แม่ปากร้ายยุค 80 - ตอนที่ 342 คนบ้านแม่ยกทัพมาประณามความผิด
ตอนที่ 342 คนบ้านแม่ยกทัพมาประณามความผิด
หลังจากไม่คุยกับพี่ชายมานานนม ตอนนี้จู่ๆ ก็โทรหาเขา เถาจืออวิ๋นจึงรู้สึกอายอย่างมาก
หล่อนรู้สึกว่าตนนั้นเหมือนกับฉีเซวียนอ๋อง เกิดเรื่องหาจงอู๋เยี่ยน สุขสบายหาเซี่ยอิ๋งชุน(1)
แต่ปลายสายก็รับโทรศัพท์แล้ว จะวางสายก็คงไม่ได้
เถาจืออวิ๋นฝืนพูดขึ้น “ฉัน…เจอปัญหาบางอย่างเข้าจริงๆ ฉันอยากให้พี่ใหญ่กับพี่รองช่วยออกหน้าให้หน่อย”
พี่ใหญ่ที่ปลายสายนั้นถามขึ้นทันที “ปัญหาอะไร? ให้ฉันกับพี่รองของเธอไปตอนนี้เลยไหม!”
“ไม่ต้องขนาดนั้นหรอกค่ะ พวกพี่ค่อยมาหลังเลิกงานก็ได้” เถาจืออวิ๋นเห็นพี่ชายยังดีกับหล่อนเหมือนอย่างเคย ก็ทั้งรู้สึกอบอุ่นใจและละอายใจไปพร้อมกัน
ในตอนแรกตนเองถูกอะไรบางอย่างบังตา จนยอมตัดการติดต่อกับพี่ชายทั้งสองเพื่อที่จะแต่งงานกับหม่าเทา
หล่อนพูดอ้ำๆ อึ้งๆ “ฉันแค่อยากขอพี่กับพี่รองมาหาฉันสักรอบ เพื่อขู่เพื่อนบ้านของฉัน ให้หล่อนเลิกตามก่อกวนฉันเสียที”
แม้หลินม่ายจะขู่พ่อว่านแม่ว่านไปแล้ว ทั้งยังทำให้แม่ว่านถูกพ่อว่านทุบตีอีก แต่หล่อนก็คิดว่าให้พี่ชายของตนมาหาสักครั้งคงจะดีกว่า
หล่อนเกรงว่าหากไม่จัดการให้เรียบร้อย ถึงแม่ว่านไม่บังคับจับคู่ให้หล่อนอีกต่อไป แต่ถ้าผู้หญิงคนอื่นๆ ในหมู่บ้านมาทำเป็นแม่สื่อแม่ชักให้หล่อนอีกจะทำอย่างไร?
หล่อนไม่เข้าใจจริงๆ ตนปฏิเสธไปก็เป็นเรื่องธรรมดาไม่ใช่เหรอ แต่ทำไมคนเป็นแม่สื่อถึงทำทีราวกับว่าโดนดูถูกอย่างร้ายแรงอย่างไรอย่างนั้น? แล้วมาบังคับให้หล่อนยอมตกลงให้ได้
ไม่ใช่แค่แม่ว่านเท่านั้น ที่ทำงานกับหมู่บ้านที่หล่อนอยู่เมื่อก่อนก็มีคุณป้าบางคนที่ชอบทำตัวเป็นแม่สื่อให้กับผู้หญิงที่ผ่านการหย่าร้างมา หากผู้หญิงที่หย่าร้างมาแล้วคนนั้นไม่ตกลง พวกหล่อนก็จะพ่นคำพูดร้ายกาจต่างๆ นานาออกมา
เจตนาในใจมีเพียงอย่างเดียว ผู้หญิงที่ผ่านการหย่าร้างคนหนึ่งมีสิทธิ์เลือกมากได้ที่ไหนกัน?
ผู้หญิงที่ผ่านการหย่าร้างแล้วก็ไร้ซึ่งสิทธิมนุษยชนแล้วอย่างนั้นเหรอ? พอคิดขึ้นมาก็น่าโมโหนัก!
หลังจากบอกที่อยู่ของตนกับพี่ชายทางโทรศัพท์แล้ว เถาจืออวิ๋นก็วางสายแล้วทำงานอย่างจริงจัง
ไม่นานก็ถึงเวลาเลิกงาน เถาจืออวิ๋นเก็บข้าวของ กำชับงานกับหัวหน้าฝ่ายโรงงานทั้งสองในห้องทำงานเดียวกับสองสามคำแล้วจึงขอตัวไปก่อน
ในตอนที่หล่อนไปถึงบ้านป้าติงนั้นเอง หลินม่ายก็มาแล้วอยู่ก่อนแล้ว และกำลังรอหล่อนมารับฉีฉี
ทั้งสองจูงมือเด็กน้อยฝั่งละคนเดินไปพลางพูดคุยกันไปพลาง
หลินม่ายพูด “ฉันอยากจะเปิดโรงอนุบาลสักแห่งให้เร็วที่สุด”
เถาจืออวิ๋นค่อนข้างประหลาดใจ “ทำไมจู่ๆ ถึงนึกอยากจะเปิดโรงเรียนอนุบาลได้ล่ะ?”
หลินม่ายส่ายหน้า “ฉันไม่ได้คิดขึ้นมากะทันหันหรอกค่ะ แต่มีความคิดนี้มานานมากแล้ว เพียงแต่เห็นเด็กๆ ทั้งสองคนยังเล็ก ก็เลยวางแผนว่าจะรอให้พวกเขาโตขึ้นอีกสักปีแล้วค่อยเปิดโรงเรียนอนุบาล แต่ช่วงนี้ป้าติงช่วยดูแลเด็กๆ ทำเอาฉันใจหายใจคว่ำหมด”
เถาจืออวิ๋นถามอย่างไม่เข้าใจ “ฉันเห็นป้าติงก็ค่อนข้างมีความรับผิดในการดูแลเด็กๆ ทีเดียว แล้วทำไมเธอถึงใจหายใจคว่ำได้ล่ะ?”
“ฉันไม่ได้บอกว่าหล่อนไร้ความรับผิดชอบ แต่ฉันไม่ชอบที่หล่อนดูแลเด็กๆ โดยที่ไม่ใส่เรื่องสุขอนามัยเอาเสียเลย บางครั้งจ้วงจ้วงของหล่อนได้รับบาดเจ็บ หล่อนไม่พูดว่าจะพาเด็กไปตรวจที่โรงพยาบาล แต่กลับใช้โคลนพอกบนแผล โดยที่ไม่กลัวว่าบาดแผลจะอักเสบเลย ฉันบอกว่าทำแบบนี้มันไม่ถูกสุขอนามัย แต่หล่อนบอกว่าไม่เป็นไร แถมยังชอบเคี้ยวอาหารแล้วป้อนให้เด็กๆ กินอีก พี่ไม่รู้หรอกว่าตอนที่ฉันเห็นฉากนั้นฉันแทบจะอ้วกออกมาอยู่แล้ว ดังนั้นฉันจะต้องเปิดโรงเรียนอนุบาลภายนปีนี้ให้ได้เลย”
เถาจืออวิ๋นบ่นพึมพำ “เธอเองก็จริงจังเกินไปแล้ว ต้องเปิดโรงเรียนทำอนุบาลเพราะเรื่องเล็กๆ แค่นี้เอง ในนั้นคงมีแต่ลูกๆ ของพวกเราสองคนเท่านั้นแหละ”
“จะเป็นไปได้ยังไง? ฉันจะรับสมัครนักเรียนด้วย หากมีเด็กในโรงเรียนอนุบาลมากๆ ก็สามารถปลูกฝังทักษะทางสังคมของเด็กตั้งแต่อายุน้อย”
เถาจืออวิ๋นพยักหน้า “งั้นเธอก็จัดการตามที่เห็นสมควรเถอะ”
ทั้งสองแยกกันที่ทางแยก ต่างคนต่างพาเจ้าหนูน้อยของตนเดินไป
เถาจืออวิ๋นพาฉีฉีไปที่ตลาดสดฝูตัวตัวก่อน ซื้อวัตถุดิบทำอาหารดีๆ มากมาย แล้วสองแม่ลูกจึงกลับบ้าน
ยังเดินไม่ถึงด้านหน้าหมู่บ้าน ก็เห็นพ่อแม่พี่ชายและพี่สะใภ้ทุกคนต่างก็ยืนชะเง้อมองอย่างคาดหวังที่หน้าประตูหมู่บ้าน
ในใจของหล่อนพลันอุ่นซ่าน รีบอุ้มฉีฉีขึ้นมาแล้ววิ่งเข้าไปหา ถามกับพี่ใหญ่เถาด้วยความตื่นเต้นระคนแปลกใจ “ทำไมพ่อแม่กับพี่สะใภ้ทั้งสองมากันหมดเลยล่ะคะ?”
“แน่นอนว่ามาช่วยหนุนหลังให้เธอไง ไปกันเถอะ พาพวกเราไปหาเพื่อนบ้านที่ก่อกวนเธอคนนั้นสิ”
พี่ใหญ่เถาพูด พร้อมกับอุ้มฉีฉีที่อยู่ในอ้อมแขนของเถาจืออวิ๋นมาไว้ในอ้อมแขนของตน “ฉีฉีสูงขึ้นเยอะเลยนะ”
แม่เถาเดินไปพลางสอดส่องสำรวจรอบๆ ไปพลาง แล้วพยักหน้าอย่างพึงพอใจ “สภาพแวดล้อมที่นี่ดีกว่าหมู่บ้านกลางเมืองเยอะเลย น่าจะมาเช่าบ้านในเขตเจียฉู่ตั้งนานแล้ว”
เรื่องที่เถาจืออวิ๋นเกือบจะถูกล่วงละเมิดนั้น หล่อนไม่เคยพูดกับพ่อแม่ของตนมาก่อนสักคำเดียว เพราะไม่อยากให้พวกเขากังวล
แม้ว่าแม่เถาจะไม่รู้ แต่หล่อนก็ไม่หวังให้ลูกสาวอยู่ในหมู่บ้านกลางเมืองเอาเสียเลย ที่นั่นสังคมเลวทรามป่าเถื่อน คนดีคนเลวอยู่ปะปนกัน สภาพแวดล้อมเลวร้ายเกินไป
เถาจืออวิ๋นพูดด้วยรอยยิ้ม “บ้านในเขตเจียฉู่หาเช่าได้ง่ายๆ ที่ไหนกัน ตอนนี้บ้านที่ฉันอยู่ก็เป็นบ้านที่ม่ายจือให้เช่า”
แม่เถาถาม “ใช่แม่สาวคนนั้นที่มาหาลูกที่บ้านเราคราวก่อนหรือเปล่า?”
เถาจืออวิ๋นพยักหน้า “หล่อนนั่นแหละค่ะ”
หล่อนเล่าเรื่องที่หลินม่ายดีต่อเธอให้พวกแม่เถาฟังทุกๆ เรื่อง ยกเว้นเสียแต่เรื่องที่หลินม่ายช่วยหล่อนเอาไว้
พวกพี่ใหญ่เถาได้ฟังเรื่องทั้งหมดก็ซาบซึ้งใจอย่างมาก
พ่อเถาพูด “เสี่ยวหลินคนนั้นดีต่อลูกขนาดนี้ วันชาติลูกก็พาสองแม่ลูกเสี่ยวหลินมาที่บ้านเรา ให้แม่ของลูกทำอาหารตอบแทนหล่อนสักมื้อ”
เถาจืออวิ๋นขานรับด้วยรอยยิ้ม
คนกลุ่มใหญ่เข้าไปในอาคารอยู่อาศัยรวมของเถาจืออวิ๋น
แม้ว่าแม่ว่านจะถูกพ่อว่านทุบตีจนหน้าบวมช้ำ แต่ก็ยังยืนกรานจะทำอาหารเย็น โดยมีลูกสาวคนโตคอยช่วย
เมื่อเห็นเถาจืออวิ๋นพากลุ่มคนที่แต่งตัวสวยงามดูดีกลุ่มหนึ่งเข้ามา แม่ว่านก็รู้สึกเหมือนท่าไม่ดี
ขณะกำลังจะมุดเข้าไปหลบในห้อง ก็กลับถูกเถาจืออวิ๋นขวางทางเอาไว้ ก่อนชี้มาที่หล่อนแล้วพูดกับกลุ่มคนกลุ่มนั้น
“พ่อคะ แม่คะ พี่ชาย พี่สะใภ้ หล่อนนี่แหละที่ชอบมาก่อกวนฉัน บังคับให้ฉันไปดูตัวกับน้องชายของหล่อน”
สีหน้าของพี่ใหญ่เถาและคนอื่นๆ ต่างก็บึ้งตึงขึ้นมา ขณะที่กำลังจะต่อว่าแม่ว่าน ก็เห็นผู้ชายอายุสามสิบกว่าปีหน้าตาน่าเกลียดแถมยังลงพุงเดินเข้ามาโดยไม่ได้รับเชิญ
ปากก็ส่งเสียงเอะอะ “พี่ ไหนบอกว่าจะแนะนำคู่ให้ผมไง? ทำไมยังไม่มีความเคลื่อนไหวอะไรอีกล่ะ?”
พี่ใหญ่เถาชี้ไปที่ชายอัปลักษณ์น่ารังเกียจคนนั้น แล้วถามแม่ว่านด้วยสองตาที่ลุกเป็นไฟ “นี่คือคู่ดูตัวที่คุณจะแนะนำให้น้องสาวของผมอย่างนั้นเหรอ?”
แม่ว่านถึงกับอ้ำอึ้งพูดอะไรไม่ออก
สะใภ้ใหญ่เถาตบหน้าแม่ว่านเข้าหนึ่งฉาด “ยัยคนนี้ช่างต่ำช้าจริงๆ น้องชายของเธอมีดีอะไร ถึงได้กล้าบังคับให้น้องสามีของเราไปดูตัวกับเขา เธอมีเจตนาอะไรอยู่?”
น้องชายของแม่ว่านเห็นสถานการณ์เช่นนั้นก็ขี้หดตดหาย หมุนตัวเผ่นหนีไปทันที
ว่านเสียนกระโจนเข้ามาขวาง ร่ำไห้เอ่ยอ้อนวอน “ขอร้องพวกคุณอย่าดีแม่ของฉันเลยค่ะ ตอนเที่ยงคุณพ่อกับทุบตีแม่ไปรอบหนึ่งแล้ว!”
สะใภ้รองเถาพูดอย่างเย็นชา “นั่นมันเพราะแม่เธอทำตัวเอง ไม่ใช่เหตุผลที่เธอจะมาห้ามไม่พวกเราตีแม่ของเธอได้ แม่เธอโดนทุบตีเธอก็เจ็บปวดใจ แต่ถูกทุบตีก็เป็นเวลาเพียงชั่วครั้งชั่วคราว แต่ถ้าแม่ของเธอบังคับให้น้องสามีของฉันแต่งงานกับตาลุงที่คนก็ไม่ใช่ผีก็ไม่เชิงนั่น ชั่วชีวิตของน้องสามีฉันก็จะพังพินาศ แล้วพวกเราจะไม่เจ็บปวดใจบ้างเหรอ?”
แม่เถาเองก็พูดอย่างโกรธเกรี้ยว “ตอนนี้เธอขวางไม่ให้พวกเราทุบตีแม่ของเธอ แล้วก่อนหน้านี้มัวทำอะไรอยู่? ทำไมถึงไม่เกลี้ยกล่อมแม่เธอว่าอย่าทำเรื่องผิดศีลธรรมบ้าง?”
ว่านเสียนถูกด่าจนหน้าแดงถึงหู พูดอะไรไม่ออก
สะใภ้ใหญ่และสะใภ้รองเถาสั่งสอนแม่ว่านอย่างโหดเหี้ยม พลางเตือนหล่อนว่าหากยังกล้ามาก่อกวนเถาจืออวิ๋นอีก คราวหน้าจะไม่ใช่แค่ตบหน้าเท่านั้น
แม่ว่านพูดด้วยสีหน้าสลด “ฉันไม่กล้าอีกแล้ว ได้โปรดปล่อยฉันไปเถอะ”
เมื่อนั้นสะใภ้ใหญ่และสะใภ้รองเถาถึงยอมเลิกรา
แต่พ่อว่านที่นั่งอยู่ในบ้านมาตลอดกลับไม่ยอมปล่อยแม่ว่านไป เขาลากหล่อนเขาไปในบ้าน แล้วทุบตีหล่อนอย่างหนักหน่วง
ไม่ว่าว่านเสียนจะห้ามอย่างไรก็ห้ามไม่อยู่ จนตนเองถูกลูกหลงอยู่หลายครั้ง
………………………………………………………………………………………………………………………..
(1)เกิดเรื่องหาจงอู๋เยี่ยน สุขสบายหาเซี่ยอิ๋งชุน หมายถึงความสัมพันธ์ที่เห็นแก่ผลประโยชน์ที่ได้จากอีกฝ่าย (มาจากเรื่องราวของจงอู๋เยี่ยน หญิงสาวผู้หนึ่งที่หน้าตาอัปลักษณ์ แต่กล้าหาญมีความสามารถ ช่วยเหลือชาติบ้านเมือง จนฉีซวนอ๋องแต่งตั้งให้เป็นนางสนมด้วยเห็นแก่ความสามารถ)
สารจากผู้แปล
แม่ว่านจะตายไหม ตอนเที่ยงโดนสามีตัวเองทุบไปรอบหนึ่ง ตกเย็นเจอยำใหญ่ใส่สารพัดจากคนบ้านเถาตบท้ายด้วยสามีตัวเองอีกรอบ ถ้าไม่รีบสำนึกก็เกรงว่าจะรักษาชีวิตไว้ไม่ได้แล้วนะ
ไหหม่า(海馬)