แม่ปากร้ายยุค 80 - ตอนที่ 279 สู้กลับ
ตอนที่ 279 สู้กลับ
หลินม่ายตาสว่าง ลุกขึ้นไปล้างหน้าอย่างรวดเร็ว ออกไปข้างนอกพร้อมหนังสือพิมพ์
เสียงโจวฉายอวิ๋นดังไล่หลังมา “เธอจะไปไหนเนี่ย?”
“ไปแจ้งความ แบบนี้มันให้ร้ายกันชัดๆ ฉันไม่ปล่อยไว้หรอก” หลินม่ายเดินออกจากร้าน เหลือบมองไปทางร้านเว่ยเซียงแล้วพูดเสียงดังอย่างจงใจ
แม้ว่าจะไม่ได้เห็นหน้าหวังหรง แต่ก็รู้ว่าอีกฝ่ายน่าจะอยู่ข้างใน
เธอจึงตั้งใจให้หวังหรงรับรู้เอาไว้
หลินม่ายเดาถูก ในตอนนี้หวังหรงอยู่ในร้าน และได้ยินสิ่งที่หลินม่ายพูดอย่างชัดเจนทุกคำ แต่ไม่ได้รู้สึกตกใจแต่อย่างใด
หล่อนกลับยิ้มเยาะอยู่ในใจ ได้ข่าวว่าอีกฝ่ายกล้าจะไปแจ้งความอย่างนั้นเหรอ?
วันสองวันนี้คงมีอันธพาลไปมอบตัวกับตำรวจแล้ว ว่าถูกหลินม่ายบงการให้ทำร้ายหล่อน
พอถึงตอนนั้น ต่อให้ยัยนั่นจะกระโดดลงแม่น้ำฮวงโหหรือแม่น้ำแยงซีเพื่อชำระบาปเท่าไรก็ไม่พ้นผิดหรอก!
เรื่องใส่ร้ายครั้งนี้ก็จะไม่กลายเป็นคดีความ แถมยัยนั่นก็จะแพ้เสียเองเพราะแจ้งความเท็จ
ชาวบ้านก็จะพากันประณามจนร้านอาหารต้องปิดตัวลงในที่สุด
เมื่อคิดว่าหลินม่ายจะต้องล่มจมในอีกไม่นานหวังหรงก็รู้สึกมีความสุขมาก
หลินม่ายรีบออกจากร้านจนชนเข้ากับฟางจั๋วหราน
ชายหนุ่มรีบพยุงเธอไว้แล้วถามว่า “เจ็บหรือเปล่า?”
“นิดหน่อย ไม่เป็นไรค่ะ” หลินม่ายลูบจุดที่ถูกกระแทกเบา ๆ
ฟางจั๋วหรานเลิกผมหน้าม้าขึ้นดูหน้าผากของเธอ มีเพียงรอยแดงเล็กน้อย จึงไม่ได้ห่วงอะไรแล้วถามอย่างสงสัย “ทำไมคุณดูหน้าตาตื่นแต่เช้าเลยล่ะ? ”
“ลองอ่านนี่สิคะ” มือเล็กส่งหนังสือพิมพ์ให้คุณหมอ แต่พบว่าเขาเองก็มีหนังสือพิมพ์ในมือเช่นเดียวกัน เป็นหนังสือพิมพ์ห่อใหญ่มาก
เธอถามอย่างุนงง “คุณซื้อหนังสือพิมพ์มาทำไมเยอะขนาดนี้?”
“เพราะผมเห็นว่ามันมีข่าวที่ใส่ร้ายคุณอยู่ ผมเลยซื้อมาเพื่อพิสูจน์ว่ามันเป็นเรื่องไม่จริง”
หลินม่ายไม่เข้าใจ “แบบนี้จะพิสูจน์ได้ยังไงคะ”
ฟางจั๋วหรานพลิกด้านหลังของหนังสือพิมพ์ขึ้น
หลินม่ายเห็นประกาศตามหาคนขนาดใหญ่ในทันที
ฟางจั๋วหรานหันไปคุยกับโจวฉายอวิ๋น “ช่วยติดประกาศตามหาคนอันนี้ให้ทั่วร้านเลยนะครับ ส่วนที่เหลือให้วางไว้ที่โต๊ะจ่ายเงิน ลูกค้ามาก็แจกหนังสือพิมพ์พวกนี้กับเขา เอาประกาศคนหายให้เขาอ่าน จะได้เข้าใจว่าหวังหรงเป็นคนยังไง เดี๋ยวผมจะไปสถานีตำรวจ หาคำพิพากษาคดีของหวังเฉียงกับเพื่อนที่อยู่ในคุก เอามาติดเพิ่มอีก ทุกคนจะได้รู้ว่าหวังหรงกับพี่ชายของหล่อนเคยหาเรื่องม่ายจื่อ มีคนไม่มากหรอกที่จะเชื่อว่าหล่อนโดนทำร้ายเพราะขายของถูกเกินไป”
หลินม่ายและฟางจั๋วหรานไปที่สถานีตำรวจ แจ้งความเรื่องที่ถูกใส่ร้าย ส่วนอีกคนก็ไปขอคำพิพากษาของหวังเฉียงและพรรคพวก
เมื่อกลับมาที่ร้านก็พบว่ามีคนไม่น้อยที่ถูกเรียกว่า ‘นักรณรงค์’ หลายสิบคนที่เชื่อข่าวของหวังหรงมายืนขวางอยู่ที่ร้าน ไม่ให้ลูกค้าเข้าไปกิน
แถมยังเกลี้ยกล่อมลูกค้าคนอื่น ๆ อย่างจริงจัง “เจ้าของร้านคนนี้เป็นคนใจดำ อย่าไปกินอาหารร้านหล่อน ไปที่ร้านข้าง ๆ แทนดีกว่า”
ลูกค้าหลายคนมอง ‘นักรณรงค์’ พวกนี้ราวกับว่าพวกเขาเป็นคนโง่ ก่อนดันให้พวกเขาหลบไป “เราเป็นลูกค้าประจำร้านนี้ เจ้าไหนอร่อยเจ้าไหนทำตัวน่าไม่อาย คิดว่าเราไม่รู้หรือไง ที่นี่ทั้งอร่อยทั้งคุ้มค่า ร้านนี้ดีที่สุดแล้ว เทียบกับร้ายอื่นบนถนนนี้ ทำไมต้องไปทำเรื่องแบบนั้นด้วย ต้องโดนใส่ร้ายอยู่แล้วสิ โง่หรือเปล่าพวกนาย”
ถึงจะเป็นอย่างนั้น ก็ยังมีลูกค้าไม่น้อยที่ไม่รู้ความจริง ถูกคนเหล่านั้นเกลี้ยกล่อมก็หลงเชื่อแล้วจากไป
เมื่อความขัดแย้งกำลังจะปานปลาย ลูกน้องของเฉินเฟิงก็ออกมาจากที่ซ่อน
เขาเข้ามาลากคอคนเรียกร้องที่สร้างปัญหาให้ร้านออกไป “มาสร้างความวุ่นวายหน้าร้านคนอื่นนี่อยากไปสถานีตำรวจหน่อยไหม”
เพื่อนบ้านหลายคนเห็นว่ามีคนเริ่มเป็นผู้นำในการจับคนสร้างเรื่องออกไปก็เริ่มเข้ามาช่วย
หลายสิบคนถูกจับไว้ และมีไม่น้อยที่หนีไปแล้ว
พวกก่อกวนถูกจับส่งไปโรงพักอย่างรวดเร็ว ด้วยความช่วยเหลือจากผู้คนรอบ ๆ
หวังหรงโมโหมากระหว่างที่แอบดูจากในร้าน
หล่อนวางแผนใช้พวก ‘นักรณรงค์’ ไร้สมองพวกนั้นเพื่อทำลายชื่อเสียงของร้านเปาห่าวชือ แต่ไม่คิดว่าจะมีคนช่วยยัยนั่นเยอะไปหมด
โดยเฉพาะเจ้าของร้านอื่น ๆ ในละแวกนี้ นั่นทำให้หล่อนโมโหมาก
พวกเขาเป็นคู่แข่งทางการค้ากัน ถ้าปล่อยไว้จะกำจัดคู่แข่งได้แท้ ๆ แต่ยังทำอะไรไร้สมองขนาดนี้ได้อย่างไร!
หวังหรงได้แต่หวังว่าตู้กวงฮุยจะหาคนมามอบตัวได้สักที
ถ้าตู้กวงฮุยทำสำเร็จ ยัยนั่นก็ไม่มีทางรอด การล้างแค้นครั้งใหญ่นี้ก็จะสำเร็จไปด้วย
ฟางจั๋วหรานเอาคำพิพากษมาให้โจวฉายอวิ๋นแล้วช่วยกันติดประกาศอย่างรวดเร็ว
แม้จะติดคำพิพากษาเหล่านั้นแล้ว เหล่านักรณรงค์ไม่น้อยก็ยังมาสร้างความวุ่นวายที่ร้าน
แต่เมื่อได้เห็นเอกสารเหล่านั้นก็พากันแยกย้ายไป
เหล่านักรณรงค์พวกนี้ไม่ได้โง่ขนาดนั้น
หลักฐานมากมายมากางตรงหน้า ทำไมพวกเขาจะดูไม่ออกว่าเจ้าของร้านนี้ถูกร้านเว่ยเซียงใส่ร้าย?
ถึงในตอนแรกจะหลวมตัวเชื่อ แต่ก็ไม่มีทางที่พวกเขาจะถูกหลอกซ้ำสอง
เมื่อเห็นว่าแผนการไม่สำเร็จ หวังหรงก็จากไปด้วยความโกรธ
ระหว่างที่เดินผ่านร้านของหลินม่าย หล่อนก็เห็นว่ามีคำพิพากษาของพี่ชายติดอยู่พร้อมกับประกาศคนหายก็ลมแทบจับ โกรธจนเกือบจะล้มทั้งยืน
จะว่าไปแล้ว เหตุที่นักเรียกร้องสิทธิมนุษยชนพวกนั้นสลายตัวไปง่ายๆ ก็เพราะพวกเขาเห็นประกาศพวกนี้อย่างนั้นสินะ!
หล่อนอยากจะฉีกประกาศบ้า ๆ นี่ทิ้งแต่ก็ไม่กล้าทำ
ฟางจั๋วหรานรีบกินอาหารในร้านหลินม่ายแล้วรีบกลับไปทำงาน
เมื่อเขามาถึงที่โรงพยาบาลมหาวิทยาลัยผู่จี้ สิ่งแรกที่ทำก็คือโทรหาหัวหน้าแผนกการไฟฟ้าที่ครอบครัวของหวังหรงทำงานอยู่
เขาเอ่ยปากเพียงสั้น ๆ “ครอบครัวของหวังหรงเกี่ยวข้องกับนักโทษคดีร้ายแรง ทำไมยังมีตำแหน่งงานอยู่ในแผนกบริหารได้ล่ะครับ? เห็นทีผมคงจะต้องรายงานไปที่เขต”
ตั้งแต่เช้ามาหลินม่ายไม่มีเวลาได้พักเลย หลังมื้อเช้าก็ไปที่สถานีตำรวจเพื่อแจ้งความเรื่องที่ถูกใส่ร้ายผ่านหนังสือพิมพ์
ได้เอกสารจากเจ้าหน้าที่มาแล้วก็ไปที่ตลาดสดต่อทันที
บิสกิต ไวน์นอก และโคคาโคล่า ที่เธอส่งมาจากกว่างโจวเพิ่งมาถึงวันนี้ และเธอต้องไปรับมันมาพร้อมกับเฉินเฟิง
เมื่อมาถึงตลาดก็พบว่าเฉินเฟิงรออยู่แล้ว
ทั้งสองเดินทางไปด้วยกันโดยรถบรรทุกเปล่าคันใหญ่หลายคัน
เหลียนเฉียวได้รับมอบหมายให้ดูแลตลาด มองพวกเขาออกไปด้วยกันอย่างเศร้าหมอง
หนึ่งชั่วโมงต่อมารถบรรทุกก็เข้ามาที่ตลาดสดอีกครั้ง
เฉินเฟิงตรวจสอบสินค้าก็พบว่าหลินม่ายสั่งผ้าเช็ดหฌน้ากลับมาแสนผืนก็เอ่ยว่า “ถ้าไปที่นั่นอีก อย่าซื้อของแบบนี้กลับมาเลย ขายไปก็ได้กำไรแค่แสนเดียว ไม่เหมือนนมผงกับน้ำตาลทรายที่ได้หลายแสน”
“ฉันรู้ แต่ที่ซื้อมาเพราะคิดแล้วว่ามันมีประโยชน์ยังไง”
หลินม่ายขอให้ลูกน้องของเฉินเฟิงเอากล่องผ้าเช็ดหน้าลงมาแล้วเปิดออกดูของข้างใน
เมื่อเห็นว่าเป็นผ้าเช็ดหน้าลายตารางสำหรับผู้ชายก็พอใจมาก
เธอไม่ได้เปิดมันดูที่นั่น และคิดว่าถ้าเป็นผ้าเช็ดหน้าพิมพ์ลายของผู้หญิงก็น่าจะขายได้ซักหนึ่งเหมา แต่พอเห็นว่าเป็นแบบของผู้ชายราคาตามตลาดก็ประมาณ 1.5 เหมา
เอาผ้าเช็ดหน้าไปพิมพ์ชื่อร้านก็จะเหมาะมากสำหรับใช้เป็นของแจกในวันร้านเปิด
ในยุคสมัยนี้ ต่อให้เป็นผ้าเช็ดหน้าที่ได้รับแจกจากร้านค้าก็ไม่มีใครยอมทิ้งมันไปง่าย ๆ และจะถูกนำไปใช้อีกนาน
เมื่อไรที่ผ้าเช็ดหน้าถูกนำไปใช้ เห็นชื่อร้านซ้ำ ๆ ก็จะเริ่มจดจำแบรนด์สินค้าได้
และนั่นคือสิ่งเจ้าของร้านสาววางแผนเอาไว้
เฉินเฟิงให้ลูกน้องขนกล่องไวน์ บิสกิต และโค้ก เข้าไปในสำนักงาน
เขาเปิดห่อบิสกิตออกชิมเป็นอย่างแรก
ในยุคนี้บิสกิตจากต่างประเทศอร่อยกว่าของในประเทศมากเพราะมีนมเข้มข้นและใส่อัลมอนด์กรอบอร่อยมาด้วย
จากนั้นก็เปิดไวน์ขาวและไวน์แดงอย่างละขวด
หลังจากชิมไวน์แล้ว เขาก็เอ่ยกับหลินม่ายว่า “ไวน์เก็บเอาไว้ได้นาน ฉันว่าจะปล่อยมันออกไปสักปีหน้า จะได้ราคาดีกว่านี้ เธอว่าไง?”
หลินม่ายพยักหน้าเห็นด้วย
เธอขอแบ่งบิสกิตและโค้กให้ไปส่งที่ร้านอาหาร
ของกินทั้งสองหายากมากในยุคนี้ ต้องเก็บบางส่วนไว้สำหรับโต้วโต้ว ไม่สามารถขายได้ทั้งหมด
ยังบอกกับเฉินเฟิงด้วยว่าเธอต้องเอาผ้าเช็ดหน้าไปใช้
หมดธุระแล้วหลินม่ายก็เตรียมจะจากไปพร้อมผ้าเช็ดหน้าอีกเป็นพันผืน
เฉินเฟิงถามยิ้ม ๆ “ไม่เอาเงินค่าถุงน่อง นมผง น้ำตาลทรายแดงไปด้วยเหรอ”
หญิงสาวมีท่าทางประหลาดใจ “ขายหมดแล้วงั้นเหรอ”
……………………………………………………….
สารจากผู้แปล
เน่าไม่เหลือซากแบบไม่ได้ผุดได้เกิดแน่แล้วนังหรงเอ๊ย พี่หมอเขากะเล่นงานเธอถึงตายอะ โทษฐานทำร้ายดวงใจของเขา
ไหหม่า(海馬)