แม่ปากร้ายยุค 80 - ตอนที่ 378 พี่น้องที่พยายามอย่างยากลำบาก
ตอนที่ 378 พี่น้องที่พยายามอย่างยากลำบาก
แม่ของเหว่ยเหว่ยชะงักไปทันควัน
หล่อนไม่กล้าจริงๆ!
ถ้าทำแบบนั้นจริง หล่อนก็ต้องจ่ายค่ารักษาพยาบาลมากกว่าฟู่เฉียง
หล่อนตั้งใจจะใช้เรื่องที่ลูกชายตัวเองโดนแม่เขาทำร้ายมาข่มขู่ฟู่เฉียง
แม้จะได้แค่ไข่ไก่สักยี่สิบฟองก็ยังดี
แต่ไม่คิดเลยว่าหลินม่ายจะยื่นมือมายุ่ง ดูเหมือนว่าหล่อนจะขโมยไก่ไม่สำเร็จ แถมยังต้องเสียข้าวสารแล้ว
แม่เหว่ยเหว่ยทำได้เพียงหาทางออกจากสถานการณ์ที่น่าอับอายนี้เอง “ช่างเถอะ ยังไงทุกคนก็เป็นชาวบ้านในหมู่บ้าน บ้านเธอมีคนป่วยด้วย ฉันจะไม่เอาเรื่องกับบ้านเธอแล้วกัน”
พูดจบก็พาลูกชายกลับไปอย่างไม่เต็มใจ
แม้จะไม่เต็มใจ แต่ก็ต้องยั้งไว้
เพราะคนที่ยื่นมือเข้ามายุ่งคือหลินม่าย หล่อนไม่สามารถขัดได้
หากเป็นชาวบ้านคนอื่นหล่อนคงด่าไม่หยุด ใครให้ทำตัวมายั่วยุและยุ่งเรื่องของคนอื่น!
แต่หล่อนไม่กล้ากับหลินม่าย
ด้วยกลัวว่าจะทำให้อีกฝ่ายไม่พอใจแล้วจะตกอยู่ในชะตากรรมเดียวกับบ้านอู๋จินฮวา ถ้าหลินม่ายไม่รับผลิตภัณฑ์ทางการเกษตรจากบ้านหล่อนอีก นั่นคงเป็นการสูญเสียอันยิ่งใหญ่
หลินม่ายเห็นว่าเรื่องราวคลี่คลายแล้วจึงกำลังจะจากไป
ฟู่เฉียงกลับเรียกเธอไว้ “พี่ม่ายจื่อ ขอบคุณครับ เข้ามาดื่มชาก่อนค่อยไปสิ
หลินม่ายคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วเดินตามเข้าไปในบ้าน
แสงไฟในบ้านมืดมาก มีเพียงตะเกียงน้ำมันเท่านั้น
แม้ว่าในชนบทหลายที่จะยังไม่มีไฟฟ้าใช้ แต่รอบๆ เมืองซื่อเหม่ยมีไฟฟ้าใช้กันหมดแล้ว
ค่าไฟก็ไม่แพง แต่บ้านฟู่เฉียงกลับยังต้องใช้ตะเกียงน้ำมัน ตะเกียงน้ำมันถูกกว่าไฟฟ้าเหรอ?
หลินม่ายเอ่ยถามด้วยความสงสัย
ฟู่เฉียงเทน้ำต้มเย็นให้เธอ ตอบอย่างเอียงอายว่า
“ถึงค่าไฟจะไม่แพง แต่ผมใช้เงินไปกับการให้คนเอาไฟฟ้ามาติดไม่ได้ แล้วการไปที่การไฟฟ้าเพื่อขอติดตั้งมิเตอร์ก็ยังต้องใช้เงิน”
เขาหัวเราะอย่างสมเพชตัวเอง “พ่อผมตั้งชื่อฟู่เฉียงให้ก็เพราะอยากให้ดึงดูดเงิน น่าเสียดายที่ความหวังนั้นจนถึงตอนนี้ก็ยังริบหรี่”
ตอนนี้หลินม่ายปรับตัวเข้ากับแสงไฟในบ้านนี่ได้แล้ว มองเห็นผนังเปล่าสี่ด้าน และเด็กน้อยที่ตอนนี้ยังคงดูหวาดกลัว
ทั้งยังมีผู้หญิงคนหนึ่งนั่งหลบมุมอยู่ มองมาที่เธอด้วยความหวาดกลัวและสงสัย
ผู้หญิงคนนั้นมีผมเผ้ากระเซิงเหมือนกับเด็กน้อยคนอื่นๆ เสื้อผ้ามอมแมม ใบหน้าซีดเซียวและผอมแห้ง
ฟู่เฉียงเห็นหลินม่ายจ้องไปที่ผู้หญิงคนนั้น ก็เอ่ยเสียงเบาว่า “นั่นแม่ผมครับ”
พูดพลางเดินเข้าไปพยุงแม่ตัวเองขึ้นมา พูดอย่างอ่อนโยนว่า “แม่ พี่ม่ายจื่อมาเยี่ยมบ้านเราน่ะครับ”
แล้วให้หล่อนนั่งลงตรงข้ามกับหลินม่าย
แม่ฟู่เฉียงมองไปที่หลินม่าย เอียงหัวแล้วพูดว่า “คุณเป็นคนดี”
หลินม่ายแปลกใจนิดหน่อย คนป่วยทางจิตจะรู้ได้อย่างไรว่าเธอเป็นคนดี? เป็นคำพูดที่พูดกันเรื่อยเปื่อยหรือเปล่า
ในกลุ่มเด็กน้อยพวกนั้น คนที่โตที่สุดเป็นเด็กผู้หญิง
เห็นหลินม่ายทำหน้าสงสัย จึงเอ่ยเสียงเบาว่า “พี่ใหญ่บอกพวกเราบ่อยๆ ว่าคุณเป็นคนดี แม่ฟังตลอดก็เลยรู้ว่าพี่เป็นคนดี
หลินม่ายยังคงประหลาดใจ “แต่แม่คุณไม่รู้จักฉันนี่”
เด็กหญิงเห็นท่าทีที่อ่อนโยนและเป็นมิตรของหลินม่ายก็ผ่อนคลายลง ยิ้มแล้วพูดออกมาเสียงดัง “แม่ฉันแค่ได้ยินคำว่าม่ายจื่อสองคำก็ตอบสนองได้เลย พูดว่าคนดีมาแล้ว”
หลินม่ายหัวเราะออกมา ในใจรู้สึกละอายนิดหน่อย
เธอไม่ได้ตั้งใจจะช่วยเหลือครอบครัวที่ลำบากนี่สักหน่อย
เพียงแค่ให้เฉินเฟิงรับสินค้าทางเกษตรจากเมืองซื่อเหม่ยและพื้นที่ใกล้เคียง คนบ้านนี้กลับรู้สึกขอบคุณเธอมาก
หลินม่ายเอ่ยถามฟู่เฉียง “บ้านพวกเธอนอกจากปลูกผัก ยังหาเงินจากไหนอีก?”
“ก็เหมือนกับชาวบ้านคนอื่น เลี้ยงหมูเลี้ยงไก่ขาย” ฟู่เฉียงถอนหายใจ “ผมทำงานฝีมืออะไรไม่เป็น นอกจากเรื่องพวกนี้ก็หาเงินจากอย่างอื่นไม่ได้แล้ว”
จากนั้น เขาก็ยืดหลังตรง กวาดตามองอย่างท้อแท้ “ปีหน้าก็คงดีแล้ว ปีหน้าผมกับน้องๆ จะเลี้ยงไก่กับหมูขายให้คุณเยอะขึ้น ชีวิตคงดีกว่านี้”
เขาชอบเอาผลิตภัณฑ์ทางการเกษตรไปขายให้หลินม่าย เพราะตัวแทนรับซื้อสินค้าของที่บ้านเธอไม่เคยหักตาชั่งเขาสักครึ่ง ไม่เคยให้เงินน้อยกว่าสักเฟิน
เมื่อก่อนเขาเอาผลิตผลพวกนี้ไปขายให้คนอื่นหรือเอาไปขายที่ตลาด มีหลายคนรังแกเขาที่เป็นแค่เด็ก ไม่หักตาชั่งก็ให้เงินน้อย
น้องสาวคนโตพูดอย่างตื่นเต้นว่า “ให้หนูกับน้องรับหน้าที่เลี้ยงไก่เลี้ยงหมูเถอะ พี่ใหญ่ปลูกผักก็ลำบากพอแล้ว ปีหน้าพวกเราจะเลี้ยงไก่ฝูงใหญ่และหมูห้าตัว ต้องได้เงินเยอะแน่ๆ!”
หลินม่ายมองเด็กๆ ที่ไม่ยอมแพ้ต่อความยากลำบากและคิดจะใช้สองมือของตัวเองสร้างชีวิตที่ดีขึ้นก็ใจเต้นแรง เอ่ยให้กำลังใจพวกเขา
ตอนนั้นเองก็มีเสียงไอดังขึ้นมาจากในห้องหลายครั้ง จากนั้นเสียงแผ่วเบาเอ่ยถามขึ้นมาว่า “มีคนมาเยี่ยมบ้านเหรอ?”
ลูกสาวคนโตปิดปาก พูดเสียงต่ำว่า “เสียงดังปลุกพ่อแล้ว!”
ฟู่เฉียงบอก “ยังไม่เอาข้าวไปให้พ่ออีกเหรอ”
จากนั้นก็พูดกับพ่อเสียงดังว่า “พี่ม่ายจื่อมาครับ”
เขาพูดพลางเดินเข้าไปที่ห้องนั้น
หลินม่ายลังเลอยู่ครู่หนึ่งแล้วเดินตามไป
ฟู่เฉียงเห็นเช่นนี้จึงบอกน้องชายให้หยิบตะเกียงน้ำมันบนโต๊ะมาส่องทางให้หลินม่าย
ยังไม่ทันได้เดินเข้าไปในห้องของฟู่เฉียน หลินม่ายก็ได้กลิ่นยาจีน
ที่น่าแปลกก็คือเธอไม่ได้กลิ่นไม่พึงประสงค์อย่างอื่นเลย เห็นได้ชัดว่าเด็กๆ ดูแลพ่อของพวกเขาดีมาก
หลินม่ายเดินตามฟู่เฉียงเข้าไปในห้อง
ฟู่เฉียงพยุงพ่อขึ้นมาให้นั่งพิงหัวเตียง
พ่อของฟู่เฉียงผ่ายผอมยิ่งกว่าลูกๆ และภรรยาสติไม่ดี ใช้คำว่าหนังหุ้มกระดูกก็นับว่าไม่เกินจริง
ในช่วงปีแปดสิบนี้ แม้จะประชาชนทั่วไปจะยังยากจน แต่ยากจนก็คือไม่มีเงิน ไม่ใช่กินไม่อิ่ม ไม่มีคนที่ผอมแห้งแบบนี้มานานแล้ว
พ่อฟู่เฉียงผอมขนาดนี้ต้องไม่ใช่เพราะกินไม่อิ่ม ไม่รู้ว่าเพราะป่วยเป็นอะไรถึงทำให้เขาผอมได้ขนาดนี้
พ่อฟู่เฉียงมองหลินม่าย ยิ้มอย่างอ่อนแรงแล้วพูดว่า “ม่ายจื่อ ขอบคุณมากนะ”
หลินม่ายส่ายหัว “ไม่ต้องขอบคุณหรอกค่ะ ฉันไม่ได้ทำอะไรให้พวกคุณเลย”
ตอนนั้นเอง น้องสาวคนโตก็ยกชามข้าวเข้ามา
ถ้าให้พูดจริงๆ ก็เรียกว่าข้าวไม่ได้ เป็นเพียงข้าวต้มที่มีผักและข้าวผสมกัน
ตอนที่อาหารไม่พอกิน คนทั่วไปจะทำอาหารด้วยวิธีนี้ จะได้ช่วยประหยัดอาหาร
พ่อของฟู่เฉียงรับข้าวมาแล้วตักกินคำใหญ่
หลินม่ายสังเกตเห็นว่า ผักในข้าวต้มผักชามนั้นเป็นผักป่า
ในชนบท ถ้าไม่ใช่ช่วงปีที่อดอยากก็ไม่ค่อยมีคนกินผักป่ากัน
ไม่เหมือนในเมืองที่เห็นผักป่าเป็นของล้ำค่า
เธองุนงงเล็กน้อย แม้พี่น้องฟู่เฉียงจะยังไม่โต แต่ต้องไม่ใช่ว่าพวกเขาไม่รู้วิธีปลูกผัก
ในปัจจุบันนี้ เด็กอายุเจ็ดแปดขวบในชนบทก็ปลูกผักกันได้แล้ว เป็นเรื่องที่เห็นกันเป็นปกติ
ฟู่เฉียงเองก็อายุสิบกว่าๆ แล้ว เป็นไปไม่ได้ที่เขาจะปลูกผักไม่เป็น
เธอหยิบเงินในตัวทั้งหมดออกมาเงียบๆ แล้วแอบวางไว้บนตู้ผุพังข้างเตียง จากนั้นจึงค่อยๆ เดินออกมา
บ้านนี้ลำบากยากจนกันเกินไปแล้ว แค่ให้กำลังใจพวกเขาก็ยังไม่พอ ยังต้องช่วยเหลือทางด้านการเงินด้วย
ฟู่เฉียงเห็นหลินม่ายออกไปแล้วจึงให้น้องสาวคนโตดูแลพ่อตอนกินข้าว จากนั้นจึงออกไปที่ห้องโถง
หลินม่ายเป็นแขก เขาต้องอยู่เป็นเพื่อนเธอ
หลินม่ายรอให้เขานั่งลงก่อน ถามเบาๆ ว่า “พ่อของเธอเป็นโรคอะไรเหรอ ทำไมถึงผอมขนาดนั้น?”
ฟู่เฉียงส่ายหัว “ไม่รู้ครับ”
หลินม่ายประหลาดใจเล็กน้อย “เธอไม่เคยพาพ่อไปตรวจที่โรงพยาบาลเลยเหรอ?”
“เคยครับ โรงพยาบาลในอำเภอตรวจอยู่หลายครั้ง แต่ก็หาสาเหตุไม่ได้ทุกครั้ง” ฟู่เฉียงกล่าวด้วยสีหน้าขมขื่น
หลินม่ายคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วจึงถาม “ไม่ใช่ว่าเป็นไทรอยด์กับเบาหวานเหรอ?”
สองโรคนี้มักจะทำให้น้ำหนักลดอย่างรวดเร็ว
แม้ว่าตับอักเสบและโรคไตเสื่อมจะทำให้คนผอมลงได้ง่าย แต่ก็ไม่ผอมหุ้มกระดูกขนาดนี้
ฟู่เฉียงส่ายหัวอย่างหนักแน่น “ตอนแรกหมอก็คิดว่าพ่อเป็นหนึ่งในสองโรคนี้ แต่ตรวจแล้วก็ไม่ใช่”
หลินม่ายเงียบไปครู่หนึ่งแล้วจึงตอบ “อีกสองสามวันฉันจะกลับเข้าเมือง เธอพาพ่อเธอไปกับฉันด้วย ไปตรวจที่โรงพยาบาลผู่จี้เพื่อดูว่าพ่อเธอเป็นโรคอะไร แค่หาสาเหตุของโรคและได้ยารักษาที่ถูกต้อง บางทีพ่อของเธออาจจะดีขึ้นในไม่ช้า”
ฟู่เฉียงดวงตาเป็นประกาย จากนั้นมันก็หม่นแสงลงอีกครั้ง สองมือวางลงบนเข่าและพูดเสียงเบาๆ ว่า “ไปตรวจที่โรงพยาบาลผู่จี้ต้องใช้เงินเท่าไรครับ?”
หลินม่ายตอบอย่างอ่อนโยน “เงินไม่ใช่ปัญหา อย่ากังวลเลย ฉันจะจ่ายให้ล่วงหน้า เธอค่อยทยอยเอามาคืน”
แม้ว่าเธอจะมีเงินมากมาย สามารถจ่ายเงินค่ารักษาพยาบาลให้พ่อฟู่เฉียงได้โดยไม่มีปัญหา
แต่เธอไม่อยากให้เงินฟู่เฉียงไปเฉยๆ
เพราะแบบนี้จะสร้างความหวังในใจให้เขา หวังว่าคนอื่นจะช่วยเหลือเขาฟรี เขาจะสูญเสียความพยายามในการพึ่งพาตัวเองไป
ฟู่เฉียงพยักหน้ารับ “งั้นก็ขอบคุณพี่ม่ายจื่อมากครับ ผมจะรีบหาเงินมาคืน”
หลินม่ายยิ้มตอบ “ได้สิ ฉันจะบอกวิธีการหาเงินง่ายๆ ให้ เธอจะได้หาเงินมาคืนฉันเร็วๆ อย่างที่หวัง”
ฟู่เฉียงดวงตาเป็นประกาย “วิธีไหนเหรอครับ?”
………………………………………………………………………………………………………………………….
(ความหมายของการหักตาชั่ง ตัวอย่างเช่น ไก่ตัวนี้ 1 กิโลกรัม 150 กรัม แต่คนนั้นนับแค่ 1 กิโลกรัม เรียกว่าหักตาชั่ง
สารจากผู้แปล
เด็กบ้านนี้ถ้าได้รับการสนับสนุนดี ๆ ก็จะเป็นเมล็ดพันธุ์ที่ดีได้ไม่ยากเลยนะคะ
ไหหม่า(海馬)