง แต่ฟางจั๋วหรานมีพละกำลังเยอะกว่า หล่อนจะดิ้นหลุดได้อย่างไร
เมื่อมาถึงสถานีตำรวจ ฟางจั๋วหรานก็ชี้แจ้งถึงต้นสายปลายเหตุกับตำรวจที่ออกมาต้อนรับพวกเขาคนหนึ่ง
ตำรวจคนนั้นเอ่ยอย่างลำบากใจ “เรื่องขี้ปะติ๋วแค่นี้ คุณพาพวกหล่อนไปส่งให้องค์กรชุมชนก็จบแล้ว”
คุณป้าคนนั้นเอ่ยอย่างลำพองใจ ฟางจั๋วหรานถามตลอดทางว่าหล่อนขึ้นตรงกับองค์กรชุมชนไหน แต่หล่อนก็ไม่บอกเขา
ตอนนี้ตำรวจก็ไม่สนใจ ผู้ชายคนนี้ไม่รู้ว่าหล่อนขึ้นตรงกันองค์กรชุมชนไหน สุดท้ายก็จำใจต้องปล่อยหล่อนไป
ฟางจั๋วหรานใช้สายตามองไปยังโทรศัพท์บนโต๊ะ “ผมขอยืมโทรศัพท์ของพวกคุณสักหน่อยได้ไหม?”
ตำรวจพยักหน้า “ได้”
ฟางจั๋วหรานกดโทรออก “ฮัลโหล ผู้กองหลู่ไหมครับ ผมหมอฟางจั๋วหรานจากโรงพยาบาลผู่จี้นะครับ …ใช่ ๆ ผมเองครับ คาดไม่ถึงว่าคุณจะจำผมได้ … ไม่ต้องขอบคุณหรอกครับ รักษาพ่อของคุณเป็นหน้าที่ของผม … ที่ผมโทรหาคุณ เพราะมีเรื่องอยากจะรบกวนคุณ… คืออย่างนี้ เมื่อกี้ผมและน้องสาวกำลังเดินชอปปิ้งกัน บังเอิญไปเจอกับคุณป้าคนหนึ่ง ซื้อของแล้วชักดาบไม่จ่ายเงิน ทำร้ายเจ้าของร้าน ด่าเด็ก ทังยังขู่ว่าจะเรียกพวกมาถล่มร้านหาบเร่นั้นอีก ผมกลัวว่าหล่อนจะเป็นอันตรายต่อที่สาธารณะ จึงพาหล่อนมาส่งที่สถานีตำรวจ รบกวนคุณช่วยบอกกล่าวกับเพื่อนร่วมงานในสถานีตำรวจหน่อยสิครับ ว่าให้หัวหน้าองค์กรชุมชนของคุณป้าคนนั้น เอาตัวหล่อนไปสั่งสอนสักฉาด เราเป็นสังคมที่อยู่ใต้กฎหมาย ซื้อของแล้วชักดาบมันเกินไป แถมยังทำร้ายคนอื่น คิดจะยกพวกมาถล่มร้านคนอื่น ใครช่างกล้าให้หล่อนอาจหาญขนาดนี้!”
ผู้กองหลู่ที่อยู่ปลายสายถามฟางจั๋วหรานว่าตอนนี้เขาอยู่สถานีตำรวจไหน ฟางจั๋วหรานจึงบอกเขาไป
หลังจากวางสาย เขาก็นั่งอยู่ข้างคุณป้าคนนั้นเงียบ ๆ
…………………………………………………………………………………………………………………………
สารจากผู้แปล
มีแนวโน้มว่าคุณหมอจะเป็นแคนดิเดตพระเอกอยู่นะคะ ออร่าพระเอกเด่นมากเลยค่ะ
ว่าไงคะป้า เจอคนใหญ่คนโตเข้าไปจะยังกร่างอยู่อีกไหม ปล่อยให้อยู่ในห้องกรงแล้วกินข้าวแดงสักคืนน่าจะดีนะคะ
ไหหม่า(海馬)