แม่ปากร้ายยุค 80 - ตอนที่ 194 แฟนของผมมีเสน่ห์ขนาดนี้
ตอนที่ 194 แฟนของผมมีเสน่ห์ขนาดนี้
หลินม่ายเด็ดลิ้นจี่ออกมาหนึ่งกำมือจากพวงทั้งหมดที่ซื้อมาจากกว่างโจว ก่อนจะเก็บส่วนที่เหลือไว้ในตู้แช่เพื่อให้ฟางจั๋วหรานได้กินคู่กับอาหารเช้า
ยังไม่ทันกินอาหารมื้อเช้าเสร็จ ใครคนหนึ่งก็ตะโกนเรียกชื่อเธอด้วยความตื่นเต้น “หลินม่าย!”
หลินม่ายหันกลับไปมองตามเสียง พอเห็นว่าเขาคือข่งเสียง ก็จดจำจดหมายรักแผ่นน้อยที่เขายัดใส่มือเธอได้ในทันที
เธอหันไปบอกฟางจั๋วหราน “คุณกินไปก่อนเลยค่ะ ฉันขอตัวออกไปข้างนอกประเดี๋ยว”
หลังจากนั้น เธอก็วางตะเกียบลง แล้วเดินนำข่งเสียงออกไปจากร้าน
ฟางจั๋วหรานหันมองตามแผ่นหลังของพวกเขาที่ค่อย ๆ เดินจากไป ความสงสัยเล็ก ๆ พาดผ่านเข้ามาในแววตาของเขา
หลินม่ายพาข่งเสียงไปที่ใต้ต้นมะเดื่อซึ่งอยู่ไม่ไกลจากตัวร้าน เปิดประเด็นถามอย่างตรงไปตรงมา “เมื่อกี้นี้คุณเห็นผู้ชายหน้าตาดีที่นั่งกินข้าวอยู่โต๊ะเดียวกันกับฉันหรือเปล่า?”
ข่งเสียงตอบตามตรงเช่นเดียวกัน “ผมเห็นผู้ชายคนหนึ่งนั่งอยู่ แต่ไม่รู้ว่าหน้าตาเขาเป็นยังไง เพราะเขานั่งหันหลังให้ผม”
ฟางจั๋วหรานเดินออกจากร้านหลังจากกินอาหารเช้าเสร็จเรียบร้อยแล้ว
ป้าหูยืนเขย่งเท้า ชะเง้อมองไปยังทิศทางที่หลินม่ายกับข่งเสียงกำลังสนทนากันอยู่
พอเห็นฟางจั๋วหรานเดินผ่านมา ก็รีบปรี่เข้าไปพูดจาอย่างมีลับลมคมใน “ศาสตราจารย์ฟาง ฉันเห็นเสี่ยวหลินอยู่กับผู้ชายอีกคนหนึ่งตอนคุณไม่อยู่ สองคนนั้นดูสนิทกันมากเลยแหละ แถมผู้ชายคนนี้ยังเทียวมาด้อมมองหาเสี่ยวหลินวันละหลายครั้ง ตอนนี้เสี่ยวหลินยังพาผู้ชายคนนั้นออกไป…”
ยังไม่ทันพูดจบ ฟางจั๋วหรานก็พูดขัดจังหวะหล่อนอย่างเย็นชา “คุณกำลังพยายามจะพูดอะไรกันแน่? คิดจะใส่ร้ายป้ายสีม่ายจื่อหรือไง!”
ป้าหูรีบหุบปากฉับทันที ก่อนจะเดินจากไปด้วยความอับอายขายหน้า สาเหตุที่ต้องการใส่ร้ายเป็นเพราะหล่อนชื่นชอบเรื่องร้าวฉานระหว่างสามีภรรยาเป็นการส่วนตัว จะไม่ให้ทำจมูกยื่นยาวได้อย่างไร
ฟางจั๋วหรานเดินต่อไป
ใต้ต้นมะเดื่อ หลินม่ายยังคงพูดกับข่งเสียง “ในเมื่อคุณไม่เห็นหน้าแฟนของฉัน ถ้าอย่างนั้นฉันจะพาคุณไปดูให้เห็นกับตาเดี๋ยวนี้แหละ”
ขณะที่เธอกำลังจะเดินกลับไปที่ร้านอาหารพร้อมกับข่งเสียง ก็เผอิญเดินสวนทางกับฟางจั๋วหรานพอดี
เธอชี้ไปทางฟางจั๋วหรานพลางพูดขึ้นมาว่า “ตอนนี้คุณคงเห็นหน้าแฟนฉันย่างชัดเจนแล้วใช่ไหม เขาหล่อหรือเปล่าล่ะ?”
ฟางจั๋วหรานมองเธอ ก่อนจะมองไปที่ข่งเสียงด้วยความสับสน
ข่งเสียงรู้สึกอับอายขึ้นมาทันที
แค่เปรียบเทียบจากรูปลักษณ์ภายนอกเพียงอย่างเดียว เขาก็เป็นฝ่ายพ่ายแพ้อย่างหมดรูป
หลินม่ายหันไปพูดกับฟางจั๋วหราน “ขอเวลาส่วนตัวให้ฉันแป๊บหนึ่งนะคะ ฉันมีเรื่องต้องคุยกับเสี่ยวข่ง”
ฟางจั๋วหรานพยักหน้าเล็กน้อย ก่อนจะเดินเลี่ยงออกไป
หลินม่ายหันไปอธิบายกับข่งเสียง “แฟนของฉันไม่ได้มีดีที่หน้าตาแค่อย่างเดียว แต่เขายังเก่งมากด้วย เขาทำงานเป็นศาสตราจารย์อยู่ที่มหาวิทยาลัยการแพทย์ แต่เหตุผลพวกนี้ไม่ใช่สิ่งที่สำคัญที่สุด เหตุผลที่สำคัญเหนืออื่นใดคือเขาดีกับฉันมาก ดังนั้นฉันไม่มีทางเลิกรากับเขาแล้วเลือกคบหากับคุณแน่ ๆ”
ใบหน้าของข่งเสียงเปลี่ยนเป็นแดงก่ำ “ผมเข้าใจแล้ว…”
ทันทีที่เห็นรถโดยสารขับเข้ามาจอดเทียบ เขาก็รีบหันไปบอกลาหลินม่าย แล้วรีบกระโดดขึ้นรถอย่างรวดเร็ว
หลังจากขึ้นรถมาแล้ว เขาถึงได้เห็นว่ารถโดยสารคันนี้ไม่ได้วิ่งผ่านเส้นทางที่เขาต้องการไปแต่อย่างใด
ช่างเถอะ ขอแค่ออกมาให้พ้นจากที่นั่นก่อนก็แล้วกัน ขืนอยู่ต่อไปอีกสักวินาทีคงรู้สึกขายหน้ากว่านี้แน่
เขาคิดว่าการได้พบกับหลินม่ายบนขบวนรถไฟเป็นเสมือนรักแรกพบ ไม่คาดคิดเลยว่าจะนำมาซึ่งความอับอายแบบนี้
เขาเอาแต่โทษตัวเอง เขาไม่ทันได้ถามเธอด้วยซ้ำว่าเธอมีคนรักแล้วหรือยัง แต่กลับเดินหน้าจีบเธอโดยที่ไม่รู้อะไรเลย…
ฟางจั๋วหรานรอดูอยู่ห่าง ๆ จนกระทั่งเห็นว่ารถโดยสารที่ข่งเสียงกระโดดขึ้นค่อย ๆ เคลื่อนห่างออกไป จึงเดินเข้าไปหาหลินม่ายพร้อมถามว่า “ผู้ชายคนนั้นเป็นใครเหรอ?”
“ฉันเจอเขาตอนนั่งรถไฟขากลับคราวก่อนค่ะ”
หลินม่ายเล่าให้ฟางจั๋วหรานฟังเพียงสั้น ๆ ว่าเธอรู้จักกับข่งเสียงได้อย่างไร ก่อนจะยิ้มด้วยความเขินอาย “ฉันเองก็นึกไม่ถึงเหมือนกันค่ะว่าเขาจะตกหลุมรักฉันตั้งแต่แรกเห็น”
ฟางจั๋วหรานยื่นมือไปบีบแก้มซีดเซียวของเธอทันที “แฟนของผมมีเสน่ห์ขนาดนี้ ไม่แปลกหรอกที่ใครเขาจะตกหลุมรักคุณตั้งแต่แรกเห็น!”
ถึงน้ำเสียงของเขาจะยังนุ่มนวลเหมือนไม่คิดอะไร แต่ภายในใจของเขากลับมีเสียงสัญญาณเตือนดังลั่น
ดูเหมือนว่ายิ่งคบกันนานเท่าใด นับวันเธอก็ยิ่งดูดีมากขึ้นเท่านั้น เขาเริ่มมีคู่แข่งเพิ่มขึ้นเสียแล้ว!
หลินม่ายกลับไปที่ร้าน ถามโจวฉายอวิ๋นว่า “วันนี้พี่ได้ซื้อหนังสือพิมพ์ไว้ให้ฉันหรือเปล่า?”
ช่วงนี้งานของเธอยุ่งมาก ไหนจะต้องวางแผนการขายเสื้อผ้า ไหนจะต้องไปที่กว่างโจวเพื่อซื้อเสื้อผ้ามาขายอีก
นั่นทำให้เธอไม่มีเวลาอ่านหนังสือพิมพ์เพื่อตรวจดูว่าหน้าหนึ่งมีกรอบบทความเล็ก ๆ ของตัวเองหรือไม่ และผู้ชายที่ชื่อโต้วหย่งได้รับบทลงโทษทางวินัยที่เขาสมควรได้รับแล้วหรือยัง
โจวฉายอวิ๋นชี้ขึ้นไปด้านบน “ซื้อสิ ฉันเก็บไว้ที่ลิ้นชักชิ้นแรกของตู้ในห้องนั่งเล่นชั้นบน”
หลินม่ายจึงเดินขึ้นไปชั้นบน หยิบหนังสือพิมพ์ออกมาจากลิ้นชักของตู้ในห้องนั่งเล่น แล้วเริ่มอ่าน
เธอพลิกอ่านหนังสือพิมพ์จนหมดทุกหน้า แต่กลับไม่เจอบทความสั้น ๆ ที่ตัวเองเป็นคนเขียนเลย หรือหนังสือพิมพ์ไม่สนใจบทความของเธอกัน?
รออีกสักสองสามวันหลังจากนี้ ถ้าภายในหนังสือพิมพ์ยังไม่มีการตีพิมพ์บทความร้องเรียนของเธอแล้วละก็ เธอจะไปสืบข่าวด้วยตัวเองว่าโต้วหย่งถูกหน่วยงานภาคทัณฑ์แล้วหรือยัง
บางทีหนังสือพิมพ์อาจไม่ได้ตีพิมพ์บทความของเธอ แต่ส่งเรื่องต่อให้กับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องสั่งลงโทษทางวินัยกับโต้วหย่งเรียบร้อยแล้วก็เป็นได้
หลังจากอ่านหนังสือพิมพ์เสร็จ หลินม่ายก็งีบหลับสักพัก พอตื่นแล้วก็ว่าจะออกไปข้างนอกสักหน่อย แต่โจวฉายอวิ๋นร้องเรียกเอาไว้
เธอชี้ไปที่สร้อยข้อมือคริสตัลสีชมพูบนข้อมือ แล้วถามด้วยเสียงกระซิบ “คุณหมอฟางซื้อให้เธอใช่ไหม?”
หลินม่ายพยักหน้ารับอย่างเขินอาย
โจวฉายอวิ๋นจึงเอื้อมมือไปตบก้นเธอเบา ๆ เพราะรู้สึกปลื้มปริ่ม “คุณหมอฟางดีกับเธอขนาดนี้ เธอก็อย่าลืมปฏิบัติต่อเขาอย่างดีล่ะ!”
หล่อนอยากให้หลินม่ายได้เจอความรักดี ๆ เสียที
หลินม่ายส่งยิ้มให้ ก่อนจะเดินออกจากร้าน ตรงไปหาคุณลุงเจ้าของบ้านที่อยู่ฝั่งตรงข้ามถนน
อีกสามวันต่อมา เสื้อผ้าล็อตใหญ่จะมาถึงเจียงเฉิง
เสื้อผ้ามือสองจำนวนมากเหล่านี้จำเป็นต้องผ่านกระบวนการฆ่าเชื้อและคัดแยก ต้องใช้สถานที่เฉพาะ
ถึงเธอจะมีบ้านพร้อมลานกว้างในเจียงเฉิงเป็นของตัวเอง แต่เธอก็ปล่อยให้เช่าไปแล้ว
ในเมื่อไม่สามารถใช้มันสำหรับเป็นสถานที่ในการทำความสะอาดและคัดแยกเสื้อผ้า ดังนั้นตึกแถวของคุณลุงเจ้าของตึกจึงกลายเป็นตัวเลือกแรก
ภายในตึกแถวขนาดใหญ่มีโถงกว้างซึ่งยังว่างเปล่า อีกทั้งเธอจะมาติดต่อขอซื้อเป็นของตัวเองภายในหนึ่งถึงสองเดือนหลังจากนี้ หากขอใช้มันเป็นสถานที่สำหรับจัดระเบียบเสื้อผ้าชั่วคราวก็คงไม่น่าเกลียดเกินไป
หรือถ้าคุณลุงเจ้าของต้องการเรียกเก็บเงินค่าเช่า เธอก็ยินดีจ่าย เพราะถึงอย่างไรตึกแถวหลังนี้ก็ยังเป็นของเธอ
คุณลุงเจ้าของไม่มีอะไรทำเป็นพิเศษ เขาเปิดวิทยุทิ้งไว้ แล้วงีบหลับอยู่บนเก้าอี้เอนหลัง
จนกระทั่งหลินม่ายเดินเข้าไปเขาก็ยังไม่รู้ตัว
หลินม่ายปลุกเขาให้ตื่น พลางพูดติดตลกว่า “คุณลุงคะ โชคดีนะที่ภายในบ้านไม่ได้มีของมีค่าอะไร ไม่อย่างนั้นต่อให้ขโมยขึ้นบ้านคุณก็คงไม่รู้ตัว ถูกยกเค้าเอาทรัพย์สินไปหมดแล้ว”
คุณลุงเจ้าของอ้าปากหาวหวอด ถามด้วยความแปลกใจ “คุณหาเงินมาจ่ายค่าบ้านได้แล้วหรือ?”
หลินม่ายยิ้มแหย “ยังหรอกค่ะ แต่ฉันมั่นใจว่าตัวเองรวบรวมเงินครบทันกำหนดแน่ คุณอย่ากังวลไปเลยนะคะ” หลังจากนั้นเธอก็อธิบายจุดประสงค์ในการมาครั้งนี้
คุณลุงเจ้าของบ้านคิดตามอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นก็พยักหน้าตกลง ไม่คิดเรียกเก็บค่าธรรมเนียมใด ๆ จากเธอ ยินดีให้ยืมตึกแถวหลังนี้เป็นเวลาห้าวันโดยไม่คิดเงิน
แต่เขามีคำขอร้องเล็ก ๆ น้อย ๆ ให้เธอช่วยทำอาหารอร่อย ๆ ให้เขาได้กินดื่มอย่างสำราญก็เท่านั้น
หลินม่ายยิ้มกว้าง “ไม่มีปัญหาค่ะ เดี๋ยวมื้อกลางวันฉันจะทำอาหารอร่อย ๆ มาส่งให้คุณนะคะ”
หลังออกมาจากตึกแถวของคุณลุงเจ้าของ หลินม่ายก็ตรงไปที่ห้างสรรพสินค้าเพื่อซื้อแป้งทาผื่นคันให้กับเด็กหญิงตัวน้อย ก่อนจะเดินไปสำรวจราคาพัดลมต่อ
พัดลมแบ่งออกเป็นพัดลมแบบตั้งพื้นและพัดลมเพดาน
พัดลมเพดานมีราคาถูกกว่า แข็งแรงไม่แตกหักง่าย ให้ลมแรงพอประมาณ แต่มีข้อเสียคือไม่สามารถเคลื่อนย้ายไปไหนมาไหนได้
ส่วนพัดลมตั้งพื้นลมไม่แรงเท่าพัดลมเพดาน แถมยังมีราคาแพงกว่า แต่มีข้อดีคือสามารถเคลื่อนย้ายได้
หลินม่ายวางแผนว่าจะไปที่ตลาดมืดเพื่อซื้อคูปองอุตสาหกรรมในช่วงบ่าย จากนั้นค่อยกลับมาที่ห้างสรรพสินค้าอีกครั้งเพื่อซื้อพัดลมเพดานสามตัว
เธอตั้งใจว่าจะติดตั้งพัดลมในห้องนอนของสองแม่ลูกและห้องนอนของโจวฉายอวิ๋น ส่วนอีกตัวหนึ่งว่าจะติดตั้งไว้เหนือเพดานร้าน เพื่อให้ลูกค้าได้รับลมเย็นชื่นใจ หลี่หมิงเฉิงก็จะได้อาศัยความเย็นจากมันเมื่อนอนหลับในตอนกลางคืน
หลังจากซื้อแป้งทาผื่นคันเรียบร้อยแล้ว หลินม่ายก็กลับมาถึงบ้านพาโต้วโต้วไปอาบน้ำ
เมื่อเช็ดตัวแห้งแล้วก็ไม่ลืมโรยแป้งทาผื่นคันให้ทั่วบริเวณที่เป็นผื่นแดง เพื่อที่เด็กหญิงตัวน้อยจะได้ไม่รู้สึกคันจนเกาเป็นแผลอีก
หลินม่ายไม่อยากให้คนนอกรู้ว่าเธอรับเสื้อผ้ามือสองจำนวนมากมาจากกว่างโจว
ยิ่งคนรู้น้อยเท่าไรเธอก็ยิ่งรวยเร็วขึ้น
คราวนี้เธอจึงไม่เขียนประกาศรับสมัครงานติดไว้หน้าประตูร้าน แต่ยังต้องการคนงานเพื่อมาช่วยทำความสะอาดและคัดแยกเสื้อผ้ามือสอง
เธอเริ่มต้นจากการบอกข่าวให้พนักงานในร้านแนะนำคนรู้จักให้มาทำงานด้วยกัน โดยจะจ่ายค่าแรงให้วันละสองหยวน
ทันทีที่พนักงานได้ยินว่าเธอจ่ายค่าจ้างรายวันในอัตราที่สูงมาก พวกเขาจึงรีบกลับไปบอกต่อให้ญาติ ๆ และเพื่อนฝูงรู้ข่าวอย่างไม่รอช้า
หลินม่ายไม่ลืมบอกให้ทุกคนแจ้งญาติและเพื่อนฝูงว่าให้มาสมัครงานที่ร้านของเธอในช่วงบ่ายของวันพรุ่งนี้
หลังจากเสร็จธุระ หลินม่ายเห็นว่ายังเช้าอยู่ จึงเดินทางไปที่ตลาดมืดเพื่อซื้อซี่โครงหมู เนื้อไก่ และวัตถุดิบอื่น ๆ
พอกลับมาถึงร้านแล้วก็จัดการทำซี่โครงหมูอบกระเทียม โข่วสุ่ยจี(1) และกระเพาะหมูตุ๋น ทุกเมนูถูกปรุงผ่านความร้อนจนเปื่อยได้ที่ เสร็จเรียบร้อยก็จัดการบรรจุลงกล่องอาหารเพื่อไปส่งให้คุณลุงเจ้าของบ้าน
……………………………………………………………………………………………………………….
โข่วสุ่ยจี หรือ ไก่ยั่วน้ำลาย เมนูเรียกน้ำย่อยรสเผ็ดที่ขึ้นชื่อของทางเสฉวน เป็นไก่ต้มสับราดด้วยน้ำซอสหม่าล่าเผ็ดชา โรยด้วยงา กระเทียมฝาน และต้นหอมซอย
สารจากผู้แปล
พี่หมอต้องเอาของมาหมั้นม่ายจื่อไว้ก่อนแล้วล่ะค่ะ คู่แข่งเริ่มเยอะแล้วน้า
ไหหม่า(海馬)