แม่ปากร้ายยุค 80 - ตอนที่ 348 บริจาค ณ ที่นั้น
ตอนที่ 348 บริจาค ณ ที่นั้น
อาจารย์เหวยส่งสัญญาณให้ว่านฮุ่ยนั่งที่ที่นั่งของตัวเอง
เขามองไปรอบๆ ห้องเรียนรอบหนึ่ง เมื่อเห็นว่านักเรียนมากันครบแล้วจึงพูดขึ้น “ตอนนี้จะเริ่มแจกใบแจ้งรับเข้าเรียนกันนะ”
ใบแจ้งรับเข้าเรียนถูกแจกไปอย่างรวดเร็ว
เหล่านักเรียนส่งเสียงกันจอแจ แลกกันดูใบแจ้งรับเข้าเรียนของกันและกัน
เพื่อนนักเรียนบางคนถามหลินม่าย ว่าเธอสมัครสอบโรงเรียนอาชีวศึกษาแห่งไหน
เธอมีเวลาอยู่ในโรงเรียนไม่มาก แม้จะมาโรงเรียน แต่ก็ไม่ค่อยได้พูดคุยกับเพื่อนนักเรียนนัก ดังนั้นเหล่านักเรียนจึงไม่มีใครรู้ว่าเธอสมัครสอบที่โรงเรียนไหน ด้วยเหตุนี้จึงสงสัยใคร่รู้
หลินม่ายตอบอย่างใจเย็น “ฉันไม่ได้สมัครเข้าโรงเรียนอาชีวศึกษาหรอก”
เหล่าเพื่อนนักเรียนต่างส่งเสียงเกรียวกราว คะแนนดีขนาดนั้นแต่ไม่ได้สมัครเข้าโรงเรียนอาชีวศึกษาอย่างนั้นเหรอ!
ว่านฮุ่ยได้ยินแล้ว ในใจก็พลันรู้สึกเบิกบานยินดี แอบเหล่มองหลินม่ายอย่างยั่วยุ
ตราบใดที่ยัยชั้นต่ำนั่นเรียนมัธยมปลาย ก็จะยืนอยู่บนจุดเริ่มต้นเดียวกันกับตัวเอง
ตนแสดงความสามารถออกมาได้ไม่ดีในการสอบเข้ามัธยมปลาย แล้วในการสอบเข้ามหาวิทยาลัยในอีกสามปีข้างหน้ามันจะเหมือนเดิมอย่างนั้นเหรอ?
ถึงตอนนั้น ตนจะต้องสอบได้ดีกว่ายัยชั้นต่ำนี่อย่างแน่นอน เมื่อนั้นก็จะระบายความคับแค้นในใจนี้ออกไปได้
เพื่อนนักเรียนคนหนึ่งถามหลินม่ายอย่างสงสัย “ทำไมเธอถึงไม่สมัครเข้าโรงเรียนอาชีวศึกษาล่ะ?”
หลินม่ายยิ้มอย่างเรียบเฉย “เพราะฉันอยากเรียนวิชาความรู้เยอะๆ น่ะ”
เหล่านักเรียนพากันแสดงสีหน้าลำบากใจ
พวกเด็กเทพนี่ทำอะไรตามอำเภอใจกันขนาดนี้เชียว?
เหยียนเหวินเล่อหันมาถามหลินม่าย “เธอสมัครเข้าโรงเรียนมัธยมไหนเหรอ?”
“ก็ที่พวกเราอยู่นี่แหละ”
แม้จะยังมีโรงเรียนมัธยมที่อีกสองแห่งที่ดีกว่าโรงเรียนมัธยมในสังกัดของมหาวิทยาลัยการแพทย์ผู่จี้ แต่ทุกที่ล้วนอยู่ทางอู่ชางกันหมด มันไกลเกินไป เธอจึงไม่ได้เก็บไว้พิจารณา
เหยียนเหวินเล่อชูใบแจ้งรับเข้าเรียนในมือขึ้นแล้วพูดอย่างยินดี “ฉันเองก็ด้วย ต่อจากนี้พวกเราก็เป็นเพื่อนกันนะ”
หลินม่ายหัวเราะโดยไม่ได้พูดอะไร
แต่ในใจของว่านฮุ่ยกลับรู้สึกอึดอัดไม่สบายใจ
เหยียนเหวินเล่อนั้นบอกอยู่ตลอดว่าเกลียดบุคลิกประจำตัวของตนจึงเลิกกับตน ตอนนี้ดูเหมือนว่าจะไม่ใช่แบบนั้นแล้ว
แต่เพราะเขาชอบหลินม่าย ถึงได้หาข้ออ้างเพื่อไล่ตนออกไป!
อาจารย์เหวยตบมือสองสามครั้ง “ทุกคนอยู่ในความสงบ ครูยังมีเรื่องสำคัญอีกอย่างที่ยังไม่ได้ประกาศ”
เหล่านักเรียนรีบหยุดกระซิบกระซาบกันทันที
สายตาของอาจารย์เหวยมองไปที่ตัวของหลินม่าย “ในการสอบครั้งนี้นักเรียนหลินม่ายสอบได้ที่3 สำนักการศึกษาจึงได้มอบรางวัลให้เป็นเงินหนึ่งร้อยหยวน นักเรียนหลินม่าย ขึ้นมารับรางวัล”
หลินม่ายเดินขึ้นบนแท่นบรรยายท่ามกลางเสียงปรบมือของเหล่าเพื่อนนักเรียน และรับซองจดหมายที่ใส่เงินรางวัลมาจากมือของอาจารย์เหวย
เธอหมุนตัวกลับมาเผชิญหน้ากับเพื่อนนักเรียนทั้งชั้น ชูซองจดหมายขึ้น แสดงให้ทุกคนได้เห็น
ว่านฮุ่ยรู้สึกริษยายิ่งนัก หากเงินรางวัลนั้นเป็นของตนมันจะดีสักแค่ไหน บวกกับเงินบริจาคที่พวกอาจารย์ให้หล่อน ก็มีแหล่งเงินสำหรับค่าเล่าเรียนชั้นมัธยมทั้งสามปีนี้แล้ว
หล่อนเบ้ปากอย่างดูแคลน “ก็แค่ได้เงินรางวัลไม่ใช่หรือไง ถึงกับต้องโอ้อวดกันแบบนี้เชียว!”
เสียงของหล่อนไม่ได้เบานัก นักเรียนที่อยู่ใกล้ๆ ล้วนได้ยินกันหมด
ก่อนหน้านี้นักเรียนเหล่านั้นไม่ได้รู้สึกเลยว่าหลินม่ายทำตัวเป็นจุดสนใจ แต่เมื่อได้ยินคำพูดของว่านฮุ่ย ก็พลันรู้สึกว่าหลินม่าย…เหมือนกับว่า…จะทำตัวเป็นจุดสนใจมากไปหน่อย โดยที่ไม่ได้คิดถึงจิตใจของเพื่อนนักเรียนที่สอบได้ไม่ดีเลยสักนิด
ขณะที่นักเรียนบางคนกำลังตำหนิหลินม่ายเล็กๆ น้อยๆ อยู่ในใจนั้นเอง ก็เห็นหลินม่ายยื่นซองเงินรางวัลนั้นให้กับอาจารย์เหวย
“เรียบร้อยค่ะ หนูได้แสดงถึงความเป็นเกียรติของหนูแล้ว เงินรางวัลนี้อาจารย์เหวยช่วยนำไปบริจาคให้กับเพื่อนนักเรียนที่อยากเรียนมัธยมปลายแต่ไม่มีเงินจ่ายด้วยนะคะ”
เพียงสิ้นเสียงของเธอ โดยไม่ต้องให้อาจารย์เหวยพูดอะไร เหล่านักเรียนก็พากันปรบมือด้วยความชื่นชม
สุดท้ายแล้วพวกเขาก็เป็นเพียงเด็กสาวหนุ่มน้อยอายุสิบหกสิบเจ็ดปีเท่านั้น แม้จะมีความคิดแย่ๆ อยู่บ้าง แต่โดยรวมแล้ว ก็ยังเป็นเด็กๆ ที่เต็มไปด้วยพลังบวกและความกระตือรือร้น
ความเอื้อเฟื้อในครั้งนี้ของหลินม่ายได้รับความเคารพชื่นชมของพวกเขาในทันที
อาจารย์เหวยไม่นึกว่าหลินม่ายจะทำเช่นนี้ พลันไร้การตอบสนองไปชั่วขณะ เมื่อได้สติกลับมา ดวงตาของเขาก็เปียกรื้นขึ้นมาเล็กน้อย
เขาเอ่ยรับรองครั้งแล้วครั้งเล่า ว่าเขาจะรับน้ำใจนี้ของเธอไปใช้ประโยชน์อย่างดีแน่นอน
ว่านฮุ่ยมองตาค้าง
หล่อนไม่คาดคิดว่าหลินม่ายจะบริจาคเงินรางวัลนั้นไปอย่างง่ายดายอย่างนั้น
อาจารย์เหวยพูดประกาศ “ครูคิดว่าจะแบ่งเงินรางวัลนี้ของนักเรียนหลินม่ายเป็น 5 ส่วน ส่วนละ 20 หยวน นักเรียนที่ต้องการสมัครขอทุนขอให้มาที่ห้องพักครู ส่วนนักเรียนคนอื่นๆ สามารถกลับไปได้เลย”
เมื่อหลินม่ายใส่ใบแจ้งรับเข้าเรียนเข้าไปในกระเป๋าหนังสือเสร็จแล้ว ก็เดินจากไปพร้อมกับกลุ่มนักเรียนที่ไม่สมัครขอรับทุน
พลันเห็นว่านฮุ่ยรีบตามอาจารย์เหวยไปราวกับเงาตามตัวอย่างไรอย่างนั้น
เพื่อนนักเรียนไม่น้อยเองก็เห็นฉากนั้นเช่นกัน
ทุกคนพากันแสดงความคิดเห็น
“ทำไมว่านฮุ่ยถึงตามอาจารย์เหวยเข้าไปที่ห้องพักครูล่ะ คงจะไม่ได้ไปสมัครขอรับทุนหรอกนะ”
“ไม่หรอกมั้ง หล่อนก็ได้เงินบริจาคไปแล้วสามสิบกว่าหยวนนี่นา ถ้ายังขอรับทุนอีก อย่างนั้นก็โลภมากเกินไปแล้ว”
“งั้นหล่อนจะตามอาจารย์เหวยเข้าไปในห้องพักครูทำไมกันล่ะ?”
“พวกเราไปดูก็รู้แล้วไม่ใช่เหรอ”
เหล่านักเรียนแห่กันไปทางห้องพักครู จับกลุ่มเบียดเสียดกันที่หน้าประตู แล้วมุงดูกันอย่างกระตือรือร้น
หลินม่ายยืนอยู่นอกหน้าต่างห้องพักครูมองเข้าไปข้างใน
เธอมองเห็นทั้งว่านฮุ่ยที่อยู่ข้างใน และนักเรียนที่ครอบครัวลำบากรวมทั้งหมดเจ็ดคนยืนอยู่เบื้องหน้าอาจารย์เหวยอย่างงุ่มง่าม เพื่อที่จะสมัครขอรับทุน
เด็กในยุคนี้นั้นมีความละอายในจิตใจอย่างเด่นชัด ในเรื่องที่ไม่อยากให้เพื่อนนักเรียนรู้ว่าตัวเองยากจน
แต่พวกเขาเองก็อยากเรียนหนังสือ จึงทำได้แค่ฝืนแบกความลำบากใจแล้วมาสมัครขอรับทุน
อาจารย์เหวยมองนักเรียนยากจนหกคนนั้นยกเว้นว่านฮุ่ยด้วยความลำบากใจอยู่หลายรอบ
นักเรียนยากจนทั้งหกคนนี้ทุกคนล้วนยากจนข้นแค้นอย่างมาก แต่มีโควตาเงินทุนแค่ห้าคน ก็ยังดีกว่าไม่มีให้เลย
เขามองว่านฮุ่ยด้วยจิตใจสับสนวุ่นวาย “เธอได้เงินทุนไปแล้ว ไม่ต้องสมัครแล้วล่ะ ให้โอกาสเพื่อนๆ คนอื่นบ้างดีไหม?”
แต่ว่านฮุ่ยกลับทรุดตัวลงนั่งคุกเข่าพร้อมกับพูดทั้งน้ำตา “หนูเองก็อยากปล่อยโอกาสให้เพื่อนคนอื่นเหมือนกันค่ะ แต่ถ้าหนูไม่สมัครก็จะสามารถเรียนมัธยมปลายได้แค่เทอมเดียว หนูอยากจะเรียนมัธยมปลายให้จบทั้งสามปี จากนั้นก็สอบเข้ามหาวิทยาลัย”
กลุ่มนักเรียนที่ยืนมุงดูเบียดเสียดกันอยู่หน้าประตูห้องพักครูรู้สึกไม่พอใจขึ้นมา แล้วพากันประณามว่านฮุ่ย
“คนอย่างเธอทำไมถึงได้โลภมากขนาดนี้กัน อยากจะได้ค่าเล่าเรียนมัธยมปลายทั้งสามปีในคราวเดียวเชียวเหรอ เพื่อนนักเรียนอีกหลายคนแม้แต่ค่าเล่าเรียนแค่หนึ่งเทอมก็ยังไม่มีเงินทุนกันเลย!”
“ใช่แล้ว!”
เมื่อเผชิญหน้ากับการประณามของเหล่าเพื่อนนักเรียน ว่านฮุ่ยก็ไม่ได้แยแสแต่อย่างใด เพียงแค่แสร้งแสดงสีหน้าราวกับมีขมขื่นที่ไม่อาจพูดได้ออกมาเท่านั้น
เห็นแก่ตัวจนน่าถูกสวรรค์ลงโทษจริงๆ
ไม่ว่าต้องใช้วิธีการไหน ถูกใครต่อใครประณาม หล่อนก็ต้องหาทางเอาค่าเล่าเรียนชั้นมัธยมปลายทั้งสามปีนั้นมาให้ได้
ชีวิตของหล่อน สามารถพลิกผันกลับมาได้ด้วยการเรียนมัธยมปลายเท่านั้น
แม้ว่าว่านฮุ่ยจะร้องไห้ได้อย่างน่าเวทนา แต่อาจารย์เหวยก็ยังคงไม่ขยับเขยื้อนใดๆ
เขาพูดกับหล่อน “ฉันทำได้แค่แก้ไขปัญหาเรื่องค่าเล่าเรียนในเทอมแรกของมัธยมปลายของพวกเธออย่างสุดความสามารถเท่านั้น ค่าเล่าเรียนหลังจากนั้นก็ค่อยคิดหาวิธีกันทีหลัง ดังนั้นทุนทั้ง 5 โควตานี้เธอไม่มีสิทธิ์สมัคร”
เเหล่านักเรียนที่มุงดูอยู่นั้นได้ยินคำพูดของอาจารย์เหวยแล้ว ถึงเงียบสงบลง
หากอาจารย์เหวยอนุญาตให้ว่านฮุ่ยสมัครได้ พวกเขาจะประท้วง
แต่ว่านฮุ่ยกลับไม่ยอมไป หล่อนยังคงไม่ยอมออกไปจากห้องพักครู
อาจารย์เหวยไม่มองหล่อนอีก ก่อนจะพูดกับนักเรียนยากจนอีกหกคน “มันยากมากสำหรับครู่ที่จะเลือกว่าจะให้เงินทุนห้าโควต้านี้กับใครและไม่ให้ใคร อย่างนั้นมาจับฉลากตัดสินก็แล้วกัน พวกเธอตกลงไหม?”
เหล่านักเรียนยากจนต่างมองหน้ากันไปมา แล้วทุกคนก็พยักหน้า
การจับฉลากเสร็จสิ้นแล้วรวดเร็ว ผู้ชายคนหนึ่งโชคร้ายเป็นพิเศษ เขาจับได้“ไม่มีสิทธิ์” พลันไหล่ตกลงด้วยความห่อเหี่ยว
นักเรียนยากจนที่จับได้ใบที่เขียนว่ามีสิทธิ์ทั้งห้าคนแสดงสีหน้ายินดีปรีดา และอยู่ต่อรอให้อาจารย์เหวยมอบเงินให้พวกเขา
ผู้ชายที่จับได้ใบที่ไม่มีสิทธิ์เดินออกจากห้องพักครูด้วยฝีเท้าอันหนักอึ้ง แต่กลับถูกหลินม่ายเรียกเอาไว้
หลินม่ายพาเขาไปยังที่ที่ห่างไกลจากเพื่อนนักเรียนประมาณเจ็ดแปดเมตร แล้วถามขึ้น “นายอยากหาค่าเล่าเรียนไหม?”
ผู้ชายคนนั้นตาเป็นประกาย “อยาก! หายังไงเหรอ?”
“ทำงานให้ฉันสิ มันเหนื่อยยากมาก นายจะเต็มใจจะทำหรือเปล่า?”
เด็กชายเผยความดีใจออกมาเล็กน้อย ก่อนพยักหน้าอย่างหนักแน่น “เต็มใจ เต็มใจแน่นอนอยู่แล้ว!”
…………………………………………………………………………………………………………………………
สารจากผู้แปล
เธอได้ไปตั้งเยอะแล้วยังไม่พออีกเหรอว่านฮุ่ย ให้เพื่อนๆ ที่จนกว่าเธอมั่งเถอะ
ไหหม่า(海馬)