แม่ปากร้ายยุค 80 - ตอนที่ 317 จัดตั้งแผนกบัญชีและการเงิน
ตอนที่ 317 จัดตั้งแผนกบัญชีและการเงิน
ทั้งสองเดินต่อไปเงียบ ๆ สักพักฟางจั๋วหรานก็พูดขึ้นว่า “ถึงญาติ ๆ ส่วนใหญ่ทางฝั่งของคุณตาจะมีนิสัยทะเยอทะยาน แต่ก็ยังมีคนดีอยู่บ้าง ตอนที่ผมยังเด็ก แม่เคยเล่าให้ฟังว่า ครอบครัวของคุณป้าก็แวะมาเยี่ยมเยียนคุณตาเป็นครั้งคราว แต่ก่อนยุคปฏิรูป ครอบครัวของคุณป้าได้ย้ายไปอยู่ที่อเมริกา หลังจากที่แม่ตาย พวกเขาก็ขาดการติดต่อไป”
หลินม่ายถามอย่างงงงวย “คุณป้าของคุณย้ายไปอยู่อเมริกา แล้วทำไมครอบครัวของคุณตาถึงยังอยู่ที่จีน?”
ถึงเธอจะไม่ค่อยเข้าใจสภาพสังคมของเจียงเฉิงในช่วงก่อนปฏิรูปมากนัก แต่เธอก็พอรู้อยู่อย่างหนึ่ง
คนที่มีฐานะร่ำรวยในยุคนั้น โดยเฉพาะชนชั้นนายทุนต่างทยอยหนีไปตั้งรกรากในต่างประเทศกันทีละคน เพื่อหลีกเลี่ยงไฟสงคราม
“คุณตาของผมเป็นคนรักชาติ เพื่อมาตุภูมิ เขาถึงกับบริจาคทรัพย์สินส่วนใหญ่เพื่อสนับสนุนการต้านภัยสงคราม เขาจะหนีไปจากแผ่นดินเกิดได้อย่างไร? แม่ของผมเองก็เข้าร่วมกับกองกำลังปฏิรูปตามคุณตา ช่วงสงคราม ท่านเป็นแพทย์สนามที่คอยช่วยชีวิตและรักษาผู้บาดเจ็บ ตอนที่ไม่มีสงคราม ท่านก็เล่นสนุกตามประสา ร้องเพลงให้ผู้ร่วมอุดมการณ์ฟัง ท่านร้องเพลงเพราะมาก ตอนเด็ก ๆ ผมชอบฟังแม่ร้องเพลงมากที่สุด”
พอได้ยินเขาเล่าแบบนั้น สีหน้าหลินม่ายก็พลอยเศร้าหมองตาม ไม่รู้ว่าควรปลอบเขาอย่างไรดี จึงพูดบางอย่างเพื่อเปลี่ยนบรรยากาศ “ฉันเองก็ร้องเพลงเพราะนะคะ”
หมอกควันบนใบหน้าของฟางจั๋วหรานสลายไป เขาพูดด้วยรอยยิ้ม “ผมไม่เคยได้ยินคุณร้องเพลงเลย ลองร้องให้ผมฟังหน่อยได้ไหม”
หลินม่ายกระแอมครั้งหนึ่ง ก่อนจะร้องเพลง‘อาหลี่ซานตีกูเหนียง(1)’ ซึ่งเป็นเพลงยอดนิยมในปีนี้
เสียงของหลินม่ายใสกังวาน ตอนที่เธอร้องเพลง ‘อาหลี่ซานตีกูเหนียง’ น้ำเสียงช่างนุ่มนวลชวนให้เคลิบเคลิ้ม
ถึงจะไพเราะไม่เทียบเท่ากับเติ้งลี่จวิน(2) แต่ก็ไพเราะมาก
พอหลินม่ายร้องเพลงจบ ฟางจั๋วหรานยังดึงอารมณ์กลับมาจากภวังค์เสียงเพลงของเธอไม่ได้เป็นเวลานาน หลังจากนั้นเขาก็ยิ้มกว้าง ชมเธอว่า “เพราะมากจริง ๆ”
หลินม่ายกุมมือใหญ่ของเขาไว้ “ถ้าคุณชอบฟัง วันหลังฉันจะร้องเพลงให้คุณฟังบ่อย ๆ”
พอเห็นว่ารอบข้างไม่มีใคร ฟางจั๋วหรานก็ฉวยโอกาสหอมแก้มเธอครั้งหนึ่ง พูดด้วยรอยยิ้มว่า “ได้เลย!”
ทั้งสองเดินเข้าไปในเขตมหาวิทยาลัย ก่อนจะแยกทางกันที่หน้าอาคารเรียน
หลินม่ายลากรถเข็นคันเล็ก ตามคำแนะนำของฟางจั๋วหราน เธอมุ่งตรงไปที่หอพักของนักศึกษาต่างชาติเพื่อขายเสื้อยกทรง
ในยุคนี้ เนื่องจากเศรษฐกิจภายในประเทศยังคงล้าหลัง นักศึกษาที่เป็นชาวยุโรปและชาวอเมริกาจึงกลายเป็นกลุ่มคนที่มีกำลังทรัพย์มั่งคั่ง
ในสายตาของชาวจีนส่วนใหญ่ ชุดชั้นในที่มีราคาตัวละสามสิบหยวนอาจถือว่าแพงเกินไป แต่สำหรับนักศึกษาชาวยุโรปและอเมริกาแล้ว ราคานี้ยังนับว่าถูกเกินไปด้วยซ้ำ
นั่นเป็นเหตุผลที่ทำให้หลินม่ายมั่นใจว่าขายให้นักศึกษาต่างชาติ อย่างไรก็ขายได้
ถึงอย่างนั้น เธอก็ไม่ได้คาดการณ์ถูกเสมอไป ในเมื่อนักศึกษาต่างชาติเหล่านี้สามารถซื้อหาชุดชั้นในจากประเทศบ้านเกิดของตัวเองได้ แถมยังมีตัวเลือกมากกว่า มีเหตุผลอะไรที่พวกเขาต้องซื้อชุดชั้นในจากเธอ?
หลินม่ายตั้งแผงขายนานกว่าหนึ่งชั่วโมง แต่กลับขายได้แค่ไม่ถึงห้าสิบตัว
เธอตัดสินใจเก็บร้านทันที
จากนั้นก็คิดว่าจะเอาชุดชั้นในพวกนี้ไปขายร่วมกับเสื้อผ้าแบรนด์ Unique ในห้างสรรพสินค้าใหญ่ทั้งสองที่ ยอมลดราคานิดหน่อยก็น่าจะขายได้ไม่ยาก
คนที่มีกำลังทรัพย์ใช้จ่ายต่างก็เข้าห้างสรรพสินค้าไปหาซื้อเสื้อผ้ากันทั้งนั้น
บางทีการขายชุดชั้นในในห้าง อาจได้ผลตอบรับดีกว่าการเร่ขายตามเขตที่พักอาศัยก็ได้
ถ้าขายในห้างแล้วยังขายไม่ดี ถึงเวลานั้นค่อยคิดหาวิธีใหม่
หลังจากเลิกงานช่วงบ่าย ฟางจั๋วหรานก็แวะมาหาและถามเธอว่าการขายชุดชั้นในตอนเที่ยงเป็นอย่างไรบ้าง
หลินม่ายไม่อยากให้เขาเป็นกังวลเกี่ยวกับธุรกิจของเธอ จึงตอบยิ้ม ๆ “ก็ดีค่ะ”
เธอกลัวว่าเขาอาจถามต่อ จนต้องหาทางโกหกไปเรื่อย ๆ ทันทีที่เห็นว่าเถาจืออวิ๋นก็กลับมาหลังจากเลิกงานแล้วเหมือนกัน จึงหันไปหาหล่อนเพื่อเปลี่ยนเรื่องคุย “พี่นัดเวลากับทังชุ่นอิงแล้วหรือยัง?”
เถาจืออวิ๋นพยักหน้า “นัดแล้ว พรุ่งนี้ที่โรงงานประมาณเก้าโมงเช้า”
เช้าวันรุ่งขึ้นก่อนเก้าโมงเช้า หลินม่ายไปที่โรงงานตัดเสื้อตามนัดหมาย เห็นว่าทังชุ่นอิงรอเธออยู่ที่หน้าสำนักงานก่อนแล้ว
หลินม่ายสำรวจทังชุ่นอิงคร่าว ๆ หล่อนดูเป็นหญิงสาวธรรมดาทั่วไป
หลินม่ายสัมภาษณ์อีกฝ่ายเบื้องต้น พบว่าหล่นอเรียนจบอาชีวศึกษาวุฒิปวช. เอกการบัญชี
น่าเสียดายที่ตอนกระจายแรงงาน หัวหน้าฝ่ายกระจายแรงงานกลับเก็บตำแหน่งดี ๆ ไว้ให้ลูกหลานของตัวเอง
เพื่อไม่ให้ทังชุ่นอิงถูกลอยแพ หล่อนจึงถูกจับไปทำงานในโรงงานตัดเสื้อริมถนนแทน
แต่หน่วยงานของพวกเขากลับไม่ให้ความสนใจกับผลประกอบการเท่าที่ควร ถ้าโรงงานไปต่อไม่ได้ ก็แค่ปิดตัวลงและเลิกจ้างพนักงาน
เนื่องจากไม่มีสัญญาจ้างงาน จึงไม่มีมาตรการชดเชยรายได้ครึ่งหนึ่งสำหรับพนักงานที่ถูกเลิกจ้าง
ครอบครัวของทังชุ่นอิงมีลูกหลายคน ภาระภายในบ้านก็มากตามไปด้วย นับตั้งแต่ที่หล่อนตกงาน สภาพครอบครัวจึงค่อนข้างลำบาก
เมื่อได้ยินว่าที่โรงงานตัดเสื้อ Unique ยังไม่มีนักบัญชี หล่อนจึงเสนอตัวเองเผื่อว่าทางโรงงานจะสนใจ
หลินม่ายลองอ่านแบบบัญชีที่หล่อนเคยทำให้กับหน่วยงานก่อนหน้านี้ เห็นว่าเป็นระเบียบมาก จึงตัดสินใจว่าจ้างทันที
ทั้งยังขอให้อีกฝ่ายชวนพนักงานตำแหน่งนักตรวจสอบบัญชีและแคชเชียร์จากหน่วยงานเก่ามาร่วมงานกัน
ทังชุ่นอิงตอบรับด้วยรอยยิ้มทันที หลังออกจากโรงงานตัดเสื้อ Unique ก็ตรงไปหาอดีตเพื่อนร่วมงานที่เคยเป็นแคชเชียร์อย่างไช่เจาตี้ และนักตรวจสอบบัญชีอย่างจินชุนเปี่ยว
ทั้งไช่เจาตี้และจินชุนเปี่ยวที่ตกงาน ต่างก็รู้สึกหดหู่ไม่แพ้กัน พอรู้ว่าทังชุ่นอิงมาแนะนำงานใหม่ให้กับพวกหล่อน พวกหล่อนก็รู้สึกตื่นเต้นกันมาก ๆ
ตอนบ่าย พวกหล่อนตามทังชุ่นอิงไปที่โรงงานตัดเสื้อ Unique
หลินม่ายให้พวกหล่อนทำแบบทดสอบทีละคน ปรากฏว่าทักษะทางวิชาชีพของพวกหล่อนดูไม่เลวเลย ดังนั้นจึงตัดสินใจว่าจ้างทุกคน
ทั้งไช่เจาตี้กับจินชุนเปี่ยวต่างมีความสุขมาก
พอสามสาวออกมาจากสำนักงาน ไช่เจาตี้อดถามทังชุ่นอิงด้วยความเป็นห่วงไม่ได้ “ลูกชายคนเล็กของเธออาการเป็นยังไงบ้าง?”
ทังชุ่นอิงรีบหันขวับไปมองหลินม่ายที่กำลังก้มอ่านเอกสาร “ดีขึ้นแล้ว”
ไช่เจาตี้พูดต่อ “ได้ยินว่าโรคที่ลูกชายของเธอป่วยอยู่ ต้องดูแลเรื่องโภชนาการเป็นพิเศษ แม่ฉันมาเยี่ยมจากชนบทพอดี แถมยังหิ้วตะกร้าไข่ไก่กับแม่ไก่ตัวหนึ่งมาด้วย ไว้ฉันจะแบ่งให้เธอนะ”
ทังชุ่นอิงตอบรับ จากนั้นก็เบนหัวข้อสนทนา คุยกับไช่เจาตี้เกี่ยวกับเรื่องอื่น
ทางด้านจินชุนเปี่ยวนั่งคิดอยู่เงียบ ๆ ที่ด้านข้าง ไช่เจาตี้มอบไข่ไก่กับแม่ไก่เพื่อเป็นการขอบคุณทังชุ่นอิงแล้ว หล่อนก็รู้สึกว่าตนเองจะน้อยหน้าไม่ได้ ต้องเตรียมของขวัญเพื่อเป็นการขอบคุณอีกฝ่ายเช่นเดียวกัน
ทังชุ่นอิงอุตส่าห์เป็นธุระให้จนพวกหล่อนมีโอกาสสมัครงาน เมื่ออยู่ต่อหน้าผู้จัดการหลินแล้ว หล่อนก็พยายามพูดโน้มน้าวแทนพวกหล่อนทุกอย่างจนลิ้นแทบหัก
ในที่สุดก็ถึงวันเปิดตัวร้านเสื้อผ้า Unique
เฉินเฟิงรับหน้าที่จัดหายานพาหนะเพื่อขนส่งสินค้าไปที่ห้างสรรพสินค้าเจียงเฉิงและห้างสรรพสินค้าซือเหมินโข่วตามลำดับ
หลินม่ายกับเถาจืออวิ๋นรับผิดชอบด้านการจัดจำหน่ายภายในห้าง
การกระจายสินค้าก็สำคัญ ถ้าสินค้าในร้านไม่น่าดึงดูดใจผู้ซื้อมากพอก็อาจส่งผลกระทบต่อยอดขาย
สาเหตุที่หลินม่ายเลือกเปิดร้านขายเสื้อผ้าบนห้างสรรพสินค้าในอีกห้าวันให้หลัง เป็นเพราะวันนี้ตรงกับวันอาทิตย์ ซึ่งจะมีลูกค้าเข้ามาจับจ่ายซื้อของในห้างสรรพสินค้ามากกว่าวันปกติ
หลินม่ายยกร้านสาขาในห้างสรรพสินค้าใกล้บ้านให้เถาจืออวิ๋นดูแล ส่วนเธอจะดูแลร้านสาขาในห้างสรรพสินค้าซือเหมินโข่ว
ถึงแม้ห้างสรรพสินค้าจะเปิดทำการเวลาเก้าโมงเช้า แต่พนักงานจะต้องมารอเข้างานกันตั้งแต่แปดโมง
ที่ต้องเข้างานล่วงหน้าหนึ่งชั่วโมง ก็เพื่อเตรียมร้านให้พร้อมก่อนจะเปิดขาย
เป็นไปไม่ได้ที่จะเติมของบนชั้นวางสินค้า หรือแม้แต่จัดร้านในขณะที่ห้างเพิ่งเปิดทำการ
หลินม่ายตื่นนอนตั้งแต่หกโมงเช้า ไปขึ้นรถโดยสารที่สถานีขนส่ง จากนั้นก็เปลี่ยนลงเรือข้ามฟากไปที่อู่ซาง ก่อนจะต่อรถบัสอีกครั้งเพื่อไปที่ห้างซือเหมินโข่ว
ตอนเช้าการจราจรยังไม่ติดขัด เวลาประมาณเจ็ดโมงครึ่ง หลินม่ายก็เดินทางมาถึงห้างซือเหมินโข่วโดยสวัสดิภาพ
เห็นได้ชัดว่าเจียงเฉิงแออัดพลุกพล่านมากกว่า
แต่เมืองนี้ก็มีสถานที่ที่น่าสนใจมากมาย ถ้าไม่ติดว่าต้องรีบทำงาน หลินม่ายคงมีเวลาเพลิดเพลินกับการชื่นชมทิวทัศน์ที่แตกต่างกันของฮั่นโข่วกับอู่ซางในยามเช้า รวมถึงความสวยงามของแม่น้ำแยงซี
ประตูทางเข้าสำหรับพนักงานแยกจากประตูทางเข้าหลัก… และจะไม่เปิดจนกว่าจะถึงเวลาเลิกงาน
หลินม่ายมองหาแผงขายของริมถนนที่อยู่ในบริเวณใกล้เคียง ซื้อขนมข้าวเหนียวทอดมาสองชิ้น รีบกินในขณะที่ยังร้อนระหว่างรอเวลาประตูด้านหลังของห้างเปิด
เธอรีบออกจากบ้านเช้าเกินไป แน่นอนว่ายังไม่ได้กินอาหารเช้ารองท้อง
หลินม่ายชอบซื้ออาหารจากแผงลอยข้างทางมาตั้งแต่ไหนแต่ไร เพราะบางอย่างก็ทำอร่อยกว่าภัตตาคารเป็นร้อยเท่า
ที่ว่าอร่อยไม่ใช่แค่เพราะราคาถูกกว่ากัน แต่เป็นเพราะความสดใหม่ของกระบวนการทำ รสชาติจึงยังติดค้างอยู่ในลำคอ พอกัดกินเข้าไปแล้ว ความอุ่นร้อนของมันทำให้รู้สึกพร้อมสำหรับการใช้ชีวิตในเช้าวันใหม่
พอหลินม่ายกินขนมข้าวเหนียวทอดเสร็จ พนักงานของห้างสรรพสินค้าก็ทยอยมาทำงานทีละคนสองคน ต่างก็ยืนรอให้ประตูด้านหลังของห้างเปิด
พนักงานส่วนใหญ่รู้จักคุ้นเคยกันดีอยู่แล้ว พอพวกเขาไม่คุ้นหน้าหลินม่าย หลายคนต่างก็ขยับไปรวมตัวกันเป็นกลุ่มย่อม ๆ พร้อมกับบุ้ยใบ้ไปทางเธอ และกระซิบกระซาบกันด้วยความประหลาดใจ
ไม่ใช่แค่ความสวยของเธอเท่านั้น แต่ยังเป็นเพราะชุดรูปแบบทันสมัยของแบรนด์ Unique ที่เธอสวมอยู่
ยิ่งไปกว่านั้น เธอยังเป็นนางแบบบนป้ายโปสเตอร์ที่ติดอยู่บนผนังของร้านขายเสื้อผ้าบนชั้นสองของห้างด้วย
พนักงานขายหลายคนที่หลินม่ายรับสมัครมาต่างก็มายืนรออยู่หน้าประตูด้านหลังเช่นกัน
ทุกคนแต่งตัวตามที่หลินม่ายแนะนำ หวีผมเรียบร้อย แต่งหน้าบาง ๆ สวมชุดทำงานที่เป็นเสื้อสูทกับกระโปรงตัวเล็ก ๆ
เทียบกับพนักงานขายคนอื่น ๆ ในห้างแล้ว พวกหล่อนดูสวยสดใสและมีระดับมากกว่า
สำหรับเสื้อผ้าที่มีแบรนด์เป็นของตัวเอง ภาพลักษณ์ของพนักงานขายมีความสำคัญมาก
ยิ่งพวกหล่อนแต่งตัวดูดีแค่ไหน ยิ่งทำให้ร้านมีชื่อเสียง
อาจเป็นเพราะในยุคนี้พนักงานขายยังไม่ค่อยให้ความสำคัญกับความสวยความงามสักเท่าไร
ทันทีที่พนักงานขายเห็นหลินม่าย พวกหล่อนก็กรูกันมายืนล้อมรอบเธอทันที
ทุกคนต่างทักทายเป็นเสียงเดียวกัน “มาเร็วจังเลยค่ะ”
………………………………………………………………………………………………………………
อาหลี่ซานตีกูเหนียง (阿里山的姑娘) หรือ หญิงสาวแห่งภูเขาอาหลี่ เนื้อเพลงมีเนื้อหาบรรยายความสวยงามของธรรมชาติที่หลายคนหลงใหล อ่านคำแปลและฟังเพลงประกอบเพิ่มเติมได้ที่ https://www.pohchae.com/2018/12/04/music-5/
นักร้องชื่อดังชาวไต้หวัน ผู้ได้รับการขนานนามว่าเป็นราชินีเพลงจีน ตัวอย่างผลงานเพลงที่มีชื่อเสียงได้แก่ เถียนมี่มี่(sweet on you) เยว่เลี่ยงไต้เปี่ยวหว่อเตอซิน(The moon represents my heart)
สารจากผู้แปล
กิจการรุ่งเรืองใหญ่แล้วม่ายจื่อ ปรบมือให้กับการเปิดร้านใหม่นะคะ
ไหหม่า(海馬)