แม่ปากร้ายยุค 80 - ตอนที่ 359 พาหมอไปหาหมอ
ตอนที่ 359 พาหมอไปหาหมอ
เมื่อฟางจั๋วหรานหิ้วกระติกน้ำร้อนที่ว่างเปล่าแวะมากินอาหารที่บ้านเธอตอนเช้า เขาก็ได้กลิ่นหอมของซุปกระดูกโชยมาตั้งแต่เดินเข้าประตูครั้งแรก จึงถามด้วยรอยยิ้มว่า “ทำไมคุณตุ๋นซุปกระดูกแต่เช้าเลย?”
หลินม่ายกวนทัพพีอยู่ในหม้อแกงจืดมะระซี่โครงหมู “เพราะคุณเป็นร้อนในไงคะ ฉันถึงเข้าครัวตุ๋นแกงจืดมะระซี่โครงให้เป็นพิเศษ ถึงซุปจะดูใส แต่ก็มีคุณค่าทางโภชนาการ”
ฟางจั๋วหรานเห็นว่าเธอยืนอยู่ข้างเตาร้อน ๆ จนศีรษะชุ่มโชกไปด้วยเหงื่อ แม้แต่แผ่นหลังที่โผล่ออกมานอกชุดกระโปรงสายเดี่ยวก็เปียกโชกไปด้วยเหงื่อเช่นเดียวกัน หัวใจเขาก็พลันเหมือนถูกศรปัก
ยังไม่ทันที่เขาจะเอื้อมมือไปเช็ดเหงื่อให้เธอ จู่ ๆ ก็รู้สึกร้อนตรงจมูกขึ้นมา
เขาตกใจมาก หรือว่าเลือดกำเดาเขากำลังจะไหลอีกแล้ว
ผ่านมาคืนหนึ่งก็แล้ว เขากลับยังไม่มีภูมิต้านทานต่อความสวยของแฟนสาวเลย…
เขารีบหยิบผ้าเช็ดหน้าออกมาปิดจมูก ก่อนจะวิ่งเข้าห้องน้ำไปเอาน้ำหยดหลังท้ายทอย
ในที่สุดเขาก็สามารถควบคุมไม่ให้เลือดกำเดาไหลได้ ด้วยวิธีการเดียวกันกับที่เขาแวะมากินอาหารมื้อเย็นกับเธอเมื่อคืน
ในสามคนนี้ มีเพียงหลินม่ายที่กินมะระ ส่วนโต้วโต้วกับฟางจั๋วหรานไม่แตะเลยสักชิ้น
มื้อเช้าวันนี้ โต้วโต้วตักชิ้นมะระในชามให้หลินม่าย ขณะที่หล่อนเอาแต่แทะซี่โครงในชามอย่างเอร็ดอร่อย
อาหวงเงยหน้าขึ้นมอง รอจนกว่าหล่อนจะแทะเสร็จ มันค่อยรับช่วงแทะซี่โครงชิ้นนั้นต่อ
อาหารมื้อเช้าทั้งทีกลับมีแค่แกงจืดมะระกับข้าว ถ้าไม่มีซี่โครงคงเป็นเรื่องที่น่าเศร้าไม่น้อย
สำหรับฟางจั๋วหรานแล้ว มะระเป็นผักฤทธิ์เย็นรสขม ถ้าเป็นช่วงเวลาปกติ เขาคงหาทางหลีกเลี่ยงไม่ยอมกินมันแน่
แต่มื้อเช้าวันนี้ เขากลับกินมะระในชามจนหมดเกลี้ยง
เนื่องจากแฟนสาวของเขาอุตส่าห์ตั้งใจเข้าครัวเพื่อตุ๋นแกงจืดมะระซี่โครงหมูให้เขา ต่อให้เขาไม่ชอบ เขาก็ยินดีกินมันจนหมดเพื่อให้อีกฝ่ายสบายใจ
หลังอาหารเช้า หลินม่ายเสนอตัวตามฟางจั๋วหรานไปที่โรงพยาบาลเพื่อส่งเข้ารับการตรวจร่างกาย
ฟางจั๋วหรานกลับโบกมือ “ไว้ผมค่อยไปตรวจเองทีหลัง งานคุณยุ่งพอแล้ว ไม่ต้องตามผมไปหรอก”
แต่หลินม่ายกลับยืนกรานจะตามเขาไป โดยงัดเหตุผลที่มีน้ำหนักออกมา ว่าเขาคือคนที่สำคัญที่สุดในชีวิตเธอ
ถ้าเธอไม่ได้ไปส่งเขาถึงหน้าห้องตรวจร่างกายด้วยตัวเอง ไม่ว่าจะทำอะไรก็ตามเธอคงไม่มีสติแน่
ฟางจั๋วหรานรู้สึกสะท้อนใจมากเมื่อได้ยินเธอแสดงความเป็นห่วงอย่างตรงไปตรงมา
ช่างเป็นพรอันประเสริฐนัก ที่มีใครสักคนบนโลกทำให้คุณรู้สึกเหมือนได้พบกับปลายทางของหัวใจ
ทั้งสามคน ผู้ใหญ่สอง เด็กหนึ่ง และสุนัขอีกหนึ่งตัวจึงออกจากบ้านไปพร้อมกัน
หลินม่ายกับฟางจั๋วหรานไปส่งโต้วโต้วและอาหวงไว้ที่บ้านป้าติง จากนั้นพวกเขาก็ไปโรงพยาบาลด้วยกัน
เพื่อนร่วมงานของฟางจั๋วหรานเห็นเข้าก็หัวเราะและพูดแซวขึ้นว่า “เฮ้ วันนี้พาแฟนมาทำงานด้วยเหรอ?”
ฟางจั๋วหรานพูดพลางทำหน้าภูมิใจ “ผมรู้สึกไม่สบายตัวเท่าไหร่ แฟนก็เลยคะยั้นคะยอให้ผมมาตรวจร่างกาย”
ทั้งสองเดินไปลงทะเบียนตามขั้นตอน ระหว่างนั้นพยาบาลหลายคนก็จับกลุ่มซุบซิบกัน
นางพยาบาลคนหนึ่งพูดด้วยน้ำเสียงเหยียดหยาม “ดูสิ นี่คงเป็นผลมาจากสถานภาพที่ไม่สมพงษ์กันสินะ ผู้หญิงคนนั้นถึงได้พยายามทำทุกวิถีทางเพื่อเอาอกเอาใจคุณหมอฟาง คุณหมอฟางแค่ไม่สบายตัวนิดหน่อยก็เจ้ากี้เจ้าการพาเขามาโรงพยาบาลซะแล้ว”
นางพยาบาลอีกคนเบะปาก “เอาอกเอาใจไปก็ไม่มีประโยชน์ สองคนนั้นไม่ได้เหมาะสมกันเลยสักนิด อีกไม่นานเดี๋ยวก็เลิกกันแล้วล่ะ”
ผลมะนาวอยู่บนต้นมะนาว ส่วนพวกหล่อนเป็นแค่คนที่อยู่ใต้ต้นมะนาวอีกที (1)
นางพยาบาลหลายคนสุมหัวนินทากันอยู่สองสามประโยค ความริษยาจึงค่อยบรรเทาลงไปบ้าง
ถ้าคุณหมอฟางที่พวกหล่อนแอบปลื้มถูกหลินม่ายช่วงชิงไปจริง ๆ พวกหล่อนคงแบกรับความอิจฉาริษยาที่เป็นเสมือนกระแสน้ำอันเชี่ยวกรากในแม่น้ำแยงซีไว้ไม่ไหวแน่
หลินม่ายไปลงทะเบียนพร้อมกับฟางจั๋วหราน จากนั้นก็ตรงไปที่แผนกอายุรกรรมผู้ป่วยนอก
แผนกผู้ป่วยนอกของโรงพยาบาลผู่จี้ มักจะมีผู้ป่วยเข้ามารอต่อคิวเข้ารับการรักษาอย่างยาวเหยียดอยู่ด้านหน้าห้องตรวจ
แต่หน้าแผนกอายุรกรรมนั้นน่ากลัวยิ่งกว่า เรียกได้ว่าเข้าขั้นแออัดยัดเยียด
ทางโรงพยาบาลได้จัดพื้นที่ขนาดใหญ่ไว้สำหรับผู้มาใช้บริการเป็นพิเศษ ทั้งยังตั้งเก้าอี้ไว้ประมาณหนึ่งร้อยตัวสำหรับผู้ป่วยที่ต้องการเข้าพบแพทย์
สาเหตุก็เพื่อป้องกันการลัดคิว พอผู้ป่วยมาลงทะเบียน เจ้าหน้าที่พยาบาลก็จะออกบัตรคิวให้
จนกระทั่งแพทย์แผนกอายุรกรรมตรวจคนไข้รายก่อนหน้าเสร็จ เจ้าหน้าที่พยาบาลก็จะขานเรียกหมายเลขต่อไป ผู้ป่วยลงทะเบียนแล้วได้รับหมายเลขคิวเท่านั้นจึงจะสามารถเข้าไปได้
ถึงหลินม่ายจะไม่แปลกใจกับสถานการณ์ตรงหน้า แต่ผู้ป่วยแปดในสิบรายที่กำลังรอพบแพทย์อยู่ด้านนอกห้องมีสภาพอาการค่อนข้างย่ำแย่
ผู้ป่วยหลายคนไม่มีที่นั่ง จึงจำเป็นต้องพึ่งพาสมาชิกในครอบครัวที่ยืนอยู่ด้านข้าง
หัวใจของเธอจุกตื้นขึ้นมาถึงลำคอด้วยความเวทนาสงสาร
บรรดาคนที่มาเข้ารับการรักษาที่โรงพยาบาลผู้จี้ ส่วนใหญ่ต่างก็เป็นผู้ป่วยหนักที่ได้รับการรักษาที่ไม่ดีพอมาจากที่อื่นทั้งนั้น
ทางด้านฟางจั๋วหรานเองก็รู้สึกเสียใจขึ้นมาที่ตัวเองดันมาหาหมอที่โรงพยาบาลของตัวเอง
ถ้าเขารู้ล่วงหน้าว่าจะเป็นแบบนี้ คงไปขอรับการรักษาจากโรงพยาบาลอื่นแล้ว
พอหันไปเห็นเด็กหญิงตัวน้อยคนหนึ่งกำลังแสดงท่าทางประหม่า ฟางจั๋วหรานก็เดินเข้าไปจับมือเล็ก ๆ ของเธอไว้ “หมอไม่ได้น่ากลัวอย่างที่หนูคิดหรอกนะ ทำใจผ่อนคลายเข้าไว้ อย่าตื่นตระหนกจนเกินไป”
นางพยาบาลอีกคนที่กำลังเดินตรวจตราคนไข้ในแถวรู้สึกประหลาดใจมากเมื่อเห็นฟางจั๋วหรานกับหลินม่าย
หล่อนเดินเข้าไปหาฟางจั๋วหรานแล้วถามไถ่ด้วยความเป็นห่วง “คุณหมอฟาง แฟนคุณป่วยเป็นอะไรเหรอคะ? เดี๋ยวฉันจะเปิดประตูด้านหลังให้ คุณจะได้พาแฟนเข้าไปหาหมอก่อน”
ฟางจั๋วหรานตอบยิ้ม ๆ “คนที่ไม่สบายไม่ใช่แฟนผม แต่เป็นผมเองต่างหาก”
นางพยาบาลอุทาน “จริงเหรอคะ ถ้าอย่างนั้นคุณรีบเข้าไปตรวจก่อนเถอะค่ะ หลังเข้ารับการตรวจเสร็จคุณยังมีคิวต้องผ่าตัดคนไข้”
ฟางจั๋วหรานไม่อิดออด พยักหน้ารับตามข้อเสนอของหล่อน
นางพยาบาลจึงเดินนำพวกเขาเข้าไปที่ห้องตรวจอายุรกรรมของแผนกผู้ป่วยนอกด้วยความกระตือรือร้น
คุณหมอในห้องเป็นแพทย์มือใหม่ที่เพิ่งได้รับการเลื่อนขั้นเป็นแพทย์ประจำบ้านเมื่อไม่นานมานี้
แน่นอนว่าคุณหมอมือใหม่อย่างเขาเป็นรองแค่ฟางจั๋วหราน ถ้าไม่ได้ทำงานที่โรงพยาบาลผู่จี้ ก็นับว่าเป็นแพทย์ที่มีฝีมือยอดเยี่ยมคนหนึ่ง
เขารอตรวจอาการผู้ป่วยเบื้องต้นอยู่ในห้อง กำลังก้มหน้าก้มตาเขียนประวัติการรักษา
พอหางตาเห็นว่ามีคนเดินมานั่งลงที่โต๊ะฝั่งตรงข้าม ก็ถามโดยไม่เงยหน้าขึ้น “เป็นอะไรมาครับ?”
“ไม่ค่อยสบายตัวครับ เย็นเมื่อวานเลือดกำเดาไหลติดต่อกันสองครั้ง”
คุณหมอมือใหม่ประหลาดใจมากเมื่อได้ยินแบบนั้น
ผู้ป่วยที่เดินทางมายังโรงพยาบาลของพวกเขา ซึ่งเป็นโรงพยาบาลที่มีชื่อเสียงที่สุดและมีทักษะทางการแพทย์สูงสุดในเขตภาคกลางของจีน ต่างก็เป็นผู้ป่วยวิกฤตทั้งนั้นไม่ใช่เหรอ?
แล้วทำไมคนไข้รายนี้ถึงมาที่นี่เพียงเพราะมีอาการเลือดกำเดาไหล?
หรือเข้าข่ายป่วยเป็นมะเร็งเม็ดเลือดขาวกัน?
คุณหมอมือใหม่รีบเงยหน้าขึ้น พอเห็นว่าฟางจั๋วหรานนั่งอยู่ตรงหน้า เขาก็แทบผุดลุกขึ้นด้วยความตกใจ
เขาถูมือตัวเองไปมา พูดจาตะกุกตะกัก “คะ… คุณหมอฟาง ทำไมถึงมาอยู่ที่นี่ได้ล่ะครับ?”
“ผมก็มาหาหมอน่ะสิ” ฟางจั๋วหรานยิ้มให้เขาอย่างอ่อนโยน “นั่งลงเร็วเข้า”
คุณหมอมือใหม่รีบนั่งลง เตรียมตรวจรักษาเขา
ฟางจั๋วหรานอธิบายอาการของตัวเองอย่างรวบรัด แล้วพูดว่า “แค่เช็กอาการของผมอย่างละเอียดก็พอแล้ว”
คุณหมอมือใหม่ทำตามที่เขาบอกทันที
จากนั้นฟางจั๋วหรานก็หยิบเอกสารตรวจร่างกายหลายแผ่นขึ้นมา แล้วออกไปพร้อมกับหลินม่าย
ถึงบรรดาเพื่อนร่วมงานของฟางจั๋วหรานจะคอยเปิดไฟเขียวอำนวยความสะดวกให้เขา แต่ก็ยังต้องใช้เวลาร่วมหนึ่งชั่วโมงกว่าจะตรวจร่างกายเสร็จสิ้น
ส่วนผลการตรวจต้องใช้เวลาสรุปอย่างน้อยสามวัน หลินม่ายจึงขอตัวออกจากโรงพยาบาล แล้วเดินทางไปยังอาคารโรงงานแห่งใหม่
วันนี้เป็นวันเปิดรับสมัคร ช่วงเช้าเป็นกำหนดการรับสมัครเจ้าหน้าที่ประจำโรงเรียนอนุบาล ช่วงบ่ายเป็นกำหนดการรับสมัครพนักงานของโรงงานผลิตเครื่องประดับศีรษะ
ทันทีที่หลินม่ายมาถึง ก็เห็นผู้สมัครหลายคนยืนรวมตัวกันอยู่หน้าประตูโรงงานแล้ว
เนื่องจากเธอเขียนประกาศรับสมัครงานหลายตำแหน่ง ทั้งคุณครูปฐมวัย ยามเฝ้าประตู แม่บ้านทำความสะอาด แม่บ้านโรงอาหาร และอาจารย์ใหญ่
ดังนั้นผู้ที่สนใจมาสมัครจึงเป็นผู้หญิงเสียส่วนใหญ่ ช่วงวัยตั้งแต่วัยรุ่นไปจนถึงวัยกลางคน
ก่อนหลินม่ายจะรับสมัคร เธอได้คิดแผนคัดกรองเบื้องต้นเอาไว้หลายอย่าง
ไม่ว่าจะเป็นการจัดฉากให้เด็กชายลูกของแรงงานข้ามชาติที่เนื้อตัวมอมแมมแกล้งหกล้มในอาคารโรงงาน หรือแม้แต่การสังเกตเล็บมือระหว่างที่นั่งสัมภาษณ์ผู้สมัคร
ที่นี่คือโรงเรียนอนุบาล บุคลากรทุกคนจะต้องเอาใจใส่ทั้งสุขภาพอนามัยของตัวเองและผู้อื่น ถ้าพวกเขาไม่มีใจรักจริง ๆ ก็ไม่สมควรจะทำงานในโรงเรียนอนุบาล
เธอไม่อยากเห็นข่าวครูอนุบาลใช้ความรุนแรงกับเด็ก เหมือนอย่างที่เคยเห็นในอินเทอร์เน็ตสมัยชาติที่แล้ว
ป้าติงมาสมัครงานตามเวลานัดหมาย
หลินม่ายยืนแอบอยู่ในสำนักงาน เฝ้ามองจากที่ไกล ๆ
ขณะที่ป้าติงกำลังจะเดินตรงไปที่สำนักงาน จู่ ๆ หล่อนก็ได้ยินเสียงเด็กร้องไห้
ป้าติงรีบหันขวับไปมอง เห็นว่าไม่ไกลกันนักมีเด็กชายเนื้อตัวสกปรกมอมแมมคนหนึ่งล้มลงกับพื้นแล้วนั่งร้องไห้
หล่อนรีบวิ่งเหยาะ ๆ เข้าไปหา อุ้มเด็กชายขึ้นจากพื้น แล้วถามเบา ๆ ว่าเจ็บมากไหม
เด็กชายส่ายหน้า ก่อนจะวิ่งกลับไปซ่อนอยู่ข้างหลังผู้เป็นพ่อที่กำลังทำงานก่อสร้างอยู่ด้วยความเขินอาย
ป้าติงไม่ลืมกำชับให้พ่อเด็กดูแลลูกชายให้ดี ก่อนจะเดินต่อไปยังห้องทำงานของหลินม่าย
หลินม่ายพยักหน้าด้วยความพึงพอใจ ป้าติงผ่านด่านแรกแล้ว
พอป้าติงเดินเข้ามา หลินม่ายส่งยิ้มหวานให้ก่อนจะเชิญหล่อนนั่งลง
ป้าติงหย่อนก้นนั่งลงไม่ทันไรก็ยกก้นขึ้น หันไปพูดกับหลินม่ายด้วยรอยยิ้ม “พอดีตะปูดอกหนึ่งเหมือนจะยื่นออกมาจากตัวเก้าอี้ คุณมีค้อนอันเล็ก ๆ ไหม? ฉันจะตอกตะปูลงไป”
หลินม่ายยื่นค้อนอันเล็กให้เธอ
ป้าติงรับค้อนอันเล็กไปตอกตะปูซึ่งยื่นออกมาจากเก้าอี้ไม้สองสามจังหวะ ตะปูแหลมคมผลุบลงไปในเนื้อไม้ตามเดิม
ป้าติงมาที่นี่เพื่อขอสมัครงานในตำแหน่งแม่บ้านทำความสะอาด แต่หลินม่ายอยากให้หล่อนทำงานในโรงอาหารมากกว่า
เพราะเงินเดือนของแม่บ้านประจำโรงอาหารสูงกว่าแม่บ้านทำความสะอาดประมาณหนึ่ง
ถึงแม้อีกฝ่ายจะเป็นเพื่อนบ้าน แต่ป้าติงไม่ใช่คนนิสัยแย่ หลินม่ายจึงอยากช่วยเหลืออย่างเต็มที่
ป้าติงลังเลอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะปฏิเสธด้วยความเหนียมอาย “ฉันทำอาหารไม่เก่ง กลัวเด็ก ๆ จะไม่ชอบอาหารฝีมือฉัน”
หลินม่ายคิดตาม จากนั้นก็พูดว่า “ถ้าอย่างนั้นก็เป็นลูกมือในครัวแล้วกันค่ะ เป็นผู้ช่วยพ่อครัวแม่ครัวอีกทีหนึ่ง”
เธอมอบหมายตำแหน่งงานพิเศษให้อีกฝ่ายอย่างตั้งใจ
ป้าติงเป็นคนดี ไม่น่าฉวยโอกาสฉกฉวยวัตถุดิบหรืออาหารเก็บไว้เองแน่
มีหล่อนทำงานอยู่ในโรงอาหารทั้งคน ยังพอช่วยสอดส่องพนักงานครัวคนอื่น ๆ ไม่ให้ขโมยของในโรงอาหารได้
ถ้าพนักงานขโมยเสบียงที่ต้องใช้ในการทำอาหารไป อาหารในส่วนของเด็ก ๆ ก็จะไม่เพียงพอ
เด็กวัยนี้โดยพื้นฐานแล้วไม่ใช่นักกินที่มีนิสัยจู้จี้จุกจิก นอกจากด้านโภชนาการแล้วควรเน้นเรื่องปริมาณด้วย
ป้าติงจึงพยักหน้ารับด้วยความยินดี
หลินม่ายไม่ลืมบอกให้อีกฝ่ายมารายงานตัวในวันที่ 30 สิงหาคม
………………………………………………………………………………………………………
แค่ยืนอยู่ใต้ผลมะนาว ถึงไม่ได้ลิ้มรสมันแต่ก็รู้สึกเปรี้ยวเข็ดฟันแล้ว เปรียบกับคนที่อิจฉาในสิ่งที่ตัวเองไม่ได้ครอบครอง
สารจากผู้แปล
พี่หมอไม่ได้เป็นอะไรมากหรอกค่ะ แค่ภูมิคุ้มกันต่อแฟนตัวเองต่ำ พี่ต้องดูนิตยสารแฟชันเยอะๆ ให้ชินเข้าไว้
ไหหม่า(海馬)