แม่ปากร้ายยุค 80 - ตอนที่ 362 ไม่เสียใจภายหลังแน่นอน
ตอนที่ 362 ไม่เสียใจภายหลังแน่นอน
ฟางเว่ยกั๋วสบตากับลูกเนรคุณของตนอยู่หลายสิบวินาที
แม้ว่าเขาจะเป็นข้าราชการชั้นผู้ใหญ่มาหลายปี มีอำนาจลาภยศ แต่กลับถูกสายตาของลูกชายคนโตกดดันจนหายใจติดขัด ไม่กล้าแม้แต่จะโกหก
เขาเบนสายตาไปทางอื่น ซ่อนความจนตรอกของตนไว้ น้ำเสียงยังคงราบเรียบ “ในเมื่อแกไม่อยากเข้าไปคุยในบ้าน งั้นก็คุยตรงนี้นี่แหละ แกจะคุยเรื่องอะไร?”
ฟางจั๋วหรานพูดอย่างชัดถ้อยชัดคำ “ผมไม่อนุญาตให้พวกคุณมากำหนดให้หญิงรุ่มร่ามนั่นมาเป็นภรรยาของผม ผมไม่อนุญาตให้พวกคุณมาแทรกแซงชีวิตของผม ถ้ายังมีครั้งหน้า อย่าหาว่าผมโหดเหี้ยมก็แล้วกัน!”
ฟางเว่ยกั๋วโมโหจนหน้าดำคล้ำ “อิ๋งอิ๋งเป็นหลานสาวสุดรักสุดหวงของคุณปู่ซู หล่อนเป็นนักศึกษาเกียรตินิยมที่เคยไปเรียนที่ต่างประเทศ ในสายตาของแกกลับกลายเป็นผู้หญิงรุ่มร่ามอย่างนั้นเหรอ? หล่อนก็เป็นเด็กสาวคนหนึ่ง! แล้วผู้หญิงนั่นเป็นใคร? หลินม่ายต่างหากที่เป็นหญิงรุ่มร่าม!”
ฟางจั๋วหรานถามอย่างเย็นชา “ม่ายจื่อเคยไปเป็นมือที่สามทำลายความสัมพันธ์คู่รักคนอื่นเขาหรือเปล่า? เคยไปก่อปัญหาถึงบ้านของคนอื่นเขาหรือเปล่า? ใครที่ทำเรื่องไร้ศีลธรรมแบบนั้นก็คือผู้หญิงรุ่มร่ามสกปรก! ส่วนที่บอกว่าไปเรียนต่างประเทศ ตอนนั้นซูอวี้อิ๋งได้รับสิทธิ์ไปเรียนแลกเปลี่ยนด้วยความสามารถของตัวเองงั้นเหรอ?”
แม้เขาจะไม่ได้โตในบ้านใหญ่ แต่ก็รู้จักลูกหลานของบ้านใหญ่เป็นอย่างดี
จะมีกี่คนกันที่มุมานะทำงานเพื่อความเจริญ มีแต่พวกเกียจคร้านที่พึ่งบารมีพ่อแม่หรือกระทั่งบรรพบุรุษกันหมดไม่ใช่หรืออย่างไร!
ซูอวี้อิ๋งเองก็ยากที่จะแตกแยกออกไป
ฟางเว่ยกั๋วพูดอะไรไม่ออกด้วยคำถามของลูกชายคนโต
ผ่านไปครู่หนึ่ง จึงพูดด้วยสีหน้าบูดบึ้ง “ไม่ว่ายังไง แกก็ทำให้อิ๋งอิ๋งไม่พอใจ เห็นแก่ความสัมพันธ์ของพ่อซูกับปู่ของแก แกต้องไปรับผิดกับหล่อน”
ฟางจั๋วหรานยิ้มเย็น “ถ้าผมไม่ไปล่ะ?”
ฟางเว่ยกั๋วพูดชัดๆ ทีละคำ “แกเป็นผู้ชายนะ จะไม่มีความเป็นสุภาพบุรุษสักนิด ยอมให้ผู้หญิงเขาบ้างเลยหรือยังไง? ก็แต่ขอโทษเท่านั้นเอง ไม่ได้ให้แกไปตายเสียหน่อย! แกไปขอโทษสักนิด หน้าตาปู่แกจะได้ดูดีขึ้นมาบ้าง”
ประกายแสงที่ยากจะตีความวาบผ่านแววตาของฟางจั๋วหราน “ก็ได้ บอกผมมาสิ ว่าสองพ่อลูกซูนั่นอยู่ที่ไหน ผมจะไปหาพวกเขาเดี๋ยวนี้”
ฟางเว่ยกั๋วพลันรู้สึกยินดี แล้วบอกที่อยู่เกสต์เฮาส์ของพ่อลูกตระกูลซูให้กับเขา
ฟางจั๋วหรานฟังจบก็หมุนตัวเดินไปทันที
หวังเหวินฟางมองแผ่นหลังที่ห่างออกไปของเขา แล้วพูดพึมพำ “ไม่นึกเลยว่าพออ้างปู่เขาขึ้นมาแล้วจะทำให้เขาเย็นลงได้จริงๆ”
ฟางจั๋วหรานมาถึงเกสต์เฮาส์ของพ่อลูกตระกูลซู หลังจากลงทะเบียนที่แผนกต้อนรับแล้ว พนักงานบริการคนหนึ่งก็พาไปเขาไปที่ห้องของพ่อซู
พ่อซูและซูอวี้อิ๋งกำลังกินอาหารเที่ยงอยู่ที่ห้องรับแขกพอดี
แม้ในอกจะเต็มไปด้วยความโกรธเคือง แต่ก็ยังต้องกินข้าว เมื่อครู่ที่บอกกับฟางเว่ยกั๋วสามีภรรยาว่าไม่อยากกินนั้น ก็เป็นแค่การไว้หน้าพวกเขาเท่านั้น
เมื่อได้ยินเสียงเคาะประตูของพนักงาน พ่อซูก็ไปเปิดประตู และเห็นว่ามีชายหนุ่มสูงหล่อคนหนึ่งยืนอยู่ข้างนอก
แม้เขาจะไม่เคยเห็นฟางจั๋วหรานในวัยผู้ใหญ่มาก่อน แต่ก็เคยเห็นรูปของเขา ดังนั้นพ่อซูจึงรู้ว่าชายหนุ่มหน้าตาหล่อเหลาจนน่าเหลือเชื่อคนนี้คือฟางจั๋วหราน
ในรูปก็หล่อมากอยู่แล้ว นึกไม่ถึงว่าตัวจริงจะหล่อกว่าในรูปอีกมากโข มิน่าลูกสาวสุดที่รักถึงได้ตกหลุมรักเขาแต่แรกเห็น
ในเมื่อเขามาขอโทษด้วยตัวเองถึงที่ และลูกสาวสุดรักของเขาก็ชอบพอเขา อย่างนั้นตนก็ต้องไว้หน้าเขาสักหน่อย
สิ่งที่ตนทำนั้นจะเป็นการเพิ่มคะแนนให้ลูกสาวด้วย ทำให้ฟางจั๋วหรานรู้สึกว่าพ่อของหล่อนก็ไม่เลว ไม่แน่ว่าเขาอาจจะตกลงพัฒนาความสัมพันธ์กับลูกสาวเขาก็ได้
พ่อซูที่ช่ำชองในการใส่หน้ากากพูดกับฟางจั๋วหรานด้วยสีหน้ายิ้มแย้มใจดี “มาขอโทษอิ๋งอิ๋งใช่ไหม? รีบเข้ามาข้างในก่อนเถอะ เธอนี่ก็จริงๆ เลยเชียว มาร่วมกันกับผู้หญิงที่หย่ามาแล้วคนนั้นรังแกอิ๋งอิ๋งของเราได้ยังไงกัน? เธอไม่เห็นแก่ความสัมพันธ์ระหว่างตระกูลของพวกเราเสียบ้างเลย!”
ฟางจั๋วหรานยืนอยู่หน้าประตูไม่ได้เข้ามาข้างใน “ลุงซู ผมคิดว่าคุณเข้าใจผิดแล้วล่ะครับ ผมไม่ได้มาเพื่อขอโทษซูอวี้อิ๋ง ผมไม่ได้ทำอะไรผิดต่อซูอวี้อิ๋งทั้งนั้น แฟนสาวของผมเองก็ไม่ได้ทำอะไรผิดต่อหล่อนเช่นกัน หล่อนต่างหากที่มาหาเรื่องก่อน คนที่ต้องยอมรับผิดก็คือหล่อนต่างหากที่ต้องมาขอโทษกับแฟนสาวของผม”
พ่อซูมีสีหน้าบึ้งตึงขึ้นมาในทันที “ถ้าอย่างนั้นเธอมาทำไม?”
ฟางจั๋วหรานพูดอย่างเย็นชา “มาเพื่อเตือนซูอวี้อิ๋ง ว่าอย่ามารังควานแฟนของผมอีก แล้วก็อย่าถูกคนอื่นหลอกใช้แบบโง่ๆ!”
ซูอวี้อิ๋งวางตะเกียบลงแล้วเดินเข้ามา “ฉันไม่ได้ถูกใครหลอกใช้ ฉันแค่ชอบคุณ ฉันเทียบผู้หญิงที่เคยหย่ามาแล้วคนนั้นไม่ได้ตรงไหน คุณถึงยอมเลือกหล่อนแทนที่จะเลือกฉัน?”
ฟางจั๋วหรานยิ้มอย่างดูแคลน “ก็เพราะคุณหยิ่งยโสเจ้าเล่ห์ จิตใจก็ต่ำช้า ผมไม่มีทางชอบคุณได้ลง ดังนั้นเชิญตัดใจซะเถอะ ไม่อย่างนั้นผมจะเอาเรื่องที่คุณก้าวก่ายความสัมพันธ์ของคนอื่น ปโพนทะนาที่บ้านใหญ่กับที่ทำงานของคุณ ก็ไม่รู้สินะว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับคุณบ้าง”
“คุณ…” ซูอวี้อิ๋งโกรธจัด “แล้วคุณจะต้องเสียใจ!”
“ไม่มีทางอย่างแน่นอน!” ฟางจั๋วหรานพูดจบก็เดินจากไปทันที
หลินม่ายไม่รู้เรื่องที่ฟางจั๋วหรานทำเพื่อเธอเลยแม้แต่น้อย
หลังจากมื้อเที่ยงและนอนกลางวันแล้ว เธอก็ไปส่งโต้วโต้วที่บ้านป้าติง
ทว่าก่อนที่จะไปบ้านป้าติง หลินม่ายได้ไปที่ร้านค้าทั้งสองแห่งของตนก่อน
เตือนพนักงานทั้งหมดซ้ำแล้วซ้ำอีก ว่าต่อให้ฟ้าจะถล่มลงมา ก็ห้ามบอกฟางจั๋วหรานตอนที่เขากำลังทำงาน เพื่อไม่ให้กระทบต่องานของเขา
เสี่ยวหม่านหน้ามุ่ยพูดอย่างไม่พอใจ “เธอเรียกชื่อฉันเฉยๆ ก็ได้แล้ว ไม่เห็นต้องพูดไร้สาระเยอะแยะขนาดนี้เลย!”
หลินม่ายพูดอย่างจริงจัง “ฉันไม่ได้พูดไร้สาระ ฉันกลัวว่าพวกเธอคนใดคนหนึ่งจะปกป้องฉันจนไปกระทบกับงานของศาสตราจารย์ฟาง พวกเธอต้องเชื่อมั่นในเถ้าแก่เนี้ยของพวกเธอสิ หล่อนสามารถจัดการได้ทุกอย่าง หล่อนไม่ใช่คนขี้ขลาดหรอกนะ”
พูดจบ เธอก็ชูสองนิ้วแล้วจึงพาโต้วโต้วจากไป
ช่วงบ่ายเป็นการรับสมัครพนักงานของโรงงานทำหมวกขนาดย่อม
หลินม่ายรับสมัครผู้พิการทั้งหมดเพียงสิบคนเท่านั้น แต่คนที่มาสมัครงานล่วงหน้านั้นกลับไม่ใช่แค่สิบคน และมีถึงห้าหกสิบคนเป็นอย่างต่ำ
บางคนเดินเหินไม่ได้ อีกทั้งบางคนก็ไม่มีเก้าอี้รถเข็น ซึ่งคนในครอบครัวอาศัยจักรยานช่วยเข็นมา เห็นแล้วน่าเวทนาอย่างมาก
สายตาของผู้สมัครและคนในครอบครัวของพวกเขามองมาที่ตัวหลินม่ายอย่างคาดหวัง ทำให้เธอรู้สึกราวกับมีไฟมาลนที่หลัง
เธอรู้ดีว่า พวกเขาต่างก็ต้องการงานทำ แต่เธอกลับไม่สามารถช่วยคนมากมายขนาดนั้นได้
เธอวิ่งไปยังห้องทำงานราวกับเผ่นหนี
ผู้พิการและครอบครัวของพวกเขามีจริยธรรมมากกว่าคนปกติบางคนเสียอีก พวกเขาจัดลำดับสมาชิกในกลุ่มแล้วลงชื่อสมัครงานกันเองทีละคน โดยที่ไม่ต้องให้ใครมาจัดระเบียบ
ตอนที่ผู้สมัครมือเท้าครบถ้วนกลุ่มนั้นมาสมัครงานเมื่อเช้า ยังมีการลัดคิวให้เห็นอยู่บ้าง โดยหลินม่ายยังต้องมาจัดระเบียบความเรียบร้อยด้วยตัวเอง
คนที่เข้ามาสมัครเป็นคนแรกนั้นเป็นผู้พิการหญิงที่ขาพิการทั้งสองข้าง หล่อนตาหน้าน่ารักจิ้มลิ้ม ทว่าค่อนข้างขี้อาย
ดวงตาใสแป๋วกลมโตราวกับดวงตาลูกกวางตื่นไพรกลอกกลิ้งไปมาตลอดเวลา
แต่ก็ยังเดินเข้ามาทีละก้าวด้วยไม้ค้ำคู่หนึ่ง นั่งลงตรงข้ามกับหลินม่ายแล้วยิ้มบางๆ ด้วยความเขินอาย
หลินม่ายถามชื่อสกุลของหล่อนเป็นอันดับแรก
เด็กสาวพูดอย่างเอียงอาย “ฉันชื่อหงซิ่วเหมยค่ะ”
หลินม่ายถามอย่างอ่อนโยน “ตัดเย็บเป็นไหมคะ?”
เด็กสาวพยักหน้าด้วยความเอียงอาย “เป็นค่ะ”
หล่อนดึงเสื้อแขนกุดที่สวมอยู่พลางพูด “เสื้อตัวนี้เป็นชุดที่ฉันปักเย็บเองทีละเข็มเลยค่ะ”
หลินม่ายประหลาดใจอย่างมาก
ในยุคนี้โดยพื้นฐานต่างก็ทำเสื้อผ้ากันด้วยจักรเย็บผ้า มีน้อยมากที่จะเย็บเองด้วยมือทีละเข็มทีละด้าย
หลินม่ายดูเสื้อแขนกุดที่หล่อนสวมอยู่อย่างละเอียด
ฐานะครอบครัวของเด็กสาวไม่ค่อยดีนัก เสื้อแขนกุดตัวที่หล่อนใส่อยู่จึงทั้งเก่าแล้วแถมยังมีรอยปะอีกด้วย
แต่ในส่วนที่เป็นรอยปะนั้น หงซิ่วเหมยได้ใช้เศษผ้าเล็กๆ มาปะเป็นลวดลายที่สวยงาม ทำให้เสื้อผ้าเก่าๆ ตัวนี้มีชีวิตชีวาขึ้นมา
หลินม่ายถามคำถามอีกสองสามคำว่าสามารถดูแลตัวเองในการใช้ชีวิตได้หรือไม่
ที่ถามว่าสามารถดูแลตัวเองในการชีวิตได้หรือไม่นั้น รวมไปถึงว่าสามารถเข้าห้องน้ำคนเดียวได้ไหมด้วย
แม้เธอจะรับสมัครคนงานผู้พิการ แต่ก็ต้องการผู้พิการที่สามารถดูแลตัวเองในการใช้ชีวิตได้ด้วย
เธอไม่สามารถรับคนงานผู้พิการ แล้วยังต้องจ้างพยาบาลมาดูแลพวกเขาไปพร้อมกันได้
หงซิ่วเหมยพูดด้วยใบหน้าแดงเรื่อ “ได้ค่ะ”
เมื่อถามคำถามที่ควรถามเสร็จแล้ว หลินม่ายก็ให้หล่อนมาดูผลที่ประตูโรงงานในวันพรุ่งนี้
………………………………………………………………………………………………………………………….
สารจากผู้แปล
พี่หมอพร้อมพุ่งชนตลอดอะ อย่าได้ไปบังคับอะไรเชียว
ไหหม่า(海馬)