แม่ปากร้ายยุค 80 - ตอนที่ 437 ไปช้อปปิ้ง
ตอนที่ 437 ไปช้อปปิ้ง
ช่วงที่ผ่านมา ฟางเว่ยกั๋วยุ่งมาก แม้แต่วันอาทิตย์เขาก็แทบไม่ได้อยู่บ้าน
ถึงจะอยู่บ้าน แต่ก็เหมือนเป็นสถานที่สำหรับแวะพักเพียงผ่านเท่านั้น อยู่นานสุดแค่ครึ่งชั่วโมง
สำหรับเขาแล้ว บ้านมีเพียงหน้าที่เดียว คือเป็นสถานที่ให้เขากลับมาล้มตัวลงนอนในตอนกลางดึก
เรื่องนี้ทำให้หวังเหวินฟางเจ็บปวดมาก
สองสามีภรรยานอกจากจะไม่เคยมีปฏิสัมพันธ์กันทางร่างกายแล้ว ก็ยังสื่อสารกันแค่วันละไม่กี่ประโยค
จิตใจหวังเหวินฟางจึงเต็มไปด้วยความหดหู่ รู้สึกเหงาหงอยเศร้าสร้อย
ผู้หญิงเป็นเพศที่ชอบช้อปปิ้งเมื่ออารมณ์ไม่ดี
วันนี้หวังเหวินฟางจึงชวนเพื่อน ๆ สองคนไปซื้อของด้วยกัน
การช้อปปิ้งดำเนินไปตั้งแต่สิบโมงเช้าจนถึงบ่ายโมง จนทั้งสามหิวพอดี
หวังเหวินฟางชวนเพื่อนอีกสองคนไปรับประทานอาหารกลางวัน
ในวันที่อากาศร้อนอบอ้าวแบบนี้ ไม่มีใครอยากกินอาหารเสฉวนให้รู้สึกร้อนเพิ่ม ต้องการแค่อาหารเบา ๆ ย่อยง่าย ทั้งสามจึงมาที่ร้านอาหารอ้ายฉินไห่
ทันทีที่ทั้งสามเดินเข้ามาถึงห้องโถงรับรองของร้าน ก็ถูกงานเลี้ยงของหลินม่ายดึงดูดความสนใจในทันที
เพราะเป็นจุดที่มีความครึกครื้นมากที่สุดในร้าน
หวังเหวินฟางเหลือบไปเห็นลูกชายตัวเองภายในแวบเดียว เห็นว่าเขากำลังนั่งอยู่ที่โต๊ะอาหารซึ่งเต็มไปด้วยกลุ่มหนุ่มสาว
หล่อนต้องทนโดดเดี่ยวอยู่ที่บ้านตามลำพัง แต่ลูกชายไม่รักดีคนนี้กลับไม่สนใจหล่อน นับตั้งแต่เขาพยายามหลบหน้าแม่ตัวเอง จากนั้นก็ไม่เคยกลับบ้านอีกเลย
เขาไม่แม้แต่จะโทรถามไถ่ถึงสารทุกข์สุกดิบด้วยซ้ำ เหมือนลืมไปแล้วว่าตัวเองมีแม่อยู่คนหนึ่ง!
ใบหน้าหล่อนมืดลงทันที ทิ้งเพื่อนสองคนไว้เบื้องหลัง แล้วเดินจ้ำอ้าวเข้าไปหาฟางจั๋วเยวี่ย
ฟางจั๋วเยวี่ยเห็นผู้เป็นแม่ปรากฏตัวขึ้นอย่างกะทันหันแบบนั้น รอยยิ้มเยือกเย็นก็ปรากฏขึ้นบนใบหน้า ถามห้วน ๆ “มะ… แม่มาที่นี่ทำไม?”
หวังเหวินฟางแค่นเสียงเย้ยหยัน “โชคดีที่ฉันกับเพื่อนเลือกมากินอาหารร้านนี้ ไม่งั้นคงไม่มีวันได้เจอหน้าแกแน่! กลับบ้านไปกับฉันได้แล้ว!”
ถึงสองประโยคสุดท้ายจะเปล่งออกมาด้วยเสียงคำรามต่ำ แต่ระดับเสียงไม่ได้เบาเลย
ดึงดูดให้แขกหลายคนที่อยู่ในงานเลี้ยงต่างหันมามอง
ฟางจั๋วหรานเดินเข้าไปทันที พูดกับหวังเหวินฟางด้วยสีหน้าเย็นชา “คุณหวัง โปรดอย่าสร้างปัญหาในงานเลี้ยงขอบคุณอาจารย์ของแฟนผม ขอบคุณที่เข้าใจ!”
เมื่อหวังเหวินฟางได้ยินฟางจั๋วหรานเรียกตัวเองว่าคุณหวังต่อหน้าสาธารณะ หล่อนทั้งอับอายทั้งรำคาญใจ จนใบหน้าของหล่อนแดงก่ำ
ลูกเลี้ยงคนนี้ชักจะร้ายขึ้นทุกวัน เดี๋ยวนี้ไม่เรียกหล่อนว่าคุณป้าด้วยซ้ำ!
นี่ถ้าเพื่อนสองคนของหล่อนที่ยืนอยู่ไกล ๆ รับรู้ว่าหล่อนมีความสัมพันธ์ที่ห่างเหินกับลูกเลี้ยงตัวเองจะทำยังไง?
วันพรุ่งนี้ถ้าหล่อนไปทำงาน ข่าวลือว่าหล่อนเป็นแม่เลี้ยงใจร้ายคงแพร่สะพัดไปทั่วทั้งแผนก
หวังเหวินฟางไม่กล้าโต้ตอบฟางจั๋วหรานอย่างรุนแรง แต่หล่อนกล้าแสดงกิริยาแย่ ๆ กับลูกชายตัวเอง
หล่อนทุบฟางจั๋วเยวี่ยเข้าอย่างแรงที่ด้านหลัง แค่นเสียงลอดไรฟัน “ทำไมยังนั่งอยู่ที่เดิมอีก ลุกขึ้น แล้วกลับไปกับฉัน!”
ถึงโต้วโต้วกับฟางจั๋วเยวี่ยเพิ่งจะมาคลุกคลีอยู่ด้วยกันได้ไม่นาน แต่พวกเขาก็มีความสัมพันธ์ที่ดีต่อกัน พอเห็นว่าเขาถูกทุบตี หล่อนก็โพล่งขึ้นด้วยความกระวนกระวาย “อย่าตีคุณอาของหนูนะ!”
คุณปู่ฟางและภรรยาของเขาเห็นแบบนั้นก็โกรธมาก
คุณย่าฟางถึงกับชี้หน้าหวังเหวินฟางและพูดด้วยเสียงทุ้มต่ำ “ถ้ากล้าพาจั๋วเยวี่ยไปจากฉันก็ลองดู!”
ตอนนี้หวังเหวินฟางเพิ่งจะรู้ตัวว่าพ่อและแม่สามีก็อยู่ที่นี่ด้วย จึงเกิดความสับสนไปชั่วขณะ
ถึงแม้หล่อนจะเกลียดสองสามีภรรยาชราจนสุดขั้ว แต่คุณปู่ฟางก็เคยดำรงตำแหน่งเป็นข้าราชการระดับสูงมาก่อน หวังเหวินฟางจึงเกรงใจและหวาดกลัวพวกเขาอยู่บ้าง
หล่อนปั้นหน้ายิ้มแย้มทันทีพลางเดินเข้าไปหาคุณปู่ฟาง “คุณพ่อ คุณแม่ พวกคุณเข้ามาที่เจียงเฉิงตั้งแต่เมื่อไหร่คะ? ทำไมถึงไม่โทรบอกเว่ยกั๋วให้เขาขับรถไปรับพวกคุณล่ะ?”
คุณย่าฟางตอบกลับด้วยใบหน้าที่มืดมน “เราไม่ต้องการให้พวกเธอมารับ ตราบใดที่เธอไม่มารบกวนพวกเราก็พอ ออกไปซะ อย่าให้มื้ออาหารต้องกร่อยเพราะเห็นหน้าเธอ!”
หวังเหวินฟางอับอายจนหน้าชา ถึงอย่างนั้นก็ยังแอบขยิบตาให้หลินม่ายซึ่งยืนอยู่ห่างออกไปไม่กี่ก้าว
หล่อนหวังให้อีกฝ่ายมีไหวพริบ พูดอะไรบางอย่างแทนสักสองสามคำ หาทางประนีประนอม เพื่อที่หล่อนจะได้ไม่เสียหน้าเมื่ออยู่ต่อหน้าเพื่อนแบบนี้
หลินม่ายสังเกตเห็นเช่นกันว่าหวังเหวินฟางขยับตาให้ตัวเอง แต่จงใจทำเป็นมองไม่เห็น
ก่อนหน้านี้หวังเหวินฟางพยายามทำทุกวิถีทางเพื่อแยกเธอออกจากฟางจั๋วหราน ความแค้นเก่ายังคงอยู่ แล้วยังหวังจะให้เธอช่วยหล่อนอีกหรือ?
เธอไม่รู้ว่าผู้หญิงวัยกลางคนคนนี้หน้าด้านหน้าทนมาจากไหน คิดจะให้เธอช่วยออกหน้าเพื่อฉุดดึงหล่อนไปให้พ้นจากปัญหางั้นเหรอ ไม่มีทาง!
เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายทำเฉไฉเหมือนเป็นคนตาบอด หวังเหวินฟางจึงจำเป็นต้องจากไปด้วยความลำบากใจ
ขืนอยู่นานกว่านี้ คงถูกคุณย่าฟางดุด่าจนได้รับความอับอายยิ่งกว่าเดิม
งานเลี้ยงขอบคุณอาจารย์ใช้เวลาทั้งหมดร่วมสองชั่วโมงถึงสิ้นสุด
หลินม่ายเตรียมของขวัญห่อใหญ่ไว้ให้แขกที่มาร่วมงานทุกคน
ภายในถุงของขวัญนี้เป็นน้ำตาลทรายแดงสองห่อ ไวน์สองขวด และลูกอมรสผลไม้
แขกทุกคนเข้าร่วมงานเลี้ยงอย่างมีความสุข และจากไปอย่างอิ่มเอมใจ
หลินม่ายกับฟางจั๋วหรานไปส่งคุณปู่ฟาง ภรรยาของเขา และโต้วโต้วกลับคฤหาสน์ จากนั้นหลินม่ายก็พาฟางจั๋วหรานไปช้อปปิ้งต่อ
ยังไม่ทันที่ฟางจั๋วหรานจะออกความคิดเห็น คุณปู่ฟางและคุณย่าฟางก็ตอบรับในนามเขาเสร็จสรรพ แล้วไล่พวกเขาออกจากบ้านทันที
โต้วโต้วอยากไปด้วย แต่คุณย่าฟางติดสินบนหล่อนด้วยลูกอมเสียก่อน
หลินม่ายกับฟางจั๋วหรานเดินทางไปช้อปปิ้งด้วยกัน
ทั้งสองไปที่ถนนเจียงฮั่น
ที่นั่นมีร้านเสื้อผ้าแฟชั่นชั้นสูงอยู่ไม่กี่ร้าน เพราะยุคสมัยนี้ยังไม่เป็นที่นิยมมากนัก
ฟางจั๋วหรานมองเห็นร้านเสื้อผ้าสตรีก็ตั้งท่าจะเดินเข้าไป แต่ถูกหลินม่ายหยุดไว้ “คราวนี้ฉันมาช้อปปิ้งเพื่อซื้อเสื้อผ้าให้คุณต่างหาก”
ฟางจั๋วหรานไม่เห็นด้วย “ผมมีเสื้อผ้าเยอะแล้ว ควรซื้อให้คุณมากกว่า คุณเป็นผู้หญิง ต้องแต่งตัวให้สวยๆ”
หลินม่ายไม่สนใจ ลากเขาไปที่ร้านเสื้อผ้าบุรุษ “คุณมีเสื้อผ้าน้อยกว่าฉันอีก! พี่เถาชอบตัดเสื้อตัวใหม่ให้ฉันอยู่บ่อย ๆ ภายในเดือนเดียวแทบไม่เคยต้องสวมชุดซ้ำ ฉะนั้นไม่มีความจำเป็นต้องซื้อเพิ่มหรอกค่ะ”
พนักงานขายสาวได้ยินแบบนั้นแล้วถึงกับอึ้ง
มีผู้หญิงแบบนี้ในโลกด้วยเหรอเนี่ย ไม่ยอมซื้อเสื้อผ้าให้ตัวเอง แต่ซื้อเสื้อผ้าให้แฟนหนุ่ม
ผู้หญิงคนนี้โง่หรือเปล่า?
ฟางจั๋วหรานส่งยิ้มบาง ๆ ให้ ยอมให้เธอเลือกซื้อเสื้อผ้าให้เขา
หลินม่ายเลือกเสื้อโค้ทให้เขาหลายตัว ระหว่างนั้นก็เอามาทาบกับร่างกายของเขาไปด้วย
จากนั้นก็หอบเสื้อผ้าพวกนั้นไว้ในมือข้างหนึ่ง “คุณชอบชุดไหนเป็นพิเศษไหมคะ?”
ฟางจั๋วหรานชี้ไปยังเสื้อตัวหนึ่งที่มีราคาไม่แพงมาก “ผมว่าตัวนี้เข้าท่า”
หลินม่ายหันไปเขย่าเสื้อตัวที่มีราคาแพงกว่า “ทำไมฉันถึงคิดว่าตัวนี้เข้าท่ากว่า?”
ฟางจั๋วหรานตอบกลับ “ลักษณะภายนอกเสริมบุคลิกให้ดูดี แต่อาจสวมใส่ไม่สบายก็ได้”
ทันทีที่พนักงานขายสาวสวยได้ยินแบบนั้น เธอก็แนะนำให้เขาลองสวมดู เพื่อพิจารณาว่าสวมใส่สบายไหม
สาเหตุที่กล้าเสนอแบบนั้น ก็เพราะมั่นใจว่าเขาจะต้องชอบเสื้อตัวนั้นแน่ ๆ
ฟางจั๋วหรานปฏิเสธไม่ลอง
แต่ภายใต้การผลักดันกึ่งบังคับของหลินม่าย ทำให้เขายอมเชื่อฟังเธอ
พอได้สวมเสื้อตัวนั้นแล้ว เขาสัมผัสได้ถึงความหรูหรามีระดับ ราวกับมันถูกตัดเย็บมาเพื่อเขาโดยเฉพาะ
พนักงานขายสาวที่ลิ้นสามนิ้วไม่เน่า(1)คนนั้น เห็นฟางจั๋วหรานสวมใส่เสื้อตัวนี้แล้ว ก็เอาแต่ยกย่องชมเชยไม่หยุดว่าดูดีแค่ไหน
ฟางจั๋วหรานได้แต่ยิ้ม ถอดเสื้อออก แล้วดึงแขนหลินม่ายออกจากร้านไป
หลินม่ายแข็งขืนไม่ยอมเดินตาม “ฉันยังไม่ทันได้ซื้อเสื้อตัวนั้นเลย”
“ผมไม่ชอบ”
หลินม่ายรู้ว่าเขาตอบแบบนั้นเพราะไม่อยากให้เธอใช้เงิน
แต่เธอเพียรพยายามหาเงินให้ได้มาก ๆ แบบทุกวันนี้ ก็เพื่อให้ญาติพี่น้องมีชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีขึ้นไม่ใช่เหรอ?
ถึงฟางจั๋วหรานกับเธอจะไม่ใช่ญาติพี่น้อง แต่พวกเขาก็คบหากันเป็นแฟน เธอควรปฏิบัติต่อเขาให้ดีถึงจะถูก
ในทัศนคติของเธอแล้ว ความสัมพันธ์ที่ถูกต้องระหว่างชายหญิงที่รักกัน คือการเอื้ออาทรซึ่งกันและกันทั้งสองฝ่าย ไม่ใช่แค่ฝ่ายชายที่ต้องทุ่มเทให้กับฝ่ายหญิง
ท้ายที่สุด หลินม่ายก็ยืนกรานคำเดิม จนซื้อเสื้อโค้ตทั้งสองตัวกลับมาจนได้
ทว่าพอถึงขั้นตอนจ่ายเงิน ฟางจั๋วหรานที่ตาไวมือไวกว่าก็รีบควักเงินสดออกมาจ่ายตัดหน้า
หลินม่ายสอดแขนรอบเอวเพรียวบนร่างสูงหนึ่งฟุตหกนิ้วของอีกฝ่าย มองเขาด้วยความไม่สบายใจนัก
ฟางจั๋วหรานลูบศีรษะน้อย ๆ ของเธอ แล้วพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “อย่ามองผมแบบนั้นสิ ผู้ชายควรเป็นฝ่ายหาเงิน ส่วนผู้หญิงควรเป็นฝ่ายใช้เงิน ต่อจากนี้ไปหน้าที่ของคุณมีแค่อย่างเดียวคือซื้อ ซื้อ และซื้อ ส่วนผมมีหน้าที่รับผิดชอบในการจ่ายเงิน ไม่อนุญาตให้คุณคัดค้านไม่ว่ากรณีใด ๆ!”
หลินม่ายยิ้มอย่างชั่วร้าย “ถ้าอย่างนั้นฉันจะซื้อให้คุณล้มละลายกันไปข้าง”
ร้านต่อไป เธอเลือกซื้อรองเท้าหนังกับกางเกงตัวใหม่ให้ฟางจั๋วหราน…
แน่นอนว่าเลือกของที่มีราคาแพงที่สุด
การช้อปปิ้งในครั้งนี้สูญเงินไปหลายร้อยหยวน กระเป๋าสตางค์ของฟางจั๋วหรานแฟบลงในไม่ช้า
หลินม่ายจงใจหยอกล้อเขา “รู้สึกปวดใจบ้างหรือยังคะ?”
ฟางจั๋วหรานพยักหน้า “ปวดใจมาก”
แต่แล้วเขาก็พูดเสริมว่า “แต่ผมกลับไม่ปวดใจเลยที่ต้องจ่ายเงินให้กับคุณ”
หลินม่ายเม้มริมฝีปากเป็นรอยยิ้ม
ข่าวลือบนโซเชียลที่เธอเคยอ่านในชาติที่แล้วเป็นความจริง
คนที่รักคุณเท่านั้นแหละถึงจะยอมจ่ายเงินเพื่อคุณ ส่วนคนที่ไม่รักคุณจะเป็นฝ่ายทำให้คุณต้องจ่ายเงินให้เขา
ฟางจั๋วหรานทำให้เธอได้ลิ้มรสชาติความหวานแห่งรัก
ทั้งสองกลับบ้านพร้อมกันพร้อมกับถุงเล็กใหญ่ในมือ
เมื่อเดินผ่านร้านขายรองเท้าสตรี หลินม่ายชะลอฝีเท้าลงอย่างเห็นได้ชัด จ้องมองรองเท้าส้นสูงคู่หนึ่งที่วางโชว์อยู่ตรงหน้าต่างกระจกใสของร้านนานหลายวินาที
ฟางจั๋วหรานซึ่งเดินตามมาติด ๆ เห็นว่าราคาของรองเท้าส้นสูงคู่นั้นอยู่ที่ห้าสิบหกหยวน แพงกระเป๋าฉีก!
……………………………………………………………………………………………………………..
ลิ้นสามนิ้วไม่เน่า อธิบายถึงคนที่มีคารมคมคายดี มีทักษะการพูด เก่งกาจด้านวาทศิลป์
สารจากผู้แปล
อย่ามาพังงานเลี้ยงของม่ายจื่อนะยัยแม่เลี้ยง มาทางไหนกลับไปทางนั้นเลย
พี่หมอโดนถลุงเงินเสียแล้วค่ะ จะซื้อรองเท้าคู่นี้ให้ม่ายจื่อไหมนะ
ไหหม่า(海馬)