แม่ปากร้ายยุค 80 - ตอนที่ 263 เลือกซื้อสินค้า
ตอนที่ 263 เลือกซื้อสินค้า
หลินม่ายถาม “ฉันขอยืมใช้โทรศัพท์หน่วยงานของพวกเธอหน่อยได้ไหม?”
“มีอะไรที่ไม่ได้กันล่ะ” เคอจื่อฉิงพาเธอไปถึงหน้าโทรศัพท์เครื่องหนึ่ง “โทรสิ”
หลินม่ายโทรศัพท์เข้าหมายเลขของตลาดสด เสียงสัญญาณดังขึ้นบ่งบอกว่ากำลังต่อสาย
เธอถือสายอยู่เพียงไม่กี่นาทีก็ต่อสายอีกครั้ง ทำอย่างนั้นซ้ำไปมา จนที่สุดก็มีคนรับสาย
ในนั้นมีเสียงของเฉินเฟิงดังออกมา “ฮัลโหล ใครครับ?”
“หลินม่าย”
หลังจากแนะนำตัวเองเสร็จ หลินม่ายก็บอกเฉินเฟิงว่าตนได้สินค้าจัดจำหน่ายในคลังของศุลกากรมา แต่กำลังลำบากเพราะไม่มีช่องทางในการค้าขายสินค้าจำนวนมาก จึงรับสินค้าพวกนั้นมาไม่ได้
เฉินเฟิงถาม “มีสินค้าอะไรบ้างล่ะ แล้วราคาเท่าไหร่?”
“มีสินค้าทุกอย่าง แต่ฉันคิดว่าจะรับซื้อพวกอาหารหรือไม่ก็เสื้อผ้า ของพวกนี้ขายออกได้ง่าย ไม่ว่าสินค้าประเภทไหน ก็ล้วนเป็นราคาหนึ่งในสิบของราคาตลาดทั้งหมด”
“ถูกขนาดนี้เชียว!” เฉินเฟิงตื่นเต้นขึ้นมา “ฉันมีช่องทางการค้า เธอจัดการเรื่องรับซื้อมา ฉันรับผิดชอบการขายเอง เอาสินค้ามาให้มากที่สุดเท่าที่ทำได้เลย”
หลินม่ายพลันโล่งใจ “ได้เลย กำไรเราแบ่งกันคนละครึ่ง โอเคไหม?”
“ได้!” เฉินเฟิงตอบกลับมาอย่างรวดเร็ว “มีผลิตภัณฑ์อาหารอะไรบ้างล่ะ?”
“เท่าที่ฉันเห็นตอนนี้ ก็มีกาแฟ นมผง กั่วเจินอะไรพวกนี้”
“ของพวกนั้นเอามาได้หมดเลย” เฉินเฟิงพูดอย่างสนิทสนม “ในเมื่อแบ่งกำไรกันคนละครึ่ง เงินทุนฉันเองก็จะออกครึ่งหนึ่งเหมือนกัน”
หลินม่ายได้ยินคำนั้น ก็พลันโล่งใจไปได้เปลาะใหญ่ เธอตอบรับไปอย่างรวดเร็ว
เธอกำลังกังวลว่าในมือไม่มีเงินมากพอ คงไม่มีทางรับสินค้ามาได้ ซึ่งเฉินเฟิงได้แก้ไขปัญหาเร่งด่วนให้เธอแล้ว
“ฉันต้องออกมาเงินเท่าไหร่?”
หลินม่ายครุ่นคิดครู่หนึ่งแล้วเอ่ยขึ้น “เดี๋ยวฉันตัดสินใจแล้วว่าจะเอาสินค้าอะไรค่อยบอกนายอีกทีก็แล้วกัน”
ถ้ายังไม่ได้ตัดสินใจว่าจะเอาอะไร เธอเองก็ไม่รู้เหมือนกันว่าเขาควรจะออกเงินเท่าไหร่
เมื่อคุยโทรศัพท์กับเฉินเฟิงเสร็จแล้ว หลินม่ายก็เข้าไปในโกดังกับเคอจื่อฉิงอีกครั้ง
เธอไม่เพียงเลือกเนสกาแฟเท่านั้น ยังเลือกนมผงนำเข้าที่จะหมดอายุในอีกสามเดือน แถมยังเลือกน้ำตาลทรายที่อีกสี่เดือนก็ถึงอายุการเก็บรักษามาด้วย นอกเหนือจากนี้เธอมองอย่างไรก็ไม่เข้าตา
แต่เฉินเฟิงบอกว่า ให้เธอรับสินค้ามาให้มากเท่าที่จะทำได้ เธอก็ได้แต่เดินเตร่เลือกของอยู่ในโกดังต่อไป
ในโกดังนั้นนอกจากผลิตภันฑ์อาหารที่ราคาถูกเป็นพิเศษแล้ว เครื่องสำอางเองก็ราคาถูกสุดๆ เหมือนกัน
แต่เมื่อพิจารณาถึงปริมาณความต้องการอันน้อยนิดต่อเครื่องสำอางของคนทั่วไปในยุคนี้ ถึงซื้อกลับไปก็คงขายได้ไม่ดีเท่าอาหารแน่ สุดท้ายหลินม่ายจึงยอมแพ้ไป
เธอเดินวนไปวนมา ท้ายที่สุดก็หยุดฝีเท้าลงด้านหน้าลังถุงน่องยาวที่วางเรียงรายอยู่
ประเทศจีนในยุคนี้ยังไม่มีโรงงานไหนผลิตถุงน่องยาว แต่เด็กสาวที่ต้องการถุงน่องยาวกลับมีไม่น้อย
ในตอนที่เธอตั้งแผงขายเสื้อผ้าอยู่นั้น ก็มีเด็กสาวไม่น้อยที่ถามว่าเธอจะเอาถุงน่องยาวมาขายได้ไหม
เดิมทีในตอนนั้นเธอไม่คาดคิดว่าจะมีวันที่ตัวเองสามารถมารับสินค้าที่ด่านศุลกากร แถมทางด่านศุลกากรก็มีถุงน่องยาวจัดจำหน่ายอยู่พอดีอีกด้วย ทว่าตอนนั้นเธอตอบเด็กสาวพวกนั้นว่า“ไม่ได้”ไปแล้ว
ถ้าเอาถุงน่องยาวล็อตนี้กลับไปขาย คงจะขายออกเป็นเทน้ำเทท่า
หลินม่ายชี้ไปยังกล่องลังที่ใส่ถุงน่องยาวเอาไว้พวกนั้นแล้วถามเคอจื่อฉิง “อันนี้ขายยังไงเหรอ?”
“อันนี้เหรอ เหมือนอาหารกับเครื่องสำอาง ราคาผักกาดเหมือนกัน”
หลินม่ายรู้สึกค่อนข้างเหนือคาด “ถุงน่องยาวไม่หมดอายุเสียหน่อย ทำไมขายถูกขนาดนี้ล่ะ?”
“พวกมันวางทิ้งไว้ครึ่งปีแล้ว ไม่มีใครสนใจ ก็ต้องราคาถูกอยู่แล้วสิ!”
หลินม่ายสงสัยว่าคนที่รับซื้อสินค้าที่ด่านศุลกากรล้วนเป็นเถ้าแก่ใหญ่ ดังนั้นจึงไม่ได้เล็งเห็นถึงโอกาสทางธุรกิจของถุงน่องยาว
ในเมื่อคนอื่นไม่ต้องการ อย่างนั้นเธอจะอุดช่องโหว่นั้นเอง
ถุงน่องยาวหนึ่งแสนคู่พอดิบพอดีราคารวมทั้งหมดเพียงแค่หนึ่งหมื่นหยวนเท่านั้น ถูกยิ่งกว่าราคาผักกาดเสียอีก
บวกกับนมผงราคาสองหมื่นหยวน น้ำตาลทรายแดงสองหมื่นหยวน เนสกาแฟหนึ่งหมื่นหยวน เป็นทั้งหมดหกหมื่นหยวน
เฉินเฟิงออกเงินครึ่งหนึ่ง ก็เป็นสามหมื่นหยวน ตัวเองออกอีกครึ่งหนึ่ง เป็นเงินสามหมื่นหยวนเช่นกัน
แต่ในบัญชีของเธอไม่มีเงินเยอะขนาดนั้นหรอก
หลินม่ายครุ่นคิด ก่อนจะขอยืมโทรศัพท์ของศุลกากรอีกครั้ง แต่คราวนี้เธอโทรไปหาฟางจั๋วหราน
พอฟางจั๋วหรานได้รับโทรศัพท์ของเธอก็ถามขึ้นทันที “ที่กว่างโจวทุกอย่างเรียบร้อยดีใช่ไหม?”
“ดีค่ะ ดีมากเลย” หลินม่ายถามอย่างเขินอายเล็กน้อย “ฉันขอยืมเงินคุณสามหมื่นหยวนได้ไหมคะ?”
แม้ว่าฟางจั๋วหรานจะมีเงิน นอกจากนี้ยังเป็นแฟนหนุ่มของเธอ แต่การยืมเงินจากเขา อีกทั้งยังเป็นเงินจำนวนมากมายขนาดนี้ เธอก็ยังรู้สึกลำบากใจอยู่บ้าง
ฟางจั๋วหรานที่อยู่ปลายสายตอบตกลงโดยไม่คิดแม้แต่น้อย แต่เขาก็ถามขึ้นมาประโยคหนึ่ง “คุณต้องการเงินมากขนาดนี้ไปทำอะไรเหรอ?”
เด็กสาวอยู่ข้างนอกตัวคนเดียวมาขอยืมเงินก้อนใหญ่จากเขา เขาย่อมต้องถามจุดประสงค์ในการใช้อยู่แล้ว ไม่แน่บางทีอาจมีคนมาหลอกเอาเงินเธอก็ได้
สาวน้อยคนนี้แม้ว่าจะฉลาดหลักแหลม แต่ถึงอย่างไรก็ยังอายุน้อย ยังมีความเป็นไปได้ที่จะถูกโกงอยู่
หลินม่ายบอกที่มาที่ไปให้กับเขา
ฟางจั๋วหรานให้เธอทิ้งที่อยู่ของเคอจื่อฉิงเอาไว้ แล้วเขาจะได้โอนเงินให้
เมื่อเงินทุนที่ตัวเองต้องจ่ายชัดเจนแล้ว หลินม่ายจึงโทรหาเฉินเฟิง ให้เขาโอนเงินมาให้เธอสามหมื่นหยวน
เฉินเฟิงเองก็ตอบตกลงโดยไม่ลังเลสักนิดเช่นกัน
ต่อจากนั้น เคอจื่อฉิงก็พาหลินม่ายมารายงานกับหัวหน้าสือและออกใบสั่งซื้อ
เมื่อธนาณัติมาถึง หลินม่ายจ่ายเงินตามใบสั่งซื้อแล้วก็สามารถรับสินค้าได้
หลินม่ายถาม “ต้องให้ซองแดงหัวหน้าสือสักหน่อยแล้วล่ะ ให้ซองใหญ่แค่ไหนถึงจะเหมาะสม?”
ตัวเธอมีเงินสามพันหยวนที่เตรียมมาซื้อสินค้าอยู่ ถ้าเอามาเป็นค่านายหน้าให้หัวหน้าสือก็คงจะไม่มีปัญหา
เคอจื่อฉิงโบกมือ “ไม่ต้องหรอก ฉันบอกเธอไปแล้วนี่ หัวหน้าสือเป็นคนที่แม่ฉันเลื่อนตำแหน่งขึ้นมา ถึงเธอให้ซองแดงไปหล่อนก็ไม่กล้ารับหรอก”
ทั้งสองคนมาถึงห้องทำงานของหัวหน้าสือ หัวหน้าสือออกใบสั่งซื้อให้อย่างรวดเร็ว แล้วพูดกับหลินม่าย “จำเป็นต้องชำระเงินภายในหนึ่งสัปดาห์นะคะ ไม่อย่างนั้นใบสั่งซื้อจะเป็นโมฆะ”
หลินม่ายรับใบสั่งซื้อด้วยสองมืออย่างนอบน้อม พร้อมกับพูดขอบคุณอยู่หลายครั้ง
หัวหน้าสือถามขึ้นด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “ยังมีอะไรอีกไหม?”
หลินม่ายลังเลเล็กน้อย ก่อนส่ายหน้า “ไม่มีแล้วค่ะ”
แต่หัวหน้าสือกลับถามซักไซ้ “ไม่มีแล้วจริงๆ เหรอ?”
หลินม่ายเห็นสถานการณ์เช่นนี้ ก็รู้ว่าหัวหน้าสือต้องการขอผลประโยชน์
ขณะที่เธอกำลังจะทำอะไรบางอย่าง เคอจื่อฉิงก็ส่ายหน้าไปมาราวกับกลองป๋องแป๋ง “ไม่มีอะไรแล้วจริงๆ ค่ะ เท่านี้ก็รบกวนมากพอแล้วล่ะค่ะ” แล้วดึงตัวหลินม่ายออกมาจากห้องทำงาน
เมื่อทั้งสองออกมาจากด่านศุลกากร หลินม่ายก็ถามขึ้น “เมื่อกี้นี้หัวหน้าสือไม่ได้กำลังสื่อความนัยอะไรอยู่เหรอ?”
เคอจื่อฉิงตบลงบนหลังของเธอทีหนึ่ง “คนทำธุรกิจอย่างพวกเธอนี่ขี้ระแวงเกินไปหรือเปล่า? หล่อนสื่อความนัยอะไรที่ไหนกัน หล่อนก็แค่ถามด้วยความใจดีว่ายังมีอะไรที่ช่วยได้อีกไหมเท่านั้นเอง เธอคิดมากไปแล้ว”
หลินม่ายไม่ได้รู้สึกว่าตัวเองคิดมากไป กลับจะเป็นเคอจื่อฉิงนั่นแหละที่คิดน้อยเกินไป
ธนาณัติที่เฉินเฟิงและฟางจั๋วหรานส่งมาจากเมืองเจียงเฉิงจะมาถึงในอีก 5 วัน
ดังนั้นหลินม่ายก็ต้องพักอยู่ที่กว่างโจวอย่างน้อย 5 วัน รอธนาณัติมาแล้วจะได้ไปรับสินค้า
เคอจื่อฉิงได้ลางานไปแล้วหนึ่งวันเพื่อไปรับหลินม่าย และหล่อนไม่สามารถลางานอยู่เป็นเพื่อนเธอตลอดช่วงเวลาที่เธอพักอยู่ที่กว่างโจวได้
ทุกๆ วันหลินม่ายอยู่คนเดียวด้วยความว่างไม่มีอะไรทำ หลังจากกินอาหารเช้าเสร็จเธอจึงไปเดินเล่นตามที่ต่างๆ
ผลลัพธ์ของการเดินเล่น ก็คือเธอได้ใช้เงินสามพันหยวนที่ติดตัวอยู่ซื้อเสื้อผ้ามาล็อตหนึ่ง
มากว่างโจวทั้งที ถ้าไม่ซื้อสินค้ามาให้มากเท่าที่จะทำได้ก็ขาดทุนแย่
ทว่าเสื้อผ้าล็อตนี้ที่หลินม่ายซื้อมานั้นไม่ใช่เสื้อผ้ามือสองนำเข้า แต่เป็นสินค้าใหม่
ประสบการณ์ครั้งก่อน ทำให้เธอขออยู่ห่างๆ กับเสื้อผ้ามือสองนำเข้าไปก่อน
ผ่านไปห้าวัน ธนาณัติของเฉินเฟิงและฟางจั๋วหรานก็มาถึงทั้งหมดแล้ว
หลินม่ายรับเงินมา และซื้อสินค้าทั้งหมดที่เธอต้องการมาด้วยความช่วยเหลือของเคอจื่อฉิง
หลังจากดำเนินการตามขั้นตอนที่ด่านศุลกากรเสร็จก็ต้องรับสินค้าภายใน 12 ชั่วโมง ไม่อย่างนั้นก็ต้องจ่ายค่าฝากเก็บที่แพงลิบลิ่ว
สินค้ามากมายขนาดนั้น หลินม่ายตัวคนเดียวไม่สามารถเอากลับไปที่เมืองเจียงเฉิงได้ ทำได้เพียงจัดการฝากส่งไปทางรถไฟ
ด้วยความไม่คุ้นที่ทางและผู้คน หลินม่ายจึงทำได้เพียงขอให้เคอจื่อฉิงช่วยเธอติดต่อการขนส่งทางรถไฟให้
เคอจื่อฉิงพูดอย่างรู้สึกผิด “ฉันไม่รู้จักคนที่สถานีรถไฟเลย คงช่วยเธอเรื่องนี้ไม่ได้”
หลินม่ายอยู่ร่วมกับเธอมาหลายวัน จึงรู้ว่าหล่อนเป็นคนที่มีน้ำจิตน้ำใจมาก อย่างน้อยก็เป็นแบบนั้นกับเธอ
ถ้าหล่อนบอกว่าช่วยไม่ได้ นั่นก็คือช่วยไม่ได้จริงๆ
หลินม่ายได้แต่คิดหาทางด้วยตัวเอง
………………………………………………………………………………………………………………………
สารจากผู้แปล
ชอปของเพลินเลยสินะม่ายจื่อ ปัญหาอยู่ที่ตอนขนกลับเนี่ยแหละจะขนยังไงไหว
ไหหม่า(海馬)