แม่ปากร้ายยุค 80 - ตอนที่ 237 ทำธุรกิจต้องมองมุมกว้าง
ตอนที่ 237 ทำธุรกิจต้องมองมุมกว้าง
หลังจากคุยกับอวี๋เจียจิ้นเรียบร้อยแล้ว หลินม่ายก็ไปที่บ้านของเสี่ยวหง
แม้ว่าเธอจะจัดการเรื่องค่ากำแพงเองแต่ก็ต้องไปบอกเรื่องนี้ให้แม่เสี่ยวหงรู้ด้วย ไม่อย่างนั้นอาจจะทำให้แม่เสี่ยวหงรู้สึกว่าถูกเอาเปรียบได้ อาจจะมีปัญหาตามมาในอนาคต
แม่ของเสี่ยวหงยังคงต้อนรับอย่างดีเหมือนคราวที่แล้ว หล่อนเชิญให้แขกนั่งลงและเอาถั่วเขียวต้มมาให้
หลินม่ายเริ่มเข้าประเด็น “พี่สาว ไม่ต้องยุ่งยากหรอกค่ะ ฉันแค่จะมาถามเรื่องต่อเติมบ้านว่าจะเพิ่มอีกหนึ่งชั้นได้หรือเปล่า”
แม่เสี่ยวหงตอบด้วยท่าทางกังวลใจ “ฉันเองก็อยากจะทำด้วยนะ แต่ตอนนี้ฉันไม่มีเงินพอจะทำอะไรแบบนั้นได้หรอก ก็เลยอยากให้เลื่อนไปก่อนได้หรือเปล่า”
หลินม่ายยิ้ม “ไม่เป็นไรเลยค่ะ ฉันจะจ่ายทุกอย่างเองไปก่อน พี่มีเงินเมื่อไรค่อยมาจ่ายคืนก็ได้ แบบนี้ดีไหมคะ”
“เอาแบบนั้นก็ได้ ฉันไม่ติดตรงไหนแล้ว” แม่ของเสี่ยวหงดูเป็นคนมีเหตุผลมาก
หลังจากออกจากบ้านเสี่ยวหง หลินม่ายก็เดินทางกลับร้าน
ก่อนข้ามถนนก็สังเกตเห็นว่าที่หน้าร้านมีผู้คนกำลังมุงดูอะไรบางอย่างอยู่
เธอขมวดคิ้วแล้วรีบเดินเข้าไป
เธอเห็นว่าเป็นป้าหูยืนชี้ไปที่รถขายข้าวโพดปิ้งของร้าน ถ่มน้ำลายแล้วบ่นกับเทศกิจสองคนที่ยืนอยู่
“ร้านนี้ปล่อยให้ควันจากเตาปิ้งข้าวโพดสองเตาลอยมาเข้าร้านฉันหมดแล้ว ทั้งฉันทั้งลูกค้าโดนรมควันกันหมดเลย ใครจะรับผิดชอบเนี่ย? ต้องจ่ายค่าเสียหายมาด้วย”
เทศกิจสองคนมองไปที่เตาข้าวโพดของหลินม่าย เพราะเป็นเตาต้องใช้ฟืน ก็เลยมีควันลอยออกมาจากการทำอาหาร
แต่ประเด็นคือควันไม่ได้เข้าไปในบ้านป้าหู มันลอยไปในทางตรงข้ามต่างหาก
เทศกิจคนหนึ่งตอบป้าหูอย่างยุติธรรมว่า “ก็ไม่เห็นจะเข้าบ้านคุณเลย มันลอยไปทางอื่นนี่ จะไปเรียกร้องค่าเสียหายได้ยังไง ยังไม่ได้มีความเสียหายอะไรเลย”
โจวฉายอวิ๋นโกรธมาก “คนไม่เข้าร้านป้าเพราะควันจากร้านเราไปรบกวนแขกป้าตอนไหนเหรอ ไร้สาระมาก ที่คนไม่เข้าร้านป้าเพราะร้านเราอาหารอร่อยกว่า อากาศดีกว่าเพราะมีพัดลมให้ลูกค้า บรรยากาศดีกว่าเยอะ ที่แขกเขาพากันหนีเพราะป้าสู้เราไม่ได้ต่างหาก”
ป้าหูเท้าเอวเถียงกลับ “มันเป็นเพราะควันจากเตาของพวกแกต่างหาก”
หลินม่ายตอบอย่างเย็นชา “เจ้าหน้าที่เขาก็บอกแล้วนี่ว่ามันไม่ได้เข้าไปในร้านคุณ”
“ตอนนี้ไม่เข้า แต่ก่อนหน้านี้มันลอยเข้ามา”
“มันจะเข้าบ้านเธอได้ไง” เพื่อนบ้านสกุลถูที่อยู่อีกฝั่งของร้านหลินม่ายพูดขึ้น “ควันจากร้านเสี่ยวหลินพัดมาทางบ้านฉันตั้งแต่เช้า ถึงเสี่ยวหลินต้องจ่ายเงินชดใช้หล่อนก็จ่ายให้ฉันแล้ว นี่เธอมาเกี่ยวกับเรื่องนี้ได้ยังไงเนี่ย”
ป้าหูจำต้องหุบปากลงอย่างไม่พอใจ
เทศกิจหันมาพูดกับหลินม่ายว่า “ควันจากเตาของคุณมันรบกวนคนอื่น แบบนี้ต้องหาทางแก้ไข ไม่งั้นก็ต้องหยุดขายนะ”
พอป้าหูได้ยินแบบนั้นก็มีสีหน้าพึงพอใจออกมา
หลินม่ายตอบพวกเขา “งั้นเดี๋ยวฉันจะเปลี่ยนไปใช้ถ่านหินแทนจะได้ไม่มีควันนะคะ”
เตาย่างข้าวโพดไม่ได้ใช้กับฟืนได้เพียงอย่างเดียว ยังใช้กับถ่านหินได้ด้วย แต่ถ้าใช้ฟืนก็จะมีต้นทุนต่ำกว่า
เทศกิจทั้งสองรอดูจนแน่ใจว่าพอเปลี่ยนเป็นถ่านหินแล้วไม่มีควันออกมารบกวนคนอื่นจริง ๆ พวกเขาก็กลับไป
ป้าหูแค้นจัดที่เล่นงานคู่แข่งไม่ได้อีกแล้ว
เถ้าแก่ถูที่ช่วยพูดให้หลินม่ายเมื่อครู่ได้ทีก็รีบเข้ามาตีสนิท “เสี่ยวหลิน ฉันได้ยินเธอคุยกับใครซักคนว่าจะช่วยหาข้าวโพดให้เขาในครั้งหน้า เธอจะซื้อข้าวโพดมาอีกเมื่อไรเหรอ ฉันเองก็อยากได้บ้างเหมือนกัน”
หลินม่ายตอบไปตามตรง “ฉันจะกลับบ้านที่ชนบทไปซื้อข้าวโพดพรุ่งนี้ ฉันจะไปเอามาให้เท่าที่คุณอยากได้”
เถ้าแก่ถูดูประหลาดใจที่หลินม่ายยอมช่วยง่าย ๆ เพราะความจริงเขาแค่ลองถามไปอย่างไม่จริงจังเท่านั้น
เขาลูบมือไปมาแล้วถามเธอต่อ “ซักพันฝักได้ไหม”
หลินม่ายพยักหน้าตอบ “ได้อยู่แล้วค่ะ แต่คุณต้องขายมันให้หมดในสามวันนะคะ เพราะข้าวโพดสดจะเก็บไว้ได้ไม่นาน สามวันก็เสียแล้ว”
เพราะป้าหูไปเรียกเทศกิจมาก่อกวน ตอนนี้ก็เลยมีทั้งชาวบ้านและเจ้าของร้านละแวกนี้คนอื่น ๆ มามุงดู
พอเห็นว่าหลินม่ายรับปากจะหาข้าวโพดมาให้เถ้าแก่ถู พวกเขาก็พากันพูดว่า
“เสี่ยวหลิน ช่วยเอาข้าวโพดมาให้ฉันด้วยได้ไหม”
“ฉันก็อยากได้ด้วย”
โจวฉายอวิ๋นเห็นท่าไม่ดีก็เลยรีบดึงตัวหลินม่ายเข้าร้านพาขึ้นมาข้างบนอย่างรวดเร็ว
“ม่ายจื่อ บ้าไปแล้วเหรอ จะไปช่วยเถ้าแก่ถูหาข้าวโพดทำไม เขาอยู่ข้างบ้านเรา ถ้าเขาขายข้าวโพดปิ้งบ้างต้องกระทบยอดขายของเราแน่ ๆ ถ้าเป็นเพราะเขาช่วยพูดให้ ก็ช่วยแค่เขาคนเดียวพอ อย่าไปช่วยคนอื่นเพิ่มอีกนะ”
หลินม่ายส่ายหน้า “ไม่ใช่เรื่องที่จะต้องกังวลหรอกน่า ถึงจะเลียนแบบกัน แต่จะทำได้จริงเหรอ คนอื่นขายได้แค่ข้าวโพดปิ้งแบบทั่วไป บ้านเราขายข้าวโพดปิ้งได้ทั้งแบบทั่วไปแล้วก็แบบโรยผงยี่หร่าที่ไม่มีใครทำตามได้ เราห้ามคนอื่นไม่ให้ขายตามเราไม่ได้หรอก ก็แค่ต้องใช้ความแตกต่างเอาชนะ”
“แล้วถ้าพวกเขาขอซื้อผงยี่หร่า เธอจะให้ด้วยไหมเนี่ย”
“ก็ต้องไม่อยู่แล้วสิ ช่วยเหลือคนก็ต้องมีขีดจำกัด”
หลินม่ายตบไหล่โจวฉายอวิ๋น “พี่คิดว่าฉันกำลังช่วยพวกเขาอยู่ใช่ไหม แต่จริง ๆ ฉันกำลังช่วยชาวไร่ที่ซื่อเหม่ยต่างหาก เพราะพี่ไม่เคยกลับไปซื้อข้าวโพดกับฉัน ก็เลยยังไม่เคยเห็นความตื่นเต้นของชาวบ้านตอนที่มีคนไปซื้อของ พอมาคิดดูแล้ว ตอนที่เราขายข้าวโพดให้เพื่อนบ้าน ถึงจะขายราคาส่ง แต่ถ้าสั่งซื้อครั้งละเยอะ ๆ ก็เป็นกำไรของเราอีกทางหนึ่งเหมือนกัน บางครั้งทำธุรกิจก็ต้องมองมุมกว้างถ้าเรายังสนใจอยู่แค่จุดเล็ก ๆ จุดเดิมก็คงจะเติบโตได้ยาก”
โจวฉายอวิ๋นเงียบไปครู่หนึ่งก็กำชับขึ้นอีกครั้ง “ไม่ว่ายังไงเธอต้องห้ามขายผงยี่หร่าให้พวกเขาเด็ดขาดเลยนะ”
หลินม่ายพยักหน้าอย่างหนักแน่น “เข้าใจแล้ว”
โจวฉายอวิ๋นถอนหายใจเงียบ ๆ ถึงหลินม่ายจะไม่ยอมหาผงยี่หร่าให้พวกเขา ก็ใช่ว่าวันหนึ่งเหล่าเพื่อนบ้านจะไปหาซื้อมันมาเองไม่ได้
ไม่ว่าจะเป็นข้าวโพดหรือผงยี่หร่า มันก็คงเป็นของหายากอยู่ชั่วคราว แต่คงไม่มีทางเป็นแบบนี้ตลอด
เมื่อทั้งสองออกมาที่หน้าร้าน บรรดาเพื่อนบ้านและเจ้าของร้านคนอื่น ๆ ก็ยังคงปักหลักอยู่ที่นั่น
ทันทีที่ทุกคนเห็นว่าเจ้าของร้านสาวเดินออกมาก็ต่างพากันมาห้อมล้อมเธอแล้วถามอย่างมีความหวัง “เสี่ยวหลินช่วยหาข้าวโพดให้พวกเราเถอะนะ”
“ได้ค่ะ แต่อย่างที่พวกคุณเห็นรถแทรกเตอร์ของฉันคันแค่นี้ ขนข้าวโพดมาได้แค่ครั้งละเจ็ดหรือแปดพันฝักเท่านั้น ฉันกับเถ้าแก่ถูต้องใช้คนละหนึ่งพันฝัก หาเพิ่มให้ได้อีกไม่เกินหกพันฝัก ให้พวกคุณตกลงกันเองแล้วมาบอกฉันแล้วกัน”
ทุกคนได้ยินแบบนั้นก็ตอบรับด้วยความยินดี
เจ้าของร้านคนหนึ่งถามขึ้นมาว่า “เสี่ยวหลิน เธอมีส่วนลดให้เราไหมยังไงนี่เป็นการสั่งซื้อครั้งแรก”
โจวฉายอวิ๋นฉุนขึ้นมาทันทีและกำลังจะอ้าปากตำหนิแต่หลินม่ายขัดขึ้นมาก่อน “ไม่ได้หรอกค่ะ นอกจากเถ้าแก่ถูแล้วฉันให้คนอื่นได้ส่วนลดนี้ไม่ได้”
“แล้วจะขายให้เราเท่าไร”
“ฝักละ 9 เฟิน ถ้าอยากได้ก็จองไว้ก่อน จ่ายเงินก่อนรับของทีหลัง”
ถ้าหลินม่ายไปซื้อข้าวโพดกับชาวไร่โดยตรง ปกติแล้วจะขายกันที่ฝักละสี่ถึงห้าเฟิน
หรือก็คือเธอได้รายได้จากการส่งข้าวโพดให้เพื่อบ้านเพิ่มมาอีกฝักละ 4-5 เฟิน
ทำการค้า เป็นไปไม่ได้ที่จะไม่เอากำไร เธอต้องคิดค่าน้ำมัน ค่าแรงในการขนส่งเพิ่มอยู่แล้ว
ฝักละ 9 เฟินถือว่าไม่แพงเลย เมื่อเทียบกับข้าวโพดในตลาดมืดฝักละ 15 เฟิน
เอามาปิ้งขายแบบรสชาติดั้งเดิมฝักละ 3 เหมา ก็ได้กำไรมหาศาลแล้ว
แต่ทุกคนรู้สึกว่าหลินม่ายดูหัวอ่อน เลยเริ่มต่อรองกับเธอ “ 7 เฟินได้ไหม”
หลินม่ายไม่ทะเลาะกับพวกเขา เพียงตอบด้วยรอยยิ้ม “ฉันยอมจ่าย 8 เฟินเลยถ้าพวกคุณไปหามาขายให้ฉันได้”
ฟังจากสิ่งที่เธอพูดแล้วก็รู้ในทันทีว่าหลินม่ายไม่มีทางยอม พวกเขาเลยต้องเป็นฝ่ายยอมแพ้
จากนั้นก็เริ่มมีคนสนใจรถเข็นแบบมีเตาย่างของเธอ “เสี่ยวหลินเธอสั่งรถแบบนี้มาจากไหน แนะนำเราได้หรือเปล่า”
พวกเขาอิจฉารถปิ้งย่างของเธอมานานแล้ว และอยากจะมีเอาไว้ใช้เองบ้าง
แต่ไม่มีใครกล้าถามออกมาตรง ๆ มาก่อนเพราะคิดว่าเธอคงไม่ยอมบอก
ตอนนี้มีคนใจกล้าถามสิ่งที่พวกเขาอยากรู้ออกมาแล้ว ทุกคนเลยมองไปทางหลินม่ายเป็นตาเดียวอย่างช่วยไม่ได้
เจ้าของร้านสาวตอบอย่างไม่ลังเล “ได้เลย ฉันจะบอกให้นายช่างที่ทำเตานี่มาคุยกับพวกคุณ ลองคุยราคาค่าทำกับเขาได้เลย ไม่ได้แพงอะไรมากมายแค่ 25 หยวนเท่านั้น”
หลายคนอึ้งไป 25 หยวนเนี่ยนะไม่แพง จ่ายเงินเดือนคนงานได้เกือบหนึ่งเดือนเลยด้วยซ้ำ
มีคนเริ่มถามอีก “เสี่ยวหลิน เธอหายี่หร่ามาให้เราได้ไหม แพงแค่ไหนฉันก็ยอมจ่าย”
หลินม่ายปฏิเสธทันที “ยี่หร่าหายากมาก ฉันคงช่วยคุณไม่ได้จริง ๆ ฉันยอมช่วยทุกคนแล้ว แต่ถ้ายังได้คืบจะเอาศอกแบบนี้ แม้แต่ข้าวโพดหรือช่างทำเตาฉันก็จะไม่หามาให้สักอย่าง”
คำพูดที่รุนแรงนั้นของหลินม่ายทำให้หลายคนถึงกับต้องหลบสายตาด้วยความอาย
พวกเขาเห็นว่าเธอใจดี ถามอะไรก็บอกอย่างง่ายดาย เลยเผลอคิดว่าเธอจะเป็นเด็กหัวอ่อน ทั้งที่ความจริงแล้วไม่ใช่แบบนั้นเลย
………………………………………………………………………………………………………………………….
สารจากผู้แปล
เห็นม่ายจื่อใจดีแล้วอย่าคิดว่าจะให้ได้ทุกอย่างเด้อ บางอย่างก็ให้ไม่ได้จริงๆ
ไหหม่า(海馬)