แม่ปากร้ายยุค 80 - ตอนที่ 244 วิ่งไปถาม
ตอนที่ 244 วิ่งไปถาม
ฟางจั๋วหรานเห็นว่าคิ้วของหลินม่ายดูรกเกินไปหน่อย จึงหยิบแหนบทางการแพทย์มากันคิ้ว
เขาสะบัดข้อมือทีละน้อย จนคิ้วเริ่มดูเป็นรูปร่าง
“ผมดูหยาบกระด้างตรงไหนกัน ยังจำเนื้อหาในจดหมายรักที่ได้มาได้อยู่เลย มีคนบอกว่าผมดูงดงามเหมือนหยกและทองชั้นดี ไม่ว่าเวลาจะผ่านไปนานแค่ไหนก็ไร้ที่ติ… ทำไมคุณทำหน้าเหลือทนแบบนั้นล่ะ”
หยกและทองงามล้ำค่าชั้นดีไร้ที่ติ?
หลินม่ายขึ้นเสียงอย่างค่อนแคะ “คุณไม่รู้สึกเขินเวลาอ่านประโยคอะไรแบบนั้นหรือไง น่าจะรู้สึกอายกับมันสักหน่อยไหม พูดออกมาด้วยท่าทางพออกพอใจแบบนั้นเนี่ยนะ”
“ผมมีชื่อเสียงเรื่องความสุดยอดล้ำเลิศเรื่องอื่นอยู่อีกนะ ถ้าไม่รังเกียจจะสาธิตให้ดู”
“อะ ไอ้คนบ้า !” หลินม่ายรีบขึ้นเสียงด้วยความเขิน
คล้ายกับการขับรถที่สาว ๆ อาจจะไม่ได้ทำได้ดีเท่าหนุ่ม ๆ เรื่องการต่อปากต่อคำแบบนี้ก็ไม่ต่างกัน
ฟางจั๋วหรานชอบท่าทางเขินอายของหลินม่ายเอามาก ๆ
“นี่คุณคิดอะไรเนี่ย มาว่าผมแบบนี้รู้เลยนะว่าในหัวมีเรื่องอะไรอยู่”
เมื่อหญิงสาวประเมินแล้วว่าเถียงต่อไปก็มีแต่จะแพ้คุณศัลยแพทย์จอมเจ้าเล่ห์อย่างเขา เธอจึงเลือกที่จะปิดปากเงียบไม่ต่อปากต่อคำอะไรออกไปอีก
หลังจากนั้นแฟนหนุ่มที่ตอนนี้รับหน้าที่ช่างเสริมสวยก็จัดการกับคิ้วของหลินม่ายจนเรียบร้อย
คิ้วรูปใบหลิวโก่งสวยและผมหน้าม้าที่เพิ่งตัดเสร็จใหม่ ๆ ตอนนี้ทำให้หลินม่ายดูอ่อนหวานเป็นพิเศษ
พยาบาลหลายคนที่เห็นเธอก็รู้สึกว่าเธอสวยขึ้นเช่นกัน
ทุกคนเห็นตรงกันว่าเป็นเพราะความรักเลยทำให้คนเราดูสวยขึ้น
พวกหล่อนเองก็อยากจะได้ความรักจากอาจารย์ฟางมาทำให้สวยขึ้นบ้างเหมือนกัน แต่น่าเสียดายที่คงไม่ได้รับมัน
หลินม่ายถูกพากลับมาส่งที่ร้านอาหาร มาถึงก็อ่านหนังสือเตรียมสอบจนถึงเที่ยง โจวฉายอวิ๋นรับหน้าที่เตรียมมื้อเที่ยงของวันนี้แล้วก็เอาไปให้ที่ชั้นบน
เมื่อเห็นเมนูซุปเนื้อวัวใส่หัวไชเท้า หลินม่ายก็เอ่ยถามขึ้นด้วยความประหลาดใจ “ไปได้เนื้อวัวมาจากไหน”
ตั้งแต่เกิดใหม่ หลินม่ายกินเนื้อวัวนับครั้งได้เลย
เหมือนจะเป็นเมื่อตรุษจีนปีที่แล้วที่ได้กินเนื้อวัวครั้งแรก จากนั้นก็ได้กินอีกสองสามครั้งตอนที่ไปกว่างโจว แล้วตั้งแต่ตอนนั้นก็ไม่ได้กินอีกเลย
ที่กว่างโจวกำลังผ่อนปรนแผนเศรษฐกิจที่เข้มงวด แต่ที่เจียงเฉิงยังไม่ได้ไปถึงขั้นนั้น เนื้อวัวและเนื้อแกะจึงหากินได้เฉพาะบางที่ในคนกลุ่มเล็ก ๆ เท่านั้น
บางทียังพอจะหาซื้อเนื้อแกะได้บ้าง เพราะมีชาวบ้านรอบ ๆ นี้เลี้ยงบ้างสองสามตัวในครัวเรือนแล้วเอามาขายในตลาดมืด แต่เนื้อวัวไม่สามารถหาซื้อได้เลย
โจวฉายอวิ๋นเอ่ยตอบ “ก็ต้องเป็นอาจารย์ฟางเอามาอยู่แล้ว ฉันจะไปมีปัญหาเนื้อวัวมาจากไหนได้”
“แล้วเขาล่ะ”
“ส่งของเสร็จก็ออกไปแล้ว” โจวฉายอวิ๋นกล่าวต่อ “อาจารย์ฟางไม่ได้เอามาแค่เนื้อวัวนะ ยังมีเห็ดหูหนูขาวกับพุทราจีนด้วย เขาบอกให้เอามาทำซุปให้เธอกิน”
คนเป็นพี่ขยิบตาให้ “อาจารย์ฟางใจดีกับเธอมากนะ อย่าทำให้เขาเสียใจล่ะ”
คนโง่เท่านั้นแหละที่จะทำให้เขาเสียใจน่ะ !
….
เพราะอาการบาดเจ็บที่หัวทำให้หวังหรงต้องพักฟื้นที่บ้าน ไม่ได้ไปทำงาน
พ่อแม่ของหล่อนออกไปทำงานข้างนอกกันหมด แถมตอนเที่ยงก็ไม่มีแม้แต่แม่ครัวเตรียมอาหารให้
หญิงสาวไม่มีทางเลือกอื่นนอกจาการลุกไปจากเตียงไปที่ครัวเพื่อทำบะหมี่กินเอง
หล่อนรู้สึกคับแค้นใจมาก ตั้งแต่เกิดมาไม่เคยตกยากขนาดนี้มาก่อน
เมื่อก่อนเวลาที่ป่วยก็มักจะมีคนในครอบครัวมาคอยอยู่ดูแลทำอาหารอร่อย ๆ ให้กินอยู่ตลอด
แต่เมื่อคืนหวังหรงไม่มีเงินไปห้องฉุกเฉิน หล่อนต้องกลับมาที่บ้าน ขอเงินพ่อแม่ สำหรับพวกท่านในตอนนี้ไม่ว่าหล่อนจะทำอะไรก็ผิดไปหมด การดูแลโอบอุ้มที่เคยมีได้หมดไปแล้ว ทั้งคู่ไม่ได้เต็มใจจะให้เงินไปโรงพยาบาลด้วยซ้ำ
ถึงสุดท้ายจะได้เงินมา แต่ก็ถูกดุด่าไปหลายยก
ยิ่งคิดเรื่องนี้ก็ยิ่งช้ำใจ อดไม่ได้ที่จะร้องไห้ออกมา
ถ่านในเตาไม่ได้ถูกจุดเอาไว้ หล่อนใช้เวลาอยู่นานเพื่อที่จะก่อไฟจนเจ็บมือไปหมด
หญิงสาวร้องไห้ไปทำบะหมี่ไป ตอกไข่ลวกลงไปสองฟองและนั่งที่โต๊ะเพื่อกินมื้อเที่ยง
เพราะไม่ได้มีฝีมือในการทำอาหาร ทำให้มันมีรสชาติแย่มาก
ยิ่งได้กินของไม่อร่อย ความเศร้าเสียใจก็ทวีมากขึ้น
หล่อนน้อยใจมากที่พ่อแม่ไม่ได้ส่งอาหารมาให้ตอนเที่ยง ที่ทำงานของพวกเขาอยู่ไม่ได้ไกลจากที่นี่นัก สามารถซื้ออาหารที่โรงอาหารแล้วส่งมาได้ไม่ยาก
ระหว่างที่กำลังร้องไห้เหมือนญาติเสีย แม่ของหล่อนก็กลับมาจากงานหลังเลิกกะเช้า
พอเห็นว่าลูกสาวกำลังกินข้าวทั้งน้ำตา ก็รู้สึกโมโหแล้วตรงไปที่โต๊ะอาหาร เคาะชามบะหมี่ด้วยมือข้างหนึ่ง ขึ้นเสียงด้วยความไม่พอใจ “แค่กินบะหมี่ยังเสียใจจนฟูมฟายอะไรขนาดนี้ บอกไว้เลยนะว่าเดี๋ยวคงได้ร้องไห้จนอิ่มแน่ ซักวันเธอคงทำให้ครอบครัวเราไม่มีแม้แต่แกลบให้กิน”
หวังหรงตอบทั้งน้ำตา “ช่วงนี้ฉันไม่ได้ก่อเรื่องอะไรเลยนะ แล้วนี่มันเรื่องบ้าอะไรกันเนี่ย”
มือของแม่ฟาดเข้าที่แก้มของหล่อนฉาดหนึ่งโดยไม่ได้สนใจว่าลูกสาวเป็นแผลที่ศีรษะอยู่ “คิดว่าฉันไม่รู้เหรอว่าแกก่อเรื่องอะไรมาเมื่อคืน ยังจะไปหาเรื่องนังหลินม่ายอีก แถมยังทำต่อหน้าลูกพี่ลูกน้องแกเนี่ยนะ โง่หรือเปล่า ถึงจะวางแผนจัดการยัยนั่นก็ต้องรู้สิว่ามีคนคอยปกป้องมันอยู่ ยังจะไปกล้าทำต่อหน้าเขาอีก ไม่ต้องห่วงไปหรอก พี่ใหญ่ของแกเล่นงานฉันแล้ว ทั้งฉันทั้งพ่อแกต้องกระเด็นจากตำแหน่งกันทั้งคู่ สาแก่ใจหรือยังหา”
หวังหรงตกใจจนลืมร้องไห้ เอ่ยถามขึ้นโดยไม่ได้สนใจว่าจะถูกแม่ตบอีกไหม “นี่แม่หมายความว่าเขาใช้เส้นสายทำให้พ่อกับแม่ถูกปลดเพราะจะแก้แค้นฉันงั้นเหรอ”
แม่หวังหรงรีบตอบด้วยความโกรธ “มีใครในบ้านนี้ไม่เดือดร้อนเพราะความโง่ของแกบ้าง ยังจะแกล้งทำเป็นไม่เข้าใจอีกเหรอหา?”
ลูกสาวพูดอย่างหมดแรง “ฉันไม่ได้แกล้ง แต่แค่อยากรู้ว่าเขาเป็นคนทำจริง ๆ ไม่ใช่เพราะเรื่องที่พี่ติดคุกใช่ไหม”
แม่หวังหรงโกรธมากจนตบหล่อนเสียงดังอีกครั้ง “ก็ฟางจั๋วหรานโทรมาหาทั้งพ่อแกทั้งฉัน บอกว่าเป็นคนทำเอง จะให้มาสงสัยอะไรกันอีก ยังขู่อีกด้วยว่าคราวนี้แค่ทำให้หลุดตำแหน่ง ถ้าแกยังกล้าไปหาเรื่องนังหลินม่ายอีกจะเอาให้ครอบครัวเราไม่เหลือซาก ลองไปหาเรื่องใส่ตัวมาอีกสิ บ้านเราชิบหายสมใจแกแน่นังลูกโง่”
หวังหรงนั่งนิ่งอยู่บนโซฟา สติหลุดไปราวกับเหลือเพียงกายหยาบ
ไม่คิดเลยว่าฟางจั๋วหรานจะไร้ความปรานีถึงขั้นทำให้พ่อแม่ของตัวเองตกงานได้
หล่อนคิดว่าเขาจะทำเพียงแค่ดุด่าหล่อนแล้วจบเรื่องไป
หลังจากนั้นไม่แน่ใจว่าเวลาผ่านไปนานเท่าไร หญิงสาวก็ลุกขึ้นแล้ววิ่งออกไป
โดยมีเสียงของแม่ไล่ตามหลังมา “แล้วนั่นจะไปไหนอีก !”
หวังหรงทำเป็นหูทวนลมกับคำถามนั้น วิ่งไปถึงโรงพยาบาลเพียงอึดใจเดียว อยากจะถามฟางจั๋วหรานตรง ๆ ว่าทำกับหล่อนขนาดนี้ได้อย่างไร?
แต่กลับต้องไปเสียเที่ยวเมื่อพบว่าวันนี้เขาไม่ได้มาทำงาน
หล่อนเลยขึ้นรถไปที่บ้านพักแพทย์ของมหาวิทยาลัย
ชายหนุ่มกำลังนอนหลับอยู่ในบ้านตอนที่มีเสียงเคาะประตูรัว ๆ ดังขึ้น
เมื่อเปิดประตูออกก็พบว่าเป็นหวังหรงยืนอยู่
เจ้าของห้องถามอย่างเย็นชา “มีอะไร?”
น้ำตาของหญิงสาวไหลออกมาไม่หยุด เอ่ยถามเขาด้วยเสียงสั่นเครือ “พี่ใหญ่ ทำไมพี่ทำกับฉันขนาดนี้”
แววตาของชายหนุ่มไม่มีความหมายใด ๆ สื่อออกมา กลับเย็นชายิ่งขึ้น “ก็บอกแล้วว่าเราไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกันอีก ถ้ายังกล้าเรียกฉันว่าพี่อีกครั้ง บ้านเธอทุกคนจะไม่มีงานทำแน่ อย่าลืมว่าครอบครัวเธอใช้ทางลัดเข้าไปทำงานที่กระทรวงพลังงานตั้งแต่แรก ในเมื่อเธอมาหาเรื่องฉันแบบนี้ ยังจะกล้ามาถามกันอีกเหรอว่าฉันทำไปทำไม แค่ทำให้พวกเขาไม่ได้เป็นเจ้าหน้าที่ประจำคงยังไม่พอสินะ อยากให้ฉันทำมากกว่านั้นใช่ไหม?”
หวังหรงหน้าชาเหมือนถูกสาดด้วยน้ำเย็นเฉียบ ไม่กล้าพูดอะไรออกไปแม้พียงครึ่งคำ รีบหันหลังแล้ววิ่งหนีไป
….
สนามสอบระดับมัธยมปลายเองก็มีการจัดสอบจำลองให้ด้วยเช่นกัน
หลินม่ายวางแผนที่จะเก็บภาษาจีนและวิชาสังคมการเมืองในอีกไม่กี่วันนี้ เพราะงั้นเลยไม่สามารถละเลยสองวิชานี้ได้อีกเหมือนครั้งที่แล้ว
หลังตื่นนอนตอนเช้า เธอก็ไปนั่งท่องตำราอยู่ข้างหน้าต่างอย่างเงียบ ๆ
หญิงสาวกำลังตั้งใจอ่านหนังสืออย่างหนักเมื่อโจวฉายอวิ๋นเดินเข้ามาอย่างนุ่มนวลพร้อมนมสดหยางจื่อเจียงสองขวดในมือ
เพราะกลัวโต้วโต้วที่หลับอยู่จะตื่นขึ้นมา จึงเรียกคนเป็นน้องด้วยเสียงเบา “หลินม่าย”
หลินม่ายเงยหน้าขึ้นมองก็รู้สึกแปลกใจเมื่อเห็นนมสดในมือพี่สาว
ยุคเศรษฐกิจแบบนี้ นมสดหากินยากมาก คนที่ไม่มีกำลังพอไม่มีทางได้รับโควตาในการสั่งซื้อนมสด
หลินม่ายเดินไปหาโจวฉายอวิ๋นแล้วถามเสียงเบา “อันนี้ก็ของจั๋วหรานเหรอ?”
“คงงั้น”
โจวฉายอวิ๋นยื่นนมสองขวดให้เธอ “เมื่อกี้มีคนส่งนมใส่ชุดเอี๊ยมของหยางจื่อเจียงมาส่งนมให้ ฉันถามแล้วว่ามาผิดบ้านหรือเปล่าเพราะเราไม่ได้สั่ง เขาก็ตอบว่าไม่ผิด มีที่อยู่บอกว่าต้องมาส่งที่นี่ แถมยังบอกอีกว่าต่อไปจะเอานมมาส่งทุกวัน มีอาจารย์ฟางอยู่คนเดียวนั่นแหละที่ทำอะไรแบบนี้แล้วไม่ออกตัวน่ะ”
เมื่อฟางจั๋วหรานมากินข้าวเช้าที่ร้าน หลินม่ายก็เอานมขวดหนึ่งให้เขา ส่วนอีกขวดให้ลูกสาว
แต่แฟนหนุ่มกลับส่งมันคืนให้เธอ “อะไรเนี่ย ผมสั่งมาให้คุณกับโต้วโต้วดื่มต่างหาก”
หลินม่ายเอานมไปวางตรงหน้าเขาอีกครั้ง “คุณนั่นแหละต้องดื่ม คุณทำงานหนัก ต้องบำรุงร่างกายให้แข็งแรง กินของดี ๆ เข้าเถอะ ฉันแค่ดูแลร้านแล้วก็เรียนหนังสือที่บ้าน ไม่ต้องบำรุงอะไรหรอก”
แต่แล้วนมขวดนั้นก็กลับมาอยู่ตรงหน้าเธออีก “ผมเป็นผู้ชายตัวใหญ่ ไม่ต้องกินหรอก ฟังนะ คุณบาดเจ็บที่หัว เลือดออกเยอะมากเมื่อวานก่อน ต้องดื่มนมสิ”
เธอยังยืนยันจะส่งนมคืนให้เขา “ฉันเป็นแผลนิดเดียว แถมคุณยังขุนฉันด้วยซุปนกพิราบ ไหนจะเนื้อวัวนั่นอีก มันมากพอแล้ว ยังจะเอานมมาให้ฉันอีกทำไม?”
“มากพอแล้วที่ไหน”
ฟางจั๋วหรานสบตาเธออย่างทีเล่นทีจริงแล้วกล่าวติดตลกด้วยรอยยิ้ม “คุณเสียเลือดเดือนละสามวันทุกเดือน ผมไม่ได้เป็นแบบนั้น ถ้าไม่ได้บำรุงจะเป็นโลหิตจางนะ ดื่มนมนี่ไปเถอะน่า เป็นเด็กดีกับผมหน่อย”
โต้วโต้วที่ฟังมานานก็เริ่มทนไม่ไหว “หนูกินหมดแล้ว ถ้ายังตกลงไม่ได้ก็แบ่งกันคนละครึ่งสิคะ”
“ไม่ได้สิ ต้องให้แม่ หนูลองดูสิว่าใครผอมกว่ากัน อาหรือแม่ ใครผอมกว่าคนนั้นต้องดื่มนม”
เด็กน้อยมองอยู่ซักพักแล้วหยิบนมขึ้นมาส่งให้แม่ “แม่ผอมกว่าให้แม่แล้วกัน”
ในที่สุดหลินม่ายก็ยอมดื่มนมจนหมดขวด
เธอวางขวดเปล่าลงที่โต๊ะแล้วถามว่า “คุณมีโควตาซื้อนมได้แค่ขวดเดียว แล้วไปหาขวดที่สองมาจากไหน”
“ก็ซื้อต่อมา”
ฟางจั๋วหรานตอบเบา ๆ แต่เขาไม่ได้บอกแฟนสาวว่าต้องใช้เวลาอ้อนวอนแค่ไหนกว่าจะได้โควตานมนี่มา
หลังอาหารเช้าคุณหมอหนุ่มก็ออกไปทำงาน
หลินม่ายขึ้นไปอ่านหนังสือต่อที่ชั้นบน
ไม่นานโจวฉายอวิ๋นขึ้นมาบอกเธอว่า “ม่ายจื่อ เพื่อนบ้านหลายคนแถว ๆ นี้มาถามว่าเมื่อไหร่จะไปซื้อข้าวโพดมาอีก พวกเขาอยากจะสั่งซื้อด้วย”
แม้ว่าแทบทุกร้านของว่างที่นี่จะมีข้าวโพดปิ้งขาย แต่ก็เหมือนที่หลินม่ายคาดไว้ ร้านที่เพิ่มขึ้นส่งผลเพียงเล็กน้อยกับยอดขายข้าวโพดปิ้งที่ร้านนี้ โจวฉายอวิ๋นเลยเลิกกังวลเมื่อเพื่อนบ้านมาถามซื้อข้าวโพดจากหลินม่าย
ไม่อย่างนั้นหล่อนคงปฏิเสธพวกเขาไปนานแล้ว ไม่มีทางมาถามหลินม่ายให้หรอก
ข้าวโพดที่เหลืออยู่ไม่มากของหลินม่ายก็คงจะหมดถ้าขายในคืนนี้ เพราะอย่างนั้นพรุ่งนี้เธอต้องไปซื้อมันมาเพิ่มอีก
แต่จริง ๆ แล้วเธอไม่ได้อยากไป
เพราะการสอบงวดเข้ามาทุกวัน เธอเลยอยากจะอยู่บ้านอ่านหนังสือให้เต็มที่มากกว่า
แต่ถ้าไม่ไป ของไม่พอขาย ก็จะเสียรายได้เปล่า ๆ ไปเป็นสิบหยวนทุก ๆ วัน
เรื่องใหญ่สุดคือชาวบ้านที่เมืองซื่อเหม่ยกำลังรอให้เธอไปช่วยซื้อผลผลิตของพวกเขา
พวกเขารอขายข้าวโพดให้เธอเพื่อเอารายได้ไปจุนเจือครอบครัว
มีแค่หลี่หมิงเฉิงที่ดูแล้วน่าจะพอฝึกขับรถแทรกเตอร์ได้ จะได้ให้เขาขับรถไปซื้อข้าวโพดแทนเธอ แล้วหลินม่ายจะได้อยู่บ้านอ่านหนังสืออย่างสบายใจ
หลังจากลังเลไปพักหนึ่งหลินม่ายก็บอกโจวฉายอวิ๋น “บอกพวกเขาว่าจ่ายก่อนรับของเหมือนเดิมนะ บอกเพิ่มด้วยว่าจะไม่มีการคืนของเด็ดขาดนอกจากมีปัญหาเรื่องคุณภาพของข้าวโพด”
โจวฉายอวิ๋นรับคำแล้วลงไปที่ชั้นล่าง
หลินม่ายปิดหนังสือตอนเที่ยงพอดีแล้วตามลงไป
เธอฝากให้โจวฉายอวิ๋นเตรียมมื้อกลางวันเผื่อสำหรับตัวเอง ลูกสาว และคุณหมอฟาง จากนั้นก็ไปสอนหลี่หมิงเฉิงขับแทรกเตอร์ที่หน้าร้าน
ตอนนี้อากาศร้อน ถนนไม่ค่อยมีใครเดิน เลยอาศัยจังหวะนี้ในการหัดขับแทรกเตอร์
ผู้ชายชอบขับรถกันอยู่แล้ว หลี่หมิงเฉิงเองก็เช่นกัน ถึงจะเป็นรถแทรกเตอร์ก็อยากจะเรียนมานานแล้ว
แต่ในยุคนี้รถแทรกเตอร์มีราคาแพงมาก พอ ๆ กับรถยนต์คันละหลายแสนในยุคหลัง หลี่หมิงเฉิงเลยไม่กล้าขอให้ใครสอนให้
พอตอนนี้หลินม่ายมาสอนให้เขาขับก็เลยรู้สึกมีความสุขมาก
ทั้งคู่ใช้เวลาด้วยกันในบรรยากาศแสนเป็นใจ คนหนึ่งเป็นครูส่วนอีกคนก็เป็นนักเรียน
ชุนซิ่งเห็นเหตุการณ์จากในร้านของตัวเองก็เลยเดินออกมาพร้อมพูดด้วยรอยยิ้ม “เสี่ยวหลิน ฉันได้ยินว่าพรุ่งนี้เธอจะไปรับข้าวโพดจากชนบท”
“อย่าเสียเวลาเลย ฉันไม่ขายให้เธอ” หลินม่ายปฏิเสธโดยไม่รอให้อีกฝ่ายพูดจบ
ชุนซิ่งยิ้มค้าง “ยังไงเราก็เพื่อนบ้านกัน ไม่ต้องกังวลเลยนะ รอบนี้ฉันจะไม่คืนของอีกแล้ว”
หลินม่ายตอบอย่างเย็นชา “ฉันไม่มีรอบนี้ให้เธอแล้ว”
เมื่อเห็นว่าไม่ว่าจะอ้อนวอนยังไงก็ไม่เป็นผล ชุนซิ่งเลยเปลี่ยนมาเป็นแสดงความโกรธเกรี้ยวแทน “โธ่เอ๊ย คุยกับคนอย่างเธอไปก็เปลืองน้ำลายเปล่า ฉันไม่พึ่งเธอหรอกย่ะ ก็ให้มันรู้ไปสิว่าถ้ามีเงินแล้วจะหาทางซื้อข้าวโพดเองไม่ได้” พูดจบก็ฮัมเพลงเดินออกไป
โจวฉายอวิ๋นออกมาจากร้าน ตรงมาที่รถแทรกเตอร์แล้วเริ่มถามหลินม่าย “ชุนซิ่งมาถามซื้อข้าวโพดกับเธอไหม?”
“ฉันปฏิเสธไปแล้ว”
โจวฉายอวิ๋นเม้มปากอย่างดูถูก “เมื่อกี้ฉันเปิดให้ลงชื่อจองข้าวโพด หล่อนกับคนที่ขอคืนของครั้งก่อนก็มาอ้อนวอนของสั่งข้าวโพดด้วย ฉันไม่ยอมให้จองก็เลยมาวุ่นวายกับเธออีก น่าไม่อายจริง ๆ ”
หลินม่ายตอบเสียงเบา “จะหน้าหนาแค่ไหนก็ไม่ได้ผลหรอก ฉันไม่ขายให้อยู่แล้ว”
ฟางจั๋วหรานกลับมากินข้าวระหว่างพักเที่ยง และเห็นว่าหลินม่ายกำลังสอนหลี่หมิงเฉิงขับแทรกเตอร์
พอเห็นว่าทั้งคู่ใกล้ชิดกันก็รู้สึกอิจฉาขึ้นมา
ระหว่างกินข้าวก็เลยถามหลินม่ายว่า “ทำไมสอนหลี่หมิงเฉิงขับแทรกเตอร์ล่ะ”
หลินม่ายตอบไปตามตรง “ไม่มีทางเลือกนอกจากจะสอนเขาน่ะสิ ทุกครั้งที่ต้องขับรถกลับไปซื้อของที่บ้านมันใช้เวลาเยอะ ถ้าเขาขับแทรกเตอร์ได้ก็จะได้ให้เขาไปซื้อของแทน”
คุณหมอฟางคีบอาหารเข้าปากสองสามคำแล้วทำหน้าบูดบึ้ง “ผมจะหาคนมาสอนให้เขาทีหลัง”
แต่ถูกหลินม่ายปฏิเสธ ยิ่งหลี่หมิงเฉิงขับรถเป็นเร็วเท่าไร เธอก็จะได้คนไปซื้อของแทนเร็วเท่านั้น เลยไม่อยากรอคนอื่น
ตอนที่ฟางจั๋วหรานจะกลับไปทำงาน เขาก็เห็นว่าหลินม่ายเตรียมจะไปสอนหลี่หมิงเฉิงขับแทรกเตอร์อีกครั้ง ชายหนุ่มไม่ได้ว่าอะไร เพียงคอยมองทั้งคู่อยู่ด้วยความรู้สึกวางใจ
เขาไม่อยากจะไปขัดขวางความสัมพันธ์ฉันเพื่อนระหว่างหลินม่ายกับชายคนไหน แต่ก็ไม่ไว้ใจสายตาที่หลี่หมิงเฉิงมองแฟนสาวของตัวเอง
ถึงจะมั่นใจว่าหลินม่ายมั่นคงต่อเขา แต่สายตาของฝ่ายชายก็มองเธอด้วยความปรารถนาอย่างปิดไม่มิด
หลินม่ายสอนเขาถึงบ่ายสองครึ่งก็เลิก
เพราะมีคนมาเดินที่ถนนมากขึ้นเรื่อย ๆ อาจจะทำให้เกิดปัญหาเรื่องความปลอดภัยหรือทำให้รถติดได้
และเธอเองก็ต้องกลับไปอ่านหนังสือต่อแล้ว
ในตอนนั้นเองที่ฟางจั๋วเยวี่ยมาถึงแล้วทักทายเธอตั้งแต่ไกล “สวัสดีพี่สะใภ้ ช่วงนี้ดูสาวดูสวยขึ้นนะ”
หลินม่ายไม่เคยเห็นคนที่พูดอะไรโต้ง ๆ แบบไม่อายปากแบบนี้มาก่อน ใบหน้าของเธอขึ้นสีเมื่อได้รับคำชมจากเขา
เธอยิ้มแล้วถามต่อ “คุณมาทำอะไรแถวนี้?”
เธอพบเขาครั้งล่าสุดช่วงปีใหม่ที่บ้านคุณปู่คุณย่าฟาง แล้วก็ไม่ได้เจอกันอีกเลยตั้งแต่ตอนนั้น แต่วันนี้เขากลับมาที่นี่โดยไม่ได้นัดกันก่อน เลยทำให้เธอแปลกใจไม่น้อย
……………………………………………………………………………………………………………………….
สารจากผู้แปล
ไงล่ะนังหรง เห็นด้านมืดของพี่หมอแล้วหรือยัง ถ้ายังไม่เลิกตอแยอีกพี่หมอก็พร้อมจัดหนักกว่านี้ให้นะ
ไม่ได้ชื่อหลินม่ายก็จะลำบากหน่อยล่ะ
ไหหม่า(海馬)