แม่ปากร้ายยุค 80 - ตอนที่ 2 เพิ่งจะแต่งงานก็ตบตีกันแล้ว
ตอนที่ 2 เพิ่งจะแต่งงานก็ตบตีกันแล้ว
เหยาชุ่ยฮวาถึงกับลนลาน
แม้จะบอกว่าหลินม่ายไม่มีสินเดิมของฝ่ายหญิงมาแลกเปลี่ยน แต่อาหารมื้อแรกของลูกสะใภ้ในบ้านหลังนี้คือมันเทศและผัดใบมันเทศ พวกชาวบ้านจะต้องเอาไปนินทาลับหลังในความร้ายกาจของนางแน่นอน
ลูกชายคนเล็กของนางอายุ 16 ปีแล้ว อีกไม่กี่ปีก็ต้องแต่งงาน ถ้าตระกูลของนางมีชื่อเสียงด่างพร้อย ตระกูลไหนจะยอมยกลูกสาวให้แต่งงานกับลูกชายคนเล็กของนางกันล่ะ!
เหยาชุ่ยฮวาโมโหฉุนเฉียวจนต้องตวาดใส่อู๋เสี่ยวเจี๋ยนว่า “ยังไม่รีบไปลากนังตัวซวยที่แกอยากจะแต่งงานด้วยกลับมาอีกเหรอ!”
อู๋เสี่ยวเจี๋ยนเขวี้ยงตะเกียบลงบนโต๊ะอย่างหนักหน่วง จากนั้นก็เอ่ยด้วยสีหน้าโหดเหี้ยม “นังสารเลว เพิ่งจะแต่งงานเข้ามาก็วอนโดนสั่งสอนเสียแล้วสินะ!”
เขาพูดพลางลุกขึ้นไปจับตัวหลินม่ายไว้
หลินม่ายกระโดดออกจากลานบ้านของเขา ก่อนจะร้องคร่ำครวญเสียงดัง “มีคนทำร้าย !มีคนทำร้าย!”
มณฑลหูในช่วงเดือนสิบมีอากาศไม่หนาวนัก ช่วงกลางวันจึงค่อนข้างร้อนอบอ้าวเล็กน้อย
ประกอบกับอยู่ในช่วงเฉลิมฉลองเทศกาล พวกชาวบ้านจึงค่อนข้างว่างงาน พากันมาจับเข่าคุยเรื่อยเปื่อยอยู่ใต้ต้นพุทธา
เสียงร้องคร่ำครวญของหลินม่ายดึงดูดสายตาของชาวบ้านไม่น้อย ทุกคนต่างซุบซิบนินทาแล้วมองมาทางหลินม่าย อู๋เสี่ยวเจี๋ยนวิ่งไล่ตามออกมาจากในบ้าน ก่อนจะง้างกำปั้น เตรียมจะซัดใส่เธอ
แต่แล้วก็มีอาวุโสผู้หนึ่งตะโกนด้วยน้ำเสียงขุ่นเคือง “เสี่ยวเจี๋ยน ทำไมแกถึงทำร้ายสะใภ้ที่เพิ่งแต่งเข้าบ้านแบบนี้!”
แม้อู๋เสี่ยวเจี๋ยนจะมีสีหน้าไม่สบอารมณ์ แต่ก็ทำได้แค่วางกำปั้นที่ง้างสูงนั้นลง
ไม่นานก็มีอาสะใภ้สองคนเดินเข้าไปไถ่ถามหลินม่าย “เกิดอะไรขึ้น เพิ่งแต่งงานกันทำไมถึงต้องตบตีเธอแบบนี้?”
แม้ว่าในยุค 80 การตบตีผู้หญิงในชนบทจะเป็นเรื่องธรรมดา แต่การถูกตบตีตั้งแต่วันแรกของวันแต่งงานกลับมีน้อยมาก
หลินม่ายยื่นชามข้าวของตัวเองไปตรงหน้าอาสะใภ้ทั้งสองคน แล้วสะอื้นไห้ “ฉันเห็นว่าอาหารที่พ่อแม่สามีกินไม่เหมือนกับของฉัน ทุกคนต่างได้กินข้าวและไข่ต้ม ส่วนฉันได้กินแค่มันเทศและผัดใบมันเทศเพียงคนเดียว แค่พูดว่าฉันก็อยากกินข้าวเหมือนกับคนอื่น แม่สามีก็เริ่มด่าทอฉัน บอกว่าครอบครัวฉันรับสินสอดของพวกเขาไปตั้งมากมาย แต่พวกเขากลับไม่ได้เงินสินเดิมจากเราสักแดงเดียว ยังริอาจอยากกินข้าวและไข่ต้มอีก จากนั้นเสี่ยวเจี๋ยนก็ตบตีฉัน”
พูดจบเธอก็ปล่อยโฮ ฮือ ๆ ออกมาด้วยความเจ็บปวด
อาสะใภ้ใหญ่สองคนนั้นและชาวบ้านที่พากันมามุงดูกลับไม่ได้ช่วยเธอพูดแต่อย่างใด
ตรงกันข้ามกลับตำหนิที่ครอบครัวของเธอเรียกสินสอดสูงเกินไปและไม่มีเงินสินเดิมไปให้พวกเขา พ่อแม่สามีรู้สึกไม่ยุติธรรมจะด่าทอเธอก็เป็นเรื่องปกติ ทั้งยังโน้มน้าวให้เธอข่มความโกรธนี้ไว้
คนชนบทในยุคนี้น้อยคนนักจะมีคนยกสินสอดทองหมั้นมาสู่ขอฝ่ายหญิง ต่อให้มี แต่ก็ไม่เกินสองสามหยวน
โดยทั่วไปจะเรียกแค่ข้าวหนึ่งถุงใหญ่และผ้าที่ถักทอเองเพียงสองผืนเท่านั้น ไม่มีใครไปซื้อผ้าจากสหกรณ์มาเป็นสินสอดทองหมั้นหรอก
การซื้อผ้าแบบนี้เป็นเรื่องยากสำหรับพวกชาวบ้าน พวกเขาจะต้องไปซื้อผ้าราคาสูงในตลาดมืดเท่านั้น
ในระยะสิบลี้นี้มีตระกูลไหนบ้างที่กล้ายกสินสอดทองหมั้นมหาศาลเหล่านั้นได้เหมือนกับสกุลอู๋?
ถ้าเป็นพวกเขา คงยากที่จะแสดงสีหน้าแช่มชื่นต้อนรับลูกสะใภ้ที่ไม่มีแม้กระทั่งสินเดิมแบบนี้
หลินม่ายร้องไห้คร่ำครวญต่อ “สินสอดไม่ใช่สิ่งที่ฉันอยากได้เลย แต่เป็นสิ่งที่เสี่ยวเจี๋ยนเรียกร้องจากพ่อแม่เอง เพื่อให้พี่สาวของฉันมีเงินเรียนต่อ มีเสื้อผ้าสวย ๆ สวมใส่”
เธอดึงทึ้งเสื้อผ้าที่ใช้ผ้าถักทอเองบนร่างกายของเธอ แล้วพูดอย่างไม่เป็นธรรม “ลุงป้าน้าอาทั้งหลาย โปรดดูนี่ว่าเสื้อผ้าที่ฉันใส่อยู่ตอนนี้เป็นยังไง แล้วเมื่อครู่พี่สาวของฉันแต่งตัวยังไง สินสอดทองหมั้นและผ้าเหล่านั้นฉันไม่เคยได้แตะต้องเลยแม้แต่น้อย”
อู๋เสี่ยวเจี๋ยนไปเรียกร้องขอสินสอนทองหมั้นและผ้าจากพ่อแม่ของเขา เรื่องนี้รู้กันไปทั่วทั้งหมู่บ้าน
ลับหลังต่างว่าร้ายหาว่าหลินม่ายเป็นนังจิ้งจอกเจ้าเล่ห์ ยั่วยวนจนอู๋เสี่ยวเจี๋ยนที่รู้ความแล้วหลงใหลจนโงหัวไม่ขึ้น เพื่อจะได้เรียกสินสอดทองหมั้นมาให้เธอ
แต่เมื่อได้ยินคำพูดของหลินม่าย ทุกคนก็ได้พบว่าคนที่เป็นจิ้งจอกเจ้าเล่ห์แท้จริงแล้วไม่ใช่หลินม่าย แต่เป็นหลินเพ่ยพี่สาวของเธอ
ถ้าเป็นหลินเพ่ย อู๋เสี่ยวเจี๋ยนคงจะทำใจตบตีคนที่ตัวเองชื่นชอบจนอยากแต่งงานด้วยไม่ได้ แต่เมื่อครู่นี้เขาคิดจะตบตีหลินม่าย ทุกคนต่างก็เห็น
อีกอย่าง เสื้อผ้าที่หลินเพ่ยสวมใส่ก็เป็นเสื้อผ้าที่ตัดเย็บมาจากวัสดุผ้าที่สกุลอู๋ซื้อมาจากสหกรณ์ พวกเขาก็เห็นเช่นกัน
สิ่งที่หลินม่ายพูดนั้นเป็นความจริง สินสอดทองหมั้นของสกุลอู๋ล้วนถูกนำมาปรนเปรอให้พี่สาวของเธอทั้งสิ้น
สินสอดทองหมั้นของน้องสาวถูกยกให้พี่สาวทั้งหมด เรื่องนี้ช่างน่าเก็บไปคิดนัก
เมื่ออู๋เสี่ยวเจี๋ยนเห็นหลินม่ายหยิบยกความสัมพันธ์ระหว่างเขากับหลินเพ่ยออกมาพูด จึงรีบตวาดออกไปด้วยความโกรธเคือง “ม่ายจื่อ ขืนเธอพูดจาเหลวไหลอีก ฉันตบเธอแน่!”
“แกกล้า!” เหยาชุ่ยฮวาตวาดใส่อู๋เสี่ยวเจี๋ยน แล้วหันไปถามหลินม่ายด้วยสีหน้าทมึงทึง “ในเมื่อพี่สาวของเธอเป็นคนอยากได้สินสอดทองหมั้นเหล่านั้น แล้วทำไมคนที่เขาต้องแต่งงานด้วยกลับเป็นเธอ?”
ถ้าเป็นพี่สาวของหลินม่าย การเสียสินสอดทองหมั้นมหาศาลคงไม่ได้ขัดต่อความรู้สึกของนางนัก
โชคดีที่หลินเพ่ยยังเรียนชั้นมัธยมปลาย แม้ต่อไปจะไม่ได้สอบเข้ามหาวิทยาลัย แต่หลังเรียนจบแล้วหล่อนก็เป็นนักบัญชีของหมู่บ้านไม่ก็คนงานในเมืองได้ง่าย ๆ
สิ่งที่คนสมัยนี้ขาดแคลนคือการศึกษา ถ้ามีการศึกษาก็ไม่ต้องกลัวว่าจะไม่มีงานทำ
ถ้าสอบเข้ามหาวิทยาลัยได้ ก็น่าจะได้เป็นพนักงานในโรงงาน ลูกสะใภ้ที่มีฐานะดีเช่นนี้ใครเล่าจะไม่อยากได้!
“เพราะพี่สาวของฉันคิดว่าครอบครัวของพวกคุณยากจน จึงไม่อยากแต่งงานด้วย ส่วนเสี่ยวเจี๋ยนไม่อยากสู่ขอหล่อนให้มาลำบากในตระกูล เลยมาสู่ขอฉันแทน แต่กลับยกสินสอดเหล่านั้นให้เป็นค่าเล่าเรียนของพี่สาวฉันก็เท่านั้น”
เหยาชุ่ยฮวาโกรธเป็นฟืนเป็นไฟ ก่นด่าอู๋เสี่ยวเจี๋ยนต่อหน้าทุกคน ทั้งยังสั่งให้เขาไปเอาสินสอดทองหมั้นจำนวน 10 หยวนกลับมาจากบ้านพ่อตาแม่ยายของฝ่ายหญิงในวันพรุ่งนี้อีกด้วย ส่วนสินสอดอื่นให้มันแล้วกันไป
แต่หลินม่ายรู้ว่านางแค่โวยวายเท่านั้น ในเมื่อสู่ขอลูกสะใภ้มาแล้ว จะไปขอสินสอดทองหมั้นคืนได้อย่างไร!
เว้นเสียแต่ว่าสกุลหลินจะใช้วิธีต้นสาลี่ตายแทนต้นท้อ(1) ซึ่งอาจจะได้คืนกลับมาบ้าง แต่ปัญหาคือสินสอดนั้นไม่มีเหลือแล้ว สกุลอู๋คงทำได้แต่ต้องทนหวานอมขมกลืนต่อไป
แม้จะเอะอะโวยวายถึงขนาดนี้ แต่สิ่งที่หลินม่ายต้องกินในตอนเที่ยงก็ยังเป็นมันเทศและผัดใบมันเทศอยู่วันยังค่ำ
เหยาชุ่ยฮวาจะไม่มีวันเห็นใจเพียงเพราะเธอเป็นผู้ถูกกระทำ หรือต่อให้ดีกับเธอ เธอก็เป็นเพียงผู้หญิงที่ขยันสร้างเรื่อง
หลังจากยุค 80 ผ่านพ้น สายลมแห่งการปฏิรูปได้พัดผ่านไปทั่วทุกพื้นที่ ชีวิตของคนในชนบทจำนวนมากเริ่มดีขึ้นเรื่อย ๆ แต่มีเพียงสกุลอู๋กลับยากจนลง ซื่งเป็นเหตุการณ์ที่เหยาชุ่ยฮวาไม่มีวันลืม
ในสายตาของเหยาชุ่ยฮวา หลินม่ายคือคนสกุลหลิน ย่อมมีส่วนร่วมในการหลอกลวงเอาสินสอดทองหมั้นและเสื้อผ้าในตระกูลของนาง ดังนั้นนางจึงไม่จำเป็นต้องแสนดีกับเธอ
หลินม่ายไม่ได้สนใจว่ามื้อเที่ยงตัวเองได้กินอะไร ตรงกันข้ามเป้าหมายของเธอกลับสำเร็จลุล่วงแล้ว เธอทำให้ชาวบ้านในหมู่บ้านอู๋เจียรู้ว่าถึงความสัมพันธ์อันคลุมเครือระหว่างอู๋เสี่ยวเจี๋ยนและหลินเพ่ย
หลินเพ่ยและน้องเขยของตัวเองมีความสัมพันธ์ที่ไม่ชัดเจน ต่อไปคงจะหาความดีของพวกเขาได้ยากยิ่งกว่าขึ้นสวรรค์ ถึงอย่างไรชื่อเสียงก็เสียไปแล้ว ซึ่งในยุค 80 ยังคงให้ความสำคัญกับชื่อเสียงมาก
ทำให้พ่อแม่ของอู๋เสี่ยวเจี๋ยนได้รู้ว่าลูกชายคนโตของพวกเขารักใคร ถึงขั้นเรียกร้องเงินสินสอดมหาศาลกับพวกเขาเพื่อใครสักคน
ต่อไปหลินเพ่ยจะต้องท้อแท้สิ้นหวังที่ต้องแต่งงานกับอู๋เสี่ยวเจี๋ยน
ในตอนนั้นเหยาชุ่ยฮวาที่คิดจะใช้ประโยชน์จากลูกชายของตนเรียกสินสอดมหาศาลนั้นกลับคืนมาก็คงไม่สามารถกระทำรุนแรงกับหล่อนได้
ถึงตอนนั้นอู๋เสี่ยวเจี๋ยนก็คงจะขัดแย้งกับเหยาชุ่ยฮวาเพื่อหลินเพ่ย เหยาชุ่ยฮวาต้องเจ็บช้ำน้ำใจกับลูกชายของตัวเองทุกวัน และยังเป็นการแก้แค้นที่นางทำร้ายเธอในชาติก่อนได้อย่างสาสมอีกด้วย
หลังจากกินมื้อเที่ยงเสร็จแล้ว เหยาชุ่ยฮวาก็โกรธจนล้มหมอนนอนเสื่อไปจริง ๆ
อู๋เสี่ยวเจี๋ยนจึงเป็นคนทำอาหารค่ำ ซึ่งพวกเขายังคงได้กินข้าวชามใหญ่ และให้หลินม่ายกินมันเทศ
ชนบทในยุค 80 ยังไม่มีไฟฟ้า พอค่ำหน่อยก็จะเริ่มจุดตะเกียงน้ำมัน
แต่หลังจากจุดตะเกียงแล้วก็ไม่มีอะไรทำ เหยาชุ่ยฮวาจึงตะเกียกตะกายลุกขึ้นจากเตียงอย่างลนลาน เป่าดับไฟในตะเกียงน้ำมันให้ทุกคนเข้านอน
คืนแต่งงานของหลินม่ายเพิ่งเริ่มต้นขึ้น!
…………………………………………………………………………………………………………………………
(1)李代桃僵 เป็นสำนวน หมายถึงการเสียสละส่วนน้อยเพื่อรักษาประโยชน์ส่วนมาก
สารจากผู้แปล
ชอบ เอาอีก ปั่นอีกค่ะม่ายจื่อ มารยาสาไถกี่ร้อยเล่มเกวียนงัดมาใช้ให้หมด
ไหหม่า(海馬)