แม่ปากร้ายยุค 80 - ตอนที่ 34 ผมทำเรื่องนี้ไม่ได้หรอก
ตอนที่ 34 ผมทำเรื่องนี้ไม่ได้หรอก
ไม่ถึงแปดโมงครึ่ง ขนมฉาวเมี่ยนวอก็ถูกขายหมดเกลี้ยงแล้ว ขายหมดเร็วกว่าที่หลินม่ายคาดคิดไว้
ประเด็นคือช่วงเจ็ดโมงครึ่ง ไม่เพียงแต่ผู้โดยสารเรือข้ามฟากที่มาซื้อเท่านั้น ยังมีกลุ่มวัยทำงานและนักเรียนที่ต้องขึ้นเรือข้ามฟาก รวมทั้งชาวบ้านในละแวกใกล้เคียงต่างแห่กันเข้ามาซื้อไม่น้อย ดังนั้นจึงขายหมดอย่างรวดเร็ว
หลินม่ายเก็บของเตรียมตัวกลับบ้าน ระหว่างทางเจอกับเถียหนิวที่มารับเธอ
ทั้งสองคนกลับบ้านด้วยกัน รีบยัดอาหารเช้า ก่อนจะตรงมาขายเกาลัดในท่าเรือด้วยกัน
ราคาเกาลัดเพิ่มขึ้นหนึ่งเหมาได้สร้างผลกระทบต่อผู้บริโภค กระทั่งขายมาจนถึงห้าโมงเย็นเพิ่งจะขายไปได้สี่ร้อยชั่ง
หลินม่ายไม่อยากขายต่อ เธอลุกขึ้นมาทำงานตั้งแต่ตีห้าหัวรุ่ง จนตอนนี้ทำงานไปแล้วกว่าสิบชั่วโมงแล้ว ร่างกายเริ่มหมดเรี่ยวแรง
แต่ถ้าพรุ่งนี้ยังขายได้มากขนาดนี้ อาจจะสร้างผลกระทบต่อผู้บริโภคเพิ่มขึ้น
เธอตั้งใจว่าจะขายเกาลัดรอบนี้ให้หมดก่อนเทศกาลปีใหม่
เถียหนิวยังอยากขายต่ออีกหน่อย แต่หลินม่ายยืนยันจะเก็บร้าน เขาก็ได้แต่จนปัญญา
เขาเก็บร้านไปพลางบ่นอุบถึงเจ้าของแผงขายคั่วธัญพืชคนอื่นอีกสองสามร้านไปพลาง “เป็นเพราะพวกเขาแย่งธรุกิจของเรา”
หลินม่ายกลับไม่ได้ใส่ใจ
ทุกคนไม่ได้แย่งธุรกิจแบบน่าเกลียดเหมือนกับหญิงหน้าไหว้หลังหลอกคนนั้น มีสิทธิ์อะไรไปกล่าวโทษคนอื่น?
อีกอย่างตลาดคั่วธัญพืชในท่าเรือใหญ่ขนาดนั้น เธอเพียงคนเดียวคงบริการได้ไม่ทั่วถึงหรอก ทุกคนคิดว่าการค้าขายของทุกคนไม่สร้างผลกระทบใหญ่หลวงให้แก่ธุรกิจของเธองั้นเหรอ?
หลังจากเก็บแผงขายแล้วก็ตรงกลับบ้าน แม่เถียหนิวทำอาหารมื้อคำไว้เรียบร้อย
ผ่านไปแล้วสี่ห้าวัน ผักกวางตุ้งที่แม่เถียหนิวนำมาด้วยถูกกินจนเกลี้ยง
อาหารมื้อค่ำคือหัวไชเท้าดองหนึ่งชาม ต้มจืดผักกาดขาวเพิ่มเต้าหู่หนึ่งชาม และมันเทศฝอยผัดหนึ่งชาม ไม่มีอาหารจานอื่นแล้ว
แม้ว่าหลินม่ายจะทำงานหนัก แต่เรื่องอาหารเธอยังอยากกินของอร่อยให้สมกับความเหนื่อย
อีกอย่างเธอให้เงินแม่เถียหนิวไปซื้ออาหาร แต่กลับได้กินอาหารเหล่านี้ทุกวัน เธอสุดจะทน
หลังจากกินข้าวเสร็จ หลินม่ายล้วงธนบัตรใบหนึ่งออกมาจากกระเป๋าแล้วยื่นให้แม่เถียหนิว ให้หล่อนนำเงินนี้ไปซื้ออาอาหาร
แม่เถียหนิวโบกมือทั้งสองข้างไปมา “ไม่ต้อง ไม่ต้องหรอก เงินสิบหยวนที่หนูให้ป้าคราวที่แล้วเพิ่งใช้ไปไม่ถึงสองหยวน ป้ายังมีเงินซื้อกับข้าวอยู่”
หลินม่ายคลี่ยิ้ม “หนูคิดว่าคุณป้าใช้เงินสิบหยวนนั้นไปหมดแล้วนะคะ”
“เป็นไปได้ยังไง! ป้าไปซื้อเต้าหู้ทุกวัน จ่ายไปไม่กี่หยวนเองนะ?”
แม่เถียหนิวกล่าวอย่างภูมิใจ ราวกับอยากให้เชยชมฉันสิ ฉันเป็นแม่บ้านที่ดี
แต่เธอยังคงยัดเงินจำนวนสิบหยวนนี้ให้แม่เถียหนิว “นับตั้งแต่พรุ่งนี้ไปต้องมีเนื้อในทุกมื้ออาหาร ไม่อย่างนั้นร่างกายหนูทรุดแน่ค่ะ”
แม่เถียหนิวตอบรับ แต่กลับแบะปากอยู่เงียบ ๆ ในใจ สาวน้อยคนนี้ช่างตะกละเกินไปแล้ว อยากกินของอร่อย แค่กินอิ่มก็พอแล้วไม่ใช่เหรอ?
หลังจากกินมื้อค่ำเสร็จ หลินม่ายก็ออกไปเทียวหายืมกล่องกระดาษและพวกอุปกรณ์เขียนพู่กันจากเพื่อนบ้านกลับมา
แม่เถียหนิวเอ่ยถามอย่างประหลาดใจ “ม่ายจื่อ เธอจะยืมของพวกนี้ไปทำไม?”
หลินม่ายตอบอย่างคลุมเครือ “ใช้งานค่ะ” กล่าวจบ ก็ตรงกลับห้อง
แม่เถียหนิวไม่พอใจอยู่ในใจ รู้ว่าเธอนำไปใช้งาน แต่งานอะไรก็ไม่บอก
หลินม่ายไม่ยอมบอก หล่อนก็ไม่ซักไซ้ถามต่อ
โต้วโต้วตามเข้าไปดูในห้องด้วย แต่ถูกหลินม่ายขวางทางไว้ “ไปเล่นกับนิวนิวไป อย่ามากวนงานแม่”
โต้วโต้วหมุนตัวออกไปเล่นกับนิวนิวอย่างเชื่อฟัง
หลินม่ายปิดประตูตายจากด้านใน ก่อนจะนั่งลงหน้าโต๊ะตัวเก่าและเริ่มเขียนโครงร่าง
ซึ่งโครงร่างนี้คือการเขียนรายงาน ประเด็นคือการได้เห็นมุมมองสะท้อนในตอนที่เธอไปซื้ออาหารบำรุงและเสื้อขนสัตว์ในห้างสรรพสินค้าวันนั้น แม้ว่าพนักงานขายจะมีสีหน้าไม่รับแขก พูดจาไม่น่าฟังก็ตาม
แต่ถึงอย่างไรก็เป็นนักเรียนหัวกะทิที่จบมัธยมต้นมาด้วยคะแนนโดดเด่น…แค่ก แค่ก แม้ว่าจะเป็นเรื่องในชาติที่แล้ว แต่เรื่องในการเขียนนั้นยังอยู่
หลินม่ายบรรยายเรื่องราวในอดีต สาธยายฝีปากอันน่าเกลียดของพนักงานขายทั้งสองคนนั้นถูกวาดออกมาอย่างเข้าใจถ่องแท้
สุดท้ายหลินม่ายก็ทิ้งท้ายประโยคว่า ‘ประเทศทุนนิยม พนักงานขายต้องปฏิบัติต่อลูกค้าด้วยความกรุณา’
ในประเทศทุนนิยมของเรากลับมีพนักงานที่ดูถูกชาวนาอาศัยอยู่ แบบนี้ไม่เป็นการดึงดูดความขัดแย้งมาสู่สังวคมหรอกเหรอ?
แนวโน้มที่ไม่ยุติธรรมหากไม่ได้รับการควบคุมย่อมไม่เป็นผลดีต่อการพัฒนาประเทศอย่างแน่นอน
โดยสรุปแล้ว เขียนตามผลลัพธ์ที่จะตามมาอย่างจริงจัง
หลังจากเขียนเสร็จก็วางไว้ด้านข้าง จากนั้นก็เริ่มเขียนจดหมายรายงานพฤติกรรมให้แก่กระทรวงการศึกษา รายงานว่าหลินเพ่ยแอบอ้างชื่อตนเข้าเรียนมัธยม
แรกเริ่มเธอตั้งใจว่าจะไปรายงานถึงโรงเรียนที่หลินเพ่ยเรียนอยู่โดยตรง แต่เจียดเวลาไปไม่ได้เลย ดังนั้นจึงเขียนรายงานดีที่สุด
หลังจากเขียนรายงานเสร็จแล้ว ก็รวบรวมบทความไว้ด้วยกัน เก็บใส่กระเป๋าเสื้อขนเป็ดที่ใส่ ตั้งใจว่าจะหาเวลาไปส่งไปรษณีย์พรุ่งนี้
จดหมายทั้งสองฉบับนี้ถูกเขียนขึ้นลับหลังสองแม่ลูกเถียหนิว เพราะกลัวว่าแม่เถียหนิวจะปากเปราะ บอกคนอื่น แต่เถียหนิวเธอกลับไม่ได้ป้องกันเป็นพิเศษขนาดนั้น
ขั้นตอนสุดท้ายคือการนำกระดาษแผ่นเล็กนั้นมาพับเป็นกล่องกระดาษ หลินม่ายจึงหยิบกล่องกระดาษนั้นออกมา
แม่เถียหนิวไม่รู้ตัวหนังสือ ได้แต่จ้องซองจดหมายในมือของเธอพลามเอ่ยถามด้วยความอยากรู้ว่า “หนูจะทำอะไร?”
“กล่องกระดาษค่ะ” หลินม่ายอธิบายต่อว่า “เป็นกล่องกระดาษที่ทำขึ้นเพื่อใส่ฉลากจับรางวัล ลูกค้าที่ซื้อเกาลัดคั่วตั้งแต่สามชั่งขึ้นไปจะได้ร่วมจับรางวัล ถ้าจับได้ จะได้กินฟรี แบบนี้เกาลัดของเราจะได้ขายหมดเร็ว”
แม่เถียหนิวเอ่ยด้วยความสงสัย “วิธีการนี้จะได้ผลเหรอ? ถ้าฉลากที่มีรางวัลถูกจับได้เร็ว เกาลัดหลังจากนั้นจะขายออกเหรอ?”
“หนูจะชี้แจงล่วงหน้าว่ารางวัลนั้นถูกเฉลี่ยออกเป็นหนึ่งต่อสิบ ในสิบคนนั้นจะมีคนจับได้เพียงหนึ่งคนเท่านั้น ฉลากรางวัลไม่มีทางถูกจับได้เร็วขนาดนั้น ฉันจะไส่กระดาษที่มีรางวัลหนึ่งใบเข้าไปหลังจากถูกจับไปแล้วสิบคน ถอยหลังหนึ่งก้าว ต่อให้ฉลากที่มีรางวัลถูกจับได้เร็ว ก็ไม่มีทางสร้างผลกระทบต่อการขายเกาลัดหลังจากนั้นแน่นอน แค่อาจจะขายช้าไปเท่านั้น ถึงอย่างไรก่อนหน้านั้นก็ไม่มีรางวัล ซื้อเกาลัดไปก็ต้องจ่ายเงิน มีโอกาสได้จับฉลากกินฟรีแค่ครั้งเดียวเท่านั้น”
ความกังวลของเถียหนิวคือกลัวว่าการจับฉลากจะไม่ได้กำไร ถ้าได้กำไรต่ำลง ไม่สู้ชายชั่งละสี่เหมาก็จบ
“ไม่มีทางค่ะ” หลิวม่ายอธิบาย “แม้ว่าเราจะประกาศออกไปว่ามีหนึ่งในสิบคนที่จะได้รางวัล แต่ในความเป็นจริงกลับมีโอกาสหนึ่งในยี่สิบคนเสียด้วยซ้ำ พี่เข้าใจความหมายของหนูไหม?”
เถียหนิวครุ่นคิด ก่อนพยักหน้า “ฉันเข้าใจ นี่มันนักต้มตุ๋นเลยนะ”
หลินม่ายยิ้มอย่างจนปัญญา “นี่ไม่ได้เรียกว่านักต้มตุ๋น กิจกรรมจับรางวัลในสมัยนี้ก็เป็นแบบนี้ ในยี่สิบคนจะมีคนได้กินฟรีแค่หนึ่งคน เท่ากับว่าชั่งละสี่เหมาเจ็ดเฟิน แม้ว่ากำไรจะสู้ราคาชั่งละห้าเหมาไม่ได้ แต่ก็สูงกว่าราค่าสี่เหมา”
เมื่อเถียหนิวเข้าใจแล้วหลินม่ายก็ให้เขาและแม่เถียหนิวทำงานล่วงเวลา ขนเกาลัดกว่าร้อยชั่งออกมากะเทาเปลือกตั้งแต่คืนนั้น เพื่อรับมือกับการจับฉลากในวันพรุ่งนี้ที่นำมาซึ่งยอดขายของเกาลัดที่พุ่งทะยานอย่างรวดเร็ว
จากนั้นก็คืนกระดาษและพู่กันแก่เพื่อนบ้าน หลินม่ายอาบน้ำเข้านอน พรุ่งนี้ยังต้องตื่นเช้ามาทำขนมฉาวเมี่ยนวออีก
สองแม่ลูกเถียหนิวกระเทาะเกาลัดเสร็จ ก็อาบน้ำเข้านอน
พรุ่งนี้พวกเขาต้องตื่นเช้า เพื่อเตรียมร้านในวันพรุ่งนี้
เถียหนิวล้างเท้าในห้องตัวเอง เมื่อล้างเสร็จ ก็เห็นแม่ของตนออกแรงผลักประตูห้องของสองแม่ลูกหลินม่าย จึงเอ่ยถามอย่างไม่เข้าใจ “แม่ แม่จะทำอะไร?”
แม่เถียหนิวย่องมาข้างกายเขา แล้วเอ่ยถามด้วยเสียงต่ำ “ห้องของม่ายจื่อถูกล็อกจากข้างใน แกเปิดจากข้างนอกได้ไหม?”
“ผมไม่ใช่โจร จะเปิดล็อกได้ไง?” เถียหนิวเอ่ยถามอย่างสงสัย “แม่ แล้วทำไมแม่ต้องเข้าไปในห้องของม่ายจื่อด้วย?”
แม่เถียหนิวจ้องเขม็งไปยังเขาครู่หนึ่ง แล้วกระซิบข้างหูเขาสองสามประโยค
เถียหนิวมีสีหน้าถอดสี “แม่ !แม่กำลังหลอกผม!ให้ผมแอบงัดห้องของม่ายจื่อ แม่รู้ไหมว่าผลลัพธ์ที่ตามมาคือหลินม่ายอาจแจ้งความได้นะ แม่อยากกินลูกปืนเหรอ !”
“นี่เพราะแกไม่เหมาะสมกับม่ายจื่อ ฉันถึงต้องหาวิธีการนี่ไง ฉันไปหลอกลวงแกตรงไหนไม่ทราบ?” แม่เถียหนิวเอ่ยอย่างเย้ยหยัน “ทำไมแกถึงได้ขี้ขลาดขนาดนั้น เรื่องมาถึงขนาดนี้แล้ว ม่ายจือกล้าแจ้งตำรวจเหรอ? หล่อนไม่กลัวเสียชื่อรึไง?”
เถียหนิวโกรธจนพูดไม่ออก “ให้เข้าหาม่ายจื่อเหรอ? ผมทำเรื่องนี้ไม่ได้ แม่อย่าทำอะไรแบบนี้เลย”
กล่าวจบก็ล้างเท้ากลับห้องด้วยสีหน้าถมึงทึง
แม่เถียหนิวไม่พอใจ จนสุดท้ายก็กลับห้องนอนไป
……………………………………………………………………………………
สารจากผู้แปล
อะไรของป้าคะเนี่ย ถึงขนาดจะให้ลูกชายงัดห้องคนอื่นเขา
คุกนะคะ คุก
ไหหม่า(海馬)