แม่ปากร้ายยุค 80 - ตอนที่ 291 เรียกร้องความเห็นใจ
ตอนที่ 291 เรียกร้องความเห็นใจ
พนักงานต้อนรับทักทายหล่อนอย่างกระตือรือร้น “คนสวย เชิญทางนี้เลยค่ะ ยังมีโต๊ะว่างอยู่พอดี”
หลินเพ่ยหิวจนไส้กิ่ว มองดูเมนูติ่มซำต่าง ๆ เช่น ซาลาเปานึ่ง เกี๊ยว ขนมจีบ รวมถึงบะหมี่หลากชนิด พอกลิ่นหอมหวนของอาหารเหล่านั้นลอยกรุ่นมาจากโต๊ะของลูกค้ารายอื่น ก็รู้สึกหิวจนน้ำลายสอ
หล่อนตัดสินใจว่าจะกินฟรีไปก่อน จากนั้นค่อยขึ้นไปหาหลินม่าย
หล่อนอ่านป้ายรายการเมนูบนผนังร้าน แล้วพูดว่า “ขอเสี่ยวหลงเปาสองเข่ง ซุปเม็ดบัวเห็ดหูหนูอีกหนึ่งชาม”
“ได้ค่ะ!” พนักงานหันหลังกลับ เดินไปสั่งรายการอาหารที่หน้าต่างเชื่อมห้องครัว
หลี่หมิงเฉิงเพิ่งกลับมาจากการไปซื้อวัตถุดิบที่ร้านขายเนื้อสัตว์ ทันทีที่เขาเห็นหลินเพ่ยนั่งรออาหารอยู่ในร้าน สีหน้าของเขาก็เปลี่ยนเป็นมืดมนทันที
เขายื่นถุงวัตถุดิบในมือให้พนักงาน เดินจ้ำอ้าวเข้าไปหาหลินเพ่ยภายในสองก้าว จิกผมของหล่อนแล้วฉุดลากให้ออกไปจากร้านทันที
“นังผู้หญิงชั้นต่ำ แกทำร้ายม่ายจื่อมาตั้งไม่รู้เท่าไหร่ ยังมีหน้ามาเหยียบร้านของหล่อนอีกเหรอ ออกไปเดี๋ยวนี้!”
หลินเพ่ยคาดไม่ถึงว่าหลี่หมิงเฉิงจะอยู่ที่นี่ด้วย สัมผัสการรับรู้ทั้งห้าของหล่อนตื่นตระหนกสุดขีดจนทำอะไรไม่ถูก
หลี่หมิงเฉิงเกลียดชังหล่อนมาก เพราะหล่อนเป็นคนหลอกให้หลินม่ายไปแต่งงานกับอู๋เสี่ยวเจี๋ยน หวังขายเธอเพื่อยึดเอาเงินค่าสินสอดไปกินใช้
หลังหลินม่ายถูกจับแต่งงาน หลี่หมิงเฉิงคลุ้มคลั่งจนแทบบ้าเมื่อรู้ว่าครอบครัวของสามีปฏิบัติต่อเธออย่างเลวร้าย
ครั้งหนึ่งเขาเกือบฆ่าหล่อนให้ตายด้วยมีดทำครัวมาแล้ว ถ้าไม่ใช่เพราะแม่ของเขาห้ามปรามไว้ ป่านนี้เขาคงเข้าไปนอนในซังเตอย่างไม่ต้องสงสัย
นั่นเป็นเหตุผลที่หลินเพ่ยตื่นกลัวสุดขีดเมื่อเห็นชายหนุ่มนิสัยบ้าบิ่นอย่างหลี่หมิงเฉิง เพราะกลัวว่าคราวนี้เขาอาจลงมือทุบตีหล่อนจนตาย
โชคยังดีที่หลี่หมิงเฉิงแค่จับหล่อนโยนออกนอกร้าน ไม่ได้กระทำอะไรรุนแรงไปมากกว่านั้น
หลี่หมิงเชิงชี้หน้าหล่อน แล้วหันไปสั่งพนักงานคนอื่น ๆ ในร้าน “ต่อไปถ้าพวกคุณเห็นหล่อนมาที่นี่อีก ให้ไล่ตะเพิดหล่อนออกไปซะ หล่อนเป็นพวกต้มตุ๋น”
หลี่หมิงเฉิงมีไหวพริบฉลาดเฉลียวอย่างน่าประหลาดใจที่อ้างว่าหลินเพ่ยเป็นนักต้มตุ๋น
ด้วยเหตุผลดังกล่าว คนอื่น ๆ ที่เห็นเหตุการณ์จะได้ไม่ตัดสินว่าเขารังแกผู้หญิง แถมยังเข้าใจว่าหลินเพ่ยเป็นนักต้มตุ๋นที่น่ารังเกียจ
หลินเพ่ยยังไม่ทันกัดอาหารเข้าปากเลยแม้แต่คำเดียว หล่อนกลับถูกหลี่หมิงเฉิงจับโยนออกมานอกร้านแล้ว พร้อมกับใส่ร้ายว่าหล่อนเป็นนักต้มตุ๋น แบบนี้จะให้หล่อนทำใจยอมรับได้อย่างไร?
หล่อนวิ่งโร่ไปที่สถานีตำรวจทันที เพื่อแจ้งความว่าตัวเองถูกหลี่หมิงเฉิงทำร้ายร่างกาย
ถึงหล่อนจะกลัวหลี่หมิงเฉิงขึ้นสมอง แต่หล่อนไม่กลัวเจ้าหน้าที่ตำรวจ
ตำรวจติดตามหล่อนไปที่ร้านเปาห่าวซือเพื่อตรวจสอบสถานการณ์ที่เกิดขึ้น
พนักงานทุกคนในร้านพูดเป็นเสียงเดียวกันว่าไม่มีใครทำร้ายร่างกายหล่อนทั้งนั้น หล่อนเข้ามาหลอกกินฟรีต่างหาก หลี่หมิงเฉิงถึงได้ขับไล่หล่อนออกจากร้าน
เจ้าหน้าที่ตำรวจไม่คิดว่าพนักงานในร้านรวมหัวกันใส่ร้ายหลินเพ่ย
ในเมื่อทุกคนพูดเป็นเสียงเดียวกันว่าหล่อนเป็นนักต้มตุ๋น ถ้าอย่างนั้นหล่อนก็คงเป็นแบบที่พวกเขาว่าจริง ๆ
เจ้าหน้าที่ตำรวจคุมตัวหลินเพ่ยกลับไปที่โรงพัก แจ้งข้อหาลักทรัพย์ และให้การอบรมเรื่องกฎหมาย
นี่ไม่ถือว่าแย่เสียทีเดียว ในที่สุดหล่อนก็ได้กินอาหารของทางห้องขังฟรี ๆ ไม่ต้องทนหิวโหยอีกต่อไป
ช่วงบ่าย ฟางจั๋วหรานเพิ่งทำการผ่าตัดเสร็จสิ้น
เขาออกจากห้องผ่าตัด เดินกลับไปที่ห้องพักแพทย์ ยังไม่ทันดื่มน้ำเย็น ๆ สักแก้ว หญิงชราผมหงอกท่าทางใจดีคนหนึ่งก็เดินแหวกฝูงชนตรงเข้ามา
ท่ามกลางกลุ่มคน หญิงสาววัยยี่สิบปีที่มีรูปร่างเพรียวบางเดินตรงเข้ามาและถามว่า “คุณใช่ศาสตราจารย์ฟางหรือเปล่าคะ?”
ขณะที่พูดแบบนี้ ดวงตากลมโตที่ฉ่ำวาวทั้งสองข้างของหล่อนก็จับจ้องไปยังใบหน้าของคุณหมอที่ดูมีอายุท่านหนึ่ง
เช่นเดียวกันกับหญิงชราที่เดินมาพร้อมกับหล่อน
ฟางจั๋วหรานเงยหน้าขึ้นมองพวกเธอ “ผมเองครับ”
หญิงสาวมองหน้าเขาด้วยความไม่เชื่อสายตา “คุณยังดูหนุ่มอยู่เลย คุณเป็นศาสตราจารย์ตั้งแต่อายุยังน้อยเลยเหรอคะ?”
ฟางจั๋วหรานได้ยินว่าอีกฝ่ายพูดจาไม่เหมาะสม จึงไม่อยากพูดคุยกับหล่อนสักเท่าไร หยิบเวชระเบียนจากโต๊ะขึ้นมาอ่าน
หญิงชราผมหงอกหันไปดุหญิงสาวทันที “ลี่ลี่ พูดจาแบบนั้นได้ยังไงกัน?”
หญิงสาวที่ถูกเรียกว่าลี่ลี่แลบลิ้นอย่างขี้เล่น เปล่งเสียงหัวเราะคิกคักสองครั้ง
หญิงชราผมหงอกเดินเข้าไปหาฟางจั๋วหราน อธิบายให้เขาฟังว่า “หลานสาวฉันเป็นคนปากไวอย่างนี้มาตั้งแต่เด็กแล้ว อาจพูดจาไม่คิดไปบ้าง คุณหมอฟางอย่าเก็บไปใส่ใจเลยนะคะ”
พอพูดมาถึงตรงนี้ นางก็พูดกลั้วหัวเราะ “อย่าว่าแต่หลานสาวฉันนึกไม่ถึงเลย แม้แต่ยายแก่อย่างฉันก็คาดไม่ถึงเหมือนกัน ศาสตราจารย์ส่วนใหญ่ที่ฉันรู้จักล้วนเป็นคนมีอายุทั้งนั้น”
ฟางจั๋วหรานคลี่ยิ้มเล็กน้อย เชื้อเชิญให้อีกฝ่ายนั่งลง ถามไถ่อย่างสุภาพแต่ยังคงรักษาระยะห่าง “คุณยาย ตามหาผมมีเรื่องอะไรหรือเปล่าครับ?”
หญิงชราโบกมือครั้งแล้วครั้งเล่า “ไม่มีอะไร ไม่มีอะไร ฉันแค่อยากมาขอบคุณที่คุณช่วยชีวิตสามีของฉันไว้”
ว่าแล้วนางก็หันหน้ากลับไปหาชายหนุ่มสองคนที่ยืนอยู่ข้างหลังพลางสั่งว่า “รีบเอาของขวัญที่เตรียมไว้มอบให้คุณหมอฟางเร็ว”
ชายหนุ่มทั้งสองวางกระเช้าของขวัญสองใบไว้บนโต๊ะทำงานของฟางจั๋วหรานทันที
ฟางจั๋วหรานเห็นว่ากระเช้าใบหนึ่งเต็มไปด้วยผลไม้ ส่วนอีกกระเช้าเป็นนมผงสำหรับชงดื่ม ดังนั้นเขาจึงไม่ปฏิเสธ แต่ถ้าเป็นของขวัญที่มีมูลค่าสูงเขาคงปฏิเสธไม่รับมัน
เขาถามอย่างอ่อนโยน “ขอโทษนะครับคุณยาย สามีของคุณคือใครเหรอครับ?”
“คุณลืมไปแล้วเหรอคะว่าวันนี้ตัวเองได้ช่วยชีวิตใครเอาไว้?” ลี่ลี่โพล่งขัดจังหวะเขาด้วยน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยชีวิตชีวา “คุณปู่แซ่หนิวที่คุณช่วยผ่าตัดเจาะคอให้เขาที่ร้านอาหารยังไงล่ะคะ เขาเป็นคุณปู่ของฉันเองค่ะ”
ฟางจั๋วหรานยิ้ม “ตอนนี้คุณปู่อาการเป็นอย่างไรบ้างครับ?”
เขาดูแลผู้ป่วยเฉพาะเคสที่มีภาวะวิกฤต จึงไม่ทราบอาการของผู้ป่วยเคสทั่วไป
พ่อเฒ่าหนิวได้รับการผ่าตัดเปิดหลอดลมจนพ้นขีดอันตรายแล้ว ดังนั้นเขาจึงไม่ใช่ผู้ป่วยวิกฤตอีกต่อไป ทั้งยังไม่อยู่ภายใต้อำนาจรับผิดชอบของเขา เป็นธรรมดาที่เขาจะไม่รู้อาการปัจจุบันของอีกฝ่าย
แม่เฒ่าหนิวพูดยิ้ม ๆ “สามีฉันซาบซึ้งในน้ำใจของคุณมาก เขาต้องการพบคุณเพื่อกล่าวขอบคุณต่อหน้า คุณช่วยสละเวลาไปพบเขาหน่อยได้ไหมคะ?”
ฟางจั๋วหรานพูดถ่อมตัว “ผมแวะไปเยี่ยมท่านได้ครับ แต่ไม่จำเป็นต้องขอบคุณหรอก การรักษาผู้บาดเจ็บและช่วยชีวิตคนให้รอดพ้นจากความตายเป็นหน้าที่ของผมอยู่แล้ว”
จากนั้นเขาก็เดินตามครอบครัวของพ่อเฒ่าหนิวไปยังห้องพักฟื้นของเขา
พ่อเฒ่าหนิวพักอยู่ที่วอร์ดพิเศษซึ่งแยกเป็นสัดส่วนจากห้องผู้ป่วยรวม แสดงให้เห็นว่าสถานะของเขานั้นไม่ธรรมดาเลย
ลำคอของเขาถูกพันไว้ด้วยผ้าก๊อซสีขาว จึงยังเปล่งเสียงพูดไม่ได้
ทันทีที่เห็นฟางจั๋วหราน เขาก็แสดงความกระตือรือร้นเป็นอย่างยิ่ง จับมือเขาไว้แน่นโดยไม่ยอมปล่อยเป็นเวลานาน
ฟางจั๋วหรานปลอบโยนพ่อเฒ่าหนิวและให้กำลังใจเขา จากนั้นก็ขอตัวกลับไปที่ห้องพักแพทย์
เขาหยิบเวชระเบียนที่อ่านค้างไว้ก่อนหน้านี้ขึ้นมาดูต่อ ทันใดนั้นก็ได้ยินเสียงที่คุ้นเคยดังมาจากทางประตู “จั๋วหราน”
น้ำเสียงนั้นเศร้าสร้อย แต่ก็แฝงไปด้วยความประจบสอพลอ
ฟางจั๋วหรานขมวดคิ้ว เงยหน้าขึ้นมองไปทางประตูห้อง
แม่เฒ่าหวังยืนอยู่หน้าประตูห้องพักแพทย์ สวมใส่เสื้อผ้าธรรมดา เส้นผมขาวโพลนไปทั้งศีรษะ จ้องมองเขาด้วยสายตาหมดสิ้นหนทาง ดูน่าเวทนาสงสารไม่น้อย
เพื่อนร่วมวิชาชีพของเขาต่างมองไปยังอีกฝ่ายด้วยความเห็นอกเห็นใจ
ความรังเกียจของฟางจั๋วหรานที่มีต่อแม่เฒ่าหวังปะทุขึ้นมาในใจทันที
แม่เฒ่าหวังเสแสร้งสวมบทบาทนี้ ก็เพราะต้องการเรียกร้องความเห็นใจจากคนอื่น ทำให้ทุกคนรู้สึกว่าเขาเป็นฝ่ายใจร้ายใจดำ หรือไม่ก็หวังให้คนอื่นมีความคิดเอนเอียงเข้าข้างตัวเอง
ฟางจั๋วหรานลุกขึ้นยืน เดินไปช่วยประคองแม่เฒ่าหวัง “คุณยายหวัง ทำไมถึงมาหาผมที่นี่ล่ะครับ? ถึงเราสองคนไม่ได้มีความสัมพันธ์ฉันยายหลานต่อกันแล้ว แต่คุณยังมีลูกชาย ลูกสะใภ้ และลูกสาวที่ทำงานอยู่ในสำนักงานศิลปวัฒนธรรมไม่ใช่เหรอ ทำไมพวกเขาถึงทอดทิ้งคุณแบบนี้? สมัยที่ผมยังส่งเสียเลี้ยงดูคุณ คุณยังสง่างามสมวัยอยู่เลย คุณเคยโทรมขนาดนี้เสียที่ไหนกัน?”
ประโยคยาวเหยียดของเขาสามารถอธิบายสถานการณ์ทั้งหมดเอาไว้ได้อย่างรวบรัด
ข้อแรก เขาและแม่เฒ่าหวังไม่ได้มีความสัมพันธ์ฉันท์ยายหลานกันอีกต่อไป
ส่วนเหตุผลว่าทำไมพวกเขาถึงตัดความสัมพันธ์ต่อกัน ถ้าใครอยากรู้ข้อเท็จจริง แค่ไปสอบถามจากบรรดาเพื่อนบ้านของแม่เฒ่าหวังก็รู้ถึงต้นสายปลายเหตุทั้งหมดแล้ว
อีกทั้งเหตุผลดังกล่าวยังไม่ส่งผลกระทบอะไรต่อเขา ดังนั้นเขาจึงไม่กลัวถ้าคนอื่นจะมาสอบถามในภายหลัง
ข้อสอง สมัยที่เขายังส่งเสียเลี้ยงดูแม่เฒ่าหวัง แม่เฒ่าหวังเคยมีชีวิตความเป็นอยู่ที่มั่งคั่ง สุขภาพกายใจดี แต่ตอนนี้ สภาพของแม่เฒ่าหวังกลับลำบากจนน่าสมเพช
เมื่อเปรียบเทียบระหว่างทั้งสองฝ่ายแล้ว การที่แม่เฒ่าหวังมีชีวิตความเป็นอยู่ที่น่าสมเพช ทั้งหมดนั้นเป็นเพราะลูกชายและลูกสาวที่อกตัญญู ไม่ว่ายังไงคนอื่นก็พุ่งเป้าการประณามไปที่ลูกหลานตระกูลหวัง ไม่ใช่คนในตระกูลฟาง
แม่เฒ่าหวังขบกรามแน่นด้วยความโกรธ นางยอมลงทุนแต่งเนื้อแต่งตัวให้โทรมจนน่าสงสาร ก็เพราะอยากให้เพื่อนร่วมงานของฟางจั๋วหรานคิดว่าเขาอกตัญญู
ใครจะคิดว่าเขาสามารถแก้ไขสถานการณ์น่ากระอักกระอ่วนได้ด้วยคำพูดแค่ไม่กี่ประโยค แถมยังโยนความผิดไปให้ลูกชายกับลูกสาวของนางอย่างหน้าตาเฉย!
…………………………………………………………………………………………………………………………
สารจากผู้แปล
พี่หมอเขาตัดขาดกันไปนานแล้ว ยังจะเสนอหน้ามาที่นี่ทำไมอีกแม่เฒ่า
ไหหม่า(海馬)