แม่ปากร้ายยุค 80 - ตอนที่ 193 ผมต้องปกป้องคุณอยู่แล้ว
ตอนที่ 193 ผมต้องปกป้องคุณอยู่แล้ว
เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยหันไปส่งมอบงานกับเพื่อนร่วมอาชีพชั่วคราว ก่อนจะพาพวกเขาเข้าไปดูสินค้า
ก่อนเข้าไปในโกดัง รปภ.ก็เปิดประตูให้พลางพูดว่า “เชิญเข้าไปด้านในได้เลยครับ”
เถ้าแก่เนี้ยเดินเข้าไปในโกดังพร้อมกับหลินม่ายและฟางจั๋วหราน
พวกเขาเห็นว่าภายในโกดังเต็มไปด้วยเสื้อผ้าสตรีสีสันสดใสจำนวนมาก กองทับถมกันเป็นภูเขาสูงหลายกอง
เถ้าแก่เนี้ยชี้ไปทางกองเสื้อผ้าพวกนั้น “ฉันขายให้คุณกองละหนึ่งพันห้าร้อยหยวน ถ้าคุณซื้อมากกว่านั้นฉันจะลดราคาให้”
หลินม่ายกับฟางจั๋วหรานนิ่งอึ้ง
เสื้อผ้ากองโตแบบนี้ ถึงจะมีเสื้อผ้าสำหรับฤดูใบไม้ผลิ ฤดูร้อน ฤดูใบไม้ร่วง และฤดูหนาวคละปนกันไป แต่กองหนึ่งก็มีเสื้อผ้าไม่ต่ำกว่าสองพันตัว
ต่อให้คิดค่าเฉลี่ยอยู่ที่กองละหนึ่งพันห้าร้อยตัว ราคาเสื้อผ้าก็ตกอยู่ที่ตัวละหนึ่งหยวนเท่านั้น เรียกได้ว่าเป็นราคาถูกมากเหมือนให้เปล่า
ที่สำคัญ ถ้านำเสื้อผ้าพวกนี้ไปขาย จะได้กำไรในอัตราที่สูงมหาศาล
แต่ละกองมีเสื้อผ้าจำนวนมาก แต่ก็ค่อนข้างสกปรกพอตัว แถมยังมีสีสันและรูปแบบที่ไม่ไปในทางเดียวกัน
สีหน้าของฟางจั๋วหรานเปลี่ยนเป็นจริงจังมากขึ้น เขาดึงแขนหลินม่ายให้ถอยออกมาด้านข้าง เตือนเธอด้วยเสียงกระซิบ “เสื้อผ้าพวกนี้ถูกคัดทิ้งมาจากต่างประเทศอีกทีหนึ่งนะ”
หลินม่ายพยักหน้า “ฉันรู้ค่ะ”
ยุคสมัยนี้สังคมจีนยังยากจนและอ่อนแอเกินกว่าจะเป็นมหาอำนาจ แม้แต่ภาคอุตสาหกรรมก็ล้าหลัง จีนจึงต้องการสินค้าคัดทิ้งจากต่างประเทศพวกนี้เพื่อสนับสนุนในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจ
อีกไม่กี่ทศวรรษต่อจากนี้ ภาคอุตสาหกรรมภายในประเทศก็จะพัฒนาขึ้นแล้ว อาจไม่นำเข้าสินค้าคัดทิ้งจากต่างประเทศอีกต่อไป แต่กลายเป็นฝ่ายจำหน่ายสินค้าคัดทิ้งให้กับประเทศอื่นเสียเอง
ยกตัวอย่างเช่นทวีปแอฟริกาที่นำเข้าเสื้อผ้ามือสองคุณภาพคัดทิ้งจากประเทศจีนทั้งสิ้น
ถึงแม้สินค้าคัดทิ้งจากต่างประเทศเช่นเสื้อผ้า จะไม่ใช่เรื่องที่เห็นกันอย่างดาษดื่นในยุคสมัยนี้ แต่ก็มีแค่ไม่กี่คนที่รู้เรื่องดังกล่าว ทว่าเธอเคยเกิดในโลกยุคปัจจุบันมาแล้ว จึงรับรู้ได้อย่างรวดเร็ว
ฟางจั๋วหรานยังถามต่อ “คุณอยากซื้อเหรอ?”
หลินม่ายพยักหน้าอีกครั้ง “ถึงเป็นสินค้าคัดทิ้ง แต่ก็ผ่านการอนุมัติจากรัฐบาลนะคะ คุณไม่จำเป็นต้องเห็นด้วยกับการตัดสินใจของฉันหรอก… ฉันแค่อยากให้คุณช่วยยืนยันว่า ถ้าฉันตัดสินใจเสื้อเสื้อผ้าพวกนี้แล้ว ฉันจะทำการฆ่าเชื้อโรคทั้งหมดที่ติดมากับเสื้อผ้าทั้งหมดด้วยน้ำยาฆ่าเชื้อจากทางโรงพยาบาลได้หรือเปล่า?”
สุภาพบุรุษควรรับโชคลาภในทางที่ถูกต้อง(1)
ถึงแม้เสื้อผ้าสภาพฝุ่นเขรอะเหล่านี้จะสามารถสร้างผลกำไรจำนวนมหาศาลให้กับเธอได้ แต่เธอก็ไม่ต้องการมัน ถ้าผลกำไรดังกล่าวต้องแลกมากับโรคภัยอันตรายที่ส่งต่อไปถึงมือลูกค้า
ฟางจั๋วหรานพยักหน้า “ได้สิ แต่ถ้าถามความเห็นส่วนตัวของผม เราควรฆ่าเชื้อโรคด้วยรังสีอัลตราไวโอเลตก่อนเป็นอันดับแรก จากนั้นก็นำไปตากแดดสักหน่อย แล้วใช้แอลกอฮอล์ฆ่าเชื้อฉีดพ่นอีกทีหนึ่ง แต่ไม่ควรฉีดพ่นลงบนเสื้อผ้าโดยตรง เพราะอาจเสี่ยงต่อการติดไฟได้ง่าย ต้องเอาไปผสมน้ำ แช่เสื้อผ้าไว้ในนั้น ก่อนจะเอาไปตากให้แห้งเป็นครั้งที่สอง ขั้นตอนสุดท้ายคือใช้น้ำยาฆ่าเชื้อร่วมด้วย แบบนี้ถึงจะสามารถฆ่าเชื้อไวรัสและแบคทีเรียบนเสื้อผ้าพวกนี้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ”
หลินม่ายได้ยินก็โล่งใจ “ได้ค่ะ ฉันขอไปเลือกเสื้อผ้าสักกองก็แล้วกัน”
เธอใช้ไม้ยาว ๆ เขี่ยกองเสื้อผ้าเก่าตรงหน้า ปรากฏว่าทั้งหมดนี้เป็นเสื้อผ้ามือสองซึ่งได้มาจากประเทศหนึ่งในเอเชียที่พัฒนาแล้ว
ผู้คนของประเทศในเอเชียที่ว่านี้มีสัดส่วนรูปร่างไม่ต่างจากชาวจีนนัก ดังนั้นการขายคงไม่ใช่เรื่องยาก
อีกทั้งประเทศดังกล่าวยังเป็นยักษ์ใหญ่ของผู้นำแฟชั่นในระดับเอเชีย หญิงสาวชาวจีนชื่นชอบเสื้อผ้าที่มาจากที่นี่กันมาก รวมถึงหญิงสาวที่อาศัยอยู่ในแถบเอเชียตะวันออกส่วนใหญ่
การซื้อเสื้อผ้าคุณภาพคัดทิ้งที่นำเข้าจากประเทศในแถบยุโรปหรืออเมริกาอาจมีขนาดที่ใหญ่เกินไป ถ้ารับมาขายในประเทศแถบเอเชียคงไม่เหมาะสมสักเท่าไร
หลังจากต่อรองกับเถ้าแก่เนี้ยอยู่นาน เถ้าแก่เนี้ยผู้มีไหวพริบทางการค้ากลับไม่ยอมลดราคาให้เธอท่าเดียว โดยให้ข้อเสนอแค่ว่าจะให้เสื้อผ้ากับเธอเพิ่มอีกสามร้อยตัว
หลินม่ายยังพยายามเจรจาต่อรองกับอีกฝ่ายต่อไป ในที่สุดเถ้าแก่เนี้ยก็ยอมลดราคาให้ โดยจะเพิ่มเสื้อผ้าให้กับเธอจากสามร้อยเป็นห้าร้อยชิ้น แต่มีข้อแม้ว่าไม่อนุญาตให้เธอคัดเลือก
ต่อให้หลินม่ายคัดเลือกพวกมันได้ แต่เธอคงไม่เอาตัวเองเข้าไปเสี่ยงแน่ ใครจะรู้ว่าบนเสื้อผ้าเก่า ๆ พวกนี้มีไวรัสอะไรแอบแฝงอยู่บ้าง
เสื้อผ้ากองใหญ่ขนาดนี้ รถเข็นคันเล็กของหลินม่ายสามารถอัดได้มากที่สุดแค่ห้าร้อยตัว แถมยังมีข้อจำกัดว่าต้องเป็นเสื้อผ้าเนื้อบางเบาสำหรับฤดูร้อน ไม่ว่ายังไงก็ต้องอาศัยการฝากส่งอยู่ดี
ยุคสมัยนี้สามารถใช้บริการการขนส่งผ่านทางรถไฟได้แล้ว
ฟางจั๋วหรานติดต่อผ่านทางมหาวิทยาลัยแพทย์หัวหนาน ขอให้เจ้าหน้าที่ประจำเกสต์เฮาส์ช่วยติดต่อบริการขนส่งทางรถไฟให้หน่อย
พนักงานประจำเกสต์เฮาส์โทรกลับมาแจ้งว่าทางรถไฟบอกว่าสินค้ามีจำนวนน้อยเกินไป ไม่คุ้มราคาค่าขนส่ง แต่ถ้าเพิ่มสินค้าจากเดิมเป็นสองเท่า ค่าบริการขนส่งจะยังเป็นราคาเดิม
จึงแนะนำให้เขาเพิ่มสินค้าเป็นสองเท่า แล้วจัดส่งไปพร้อมกันในคราวเดียว
หลินม่ายตัดสินใจใช้เงินทั้งหมดสามพันหยวนเพื่อซื้อเสื้อผ้ามือสองทั้งหมดรวมห้าพันตัว
หลังจากจัดการเรื่องการขนส่งสินค้าทางรถไฟ ก็เป็นเวลาบ่ายสองโมงกว่าแล้ว
ฟางจั๋วหรานพาหลินม่ายไปกินอาหารมื้อกลางวัน
คราวนี้เขาจัดการสั่งหมูหันย่าง มากว่างโจวทั้งที ถ้าไม่กินหมูหันย่าง ก็เหมือนไปปักกิ่งแล้วไม่ยอมสั่งเป็ดปักกิ่งกิน เป็นการเยือนถิ่นที่เสียเปล่า
หนังหมูหันย่างเป็นสีแดงก่ำ หนังกรอบ เนื้อนุ่มละมุนแทรกด้วยไขมัน แต่รสชาติกลับไม่เลี่ยนคอ เนื้อสัมผัสนุ่มละมุนแถมยังหอมกรุ่นไปทั่วทั้งปาก ถึงอย่างนั้นหลินม่ายก็ยังขยับตะเกียบน้อยครั้ง
แม้เธอจะกินได้ไม่เยอะ แต่ความจริงแล้วเธอชื่นชอบรสชาติของอาหารตรงหน้ามากทีเดียว มีหมูหันย่างแสนอร่อยวางจ่ออยู่ข้างหน้าแท้ ๆ ทว่าความอยากอาหารของเธอกลับสวนทาง นี่ดูผิดแปลกไปจากเดิมอยู่บ้าง
ฟางจั๋วหรานคีบเนื้อหมูหันพร้อมหนังลงในชามของเธอ “คุณเป็นอะไรไป? ผมเห็นว่าตลอดทั้งวันนี้สีหน้าของคุณดูไม่ค่อยดีเลย เกิดอะไรขึ้นกันแน่?”
หลินม่ายคีบหมูหันชิ้นนั้นวางบนข้าว ก่อนจะตักเข้าปากไปหนึ่งคำ “ฉันไม่รู้ว่าควรเล่าเรื่องนี้ให้คุณฟังยังไงดี…”
ฟางจั๋วหรานพูดยิ้ม ๆ “เราเป็นแฟนกันแล้วนะ ยังมีอะไรที่คุณเล่าให้ผมฟังไม่ได้อีกเหรอ?”
“แต่… แต่เรื่องนี้เกี่ยวข้องกับคนสำคัญในชีวิตของคุณ ฉันกลัวว่าถ้าเล่าแล้วคุณอาจจะโกรธฉัน”
ถึงฟางจั๋วหรานจะเคยตบหน้าฟางถิงเพื่อปกป้องเธอมาแล้วครั้งหนึ่ง แต่ตอนนี้ฟางถิงอยู่ในสถานะคนร้ายที่เจ้าหน้าที่ทางการต้องการตัว โทษทัณฑ์อาจร้ายแรงถึงขั้นจำคุกก็เป็นได้ หลินม่ายไม่รู้ว่าถ้าฟางจั๋วหรานรู้เข้าจะมีปฏิกิริยาอย่างไรบ้าง
น้ำเสียงของฟางจั๋วหรานยังคงอ่อนโยนเช่นเคย “ถ้าคุณไม่พูด แล้วจะรู้ได้ยังไงว่าผมจะโกรธคุณหรือเปล่า?”
หลินม่ายพยายามบ่ายเบี่ยงอยู่นาน จนในที่สุดก็ยอมเล่าให้เขาฟังว่าฟางถิงจ้างวานคนร้ายให้แอบเข้ามาในห้องพักของเธอเพื่อทำให้เธอเสื่อมเสีย
เรื่องนี้เป็นเหมือนกระดาษที่ไม่อาจห่อไฟ ถ้าฟางถิงถูกเจ้าหน้าที่ทางการประกาศจับขึ้นมาจริง ๆ สักวันฟางจั๋วหรานก็ต้องรับรู้ข่าวนี้ด้วยตัวเอง
ถึงเวลานั้นเธอต้องโทษตัวเองอย่างแน่นอนที่ไม่ยอมเล่าให้เขาฟังแต่แรก
ส่วนผลลัพธ์จะเป็นอย่างไรต่อไปนั้น คงต้องปล่อยให้สุดแล้วแต่เวรกรรม
ถ้าเขาโกรธเคืองเธอที่เป็นต้นเหตุทำให้ลูกพี่ลูกน้องของเขาต้องได้รับโทษ แล้วตัดสินใจเลิกรากับเธอ เธอก็จะยอมรับผลนั้น
ถึงแม้เธอจะชอบเขามาก ไม่อยากมีอันต้องแยกทางกับเขาด้วยซ้ำ
แต่เรื่องนี้เธอไม่ได้เป็นคนผิด ถ้าฟางจั๋วหรานเลือกที่จะปกป้องความผิดของลูกพี่ลูกน้องตัวเองอย่างไม่ลืมหูลืมตา เธอก็ไม่จำเป็นต้องอดทนกับความสัมพันธ์ในครั้งนี้
อุตส่าห์ได้เกิดใหม่ทั้งที ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นก็ตาม หลินม่ายไม่อยากตกเป็นฝ่ายที่ต้องจำยอมอีก
ฟางจั๋วหรานรับฟังเรื่องทั้งหมดแล้ว สีหน้าท่าทางของเขาก็เปลี่ยนเป็นเคร่งขรึมจริงจังขึ้นมาทันที จ้องมองตรงไปที่หลินม่าย “เรื่องนี้คุณไม่ผิดเลย ต่อให้อีกหน่อยถิงถิงต้องโทษจำคุกขึ้นมาจริง ๆ นั่นก็เป็นผลจากความผิดที่หล่อนกระทำลงไป ทำไมคุณต้องกลัวว่าผมจะโกรธด้วย? คุณไม่มั่นใจในตัวผมเหรอ? ถึงผมจะสายตาสั้น แต่ผมไม่มีทางปกป้องคนผิดแน่”
หลินม่ายโล่งใจแค่ครึ่งเดียวหลังจากได้ยินเขาพูดแบบนี้
เพราะเธอรู้ดีว่าครอบครัวตระกูลฟางคงไม่มีทัศนคติต่อเรื่องนี้เหมือนกันกับเขาแน่ จึงยังไม่วางใจ “แต่ถ้าคุณพ่อกับแม่เลี้ยงของคุณ รวมถึงครอบครัวของฟางถิงตำหนิฉันล่ะคะ?”
ฟางจั๋วหรานยิ้ม “เชื่อผมเถอะ ผมไม่มีวันปล่อยให้คนตระกูลฟางมาสร้างปัญหาให้คุณเพราะเรื่องนี้แน่”
หลังจากกินอาหารมื้อกลางวันเสร็จ หลินม่ายแวะซื้อลิ้นจี่กับมะม่วงอีกจำนวนหนึ่ง ก่อนที่ทั้งสองจะไปขึ้นรถไฟด้วยกัน
รถไฟเคลื่อนมาจอดเทียบสถานีเจียงเฉิงในเวลาประมาณเจ็ดโมงเช้าของวันรุ่งขึ้น
เด็กหญิงตัวน้อยดีใจมากเมื่อเห็นพวกเขา หล่อนรีบวิ่งโผเข้าไปกอดหลินม่าย ตามด้วยฟางจั๋วหราน
หลินม่ายจับใบหน้าเล็ก ๆ ของหล่อน พลางทักด้วยความไม่สบายใจ “แม่ไม่อยู่กับหนูแค่สองวันเอง ทำไมหนูถึงได้มีผดผื่นขึ้นทั่วแบบนี้ล่ะ?”
ฟางจั๋วหรานเดินเข้ามาสังเกตอาการของหล่อน “ต่อมเหงื่อของเด็กยังไม่พัฒนาอย่างสมบูรณ์ คุณลองหาซื้อแป้งทาผื่นคันให้เธอสักกระป๋องหนึ่ง บางทีอาจจะพอบรรเทาความคันลงได้บ้าง”
โจวฉายอวิ๋นเห็นว่ารถเข็นของหลินม่ายว่างเปล่า จึงถามอย่างร้อนใจ “ทำไมเธอถึงไม่ขนเสื้อผ้ากลับมาด้วยล่ะ? หรือว่า…”
หลี่หมิงเฉิงตื่นตระหนกขึ้นมาทันทีเมื่อได้ยินแบบนั้น รีบเดินเข้ามาฟังคำตอบจากหลินม่ายด้วยคน
หลินม่ายมองค้อนพวกเขา “คิดมากอะไรกัน รอบนี้ฉันรับซื้อเสื้อผ้ามาเยอะกว่าเดิมต่างหากล่ะ เลยต้องขนส่งมาทางรถไฟ”
โจวฉายอวิ๋นกับหลี่หมิงเฉิงได้ยินแบบนั้นก็รู้สึกโล่งอก
ตอนแรกพวกเขากลัวว่าเงินของหลินม่ายถูกหัวขโมยปล้นไปแล้วซะอีก
หกพันหยวนไม่ใช่เงินน้อย ๆ เลย
………………………………………………………………………………………………………
สำนวนนี้มีความหมายว่า ควรยอมรับผลประโยชน์ก็ต่อเมื่อได้รับผลประโยชน์นั้นมาในทางที่ถูกที่ควร อยากแสวงหากำไร ต้องคำนึงถึงความชอบธรรมในการได้กำไรนั้นมาด้วย
สารจากผู้แปล
ได้เสื้อผ้ามาขายถูกจังเลย โชคเข้าข้างม่ายจื่อจริงๆ
ประเทศที่ว่านี่ใช่ประเทศหมู่เกาะที่ดวงอาทิตย์ขึ้นที่แรกหรือเปล่านะ
ไหหม่า(海馬)