แม่ปากร้ายยุค 80 - ตอนที่ 444 ความโกลาหลในห้องพักแพทย์
ตอนที่ 444 ความโกลาหลในห้องพักแพทย์
ที่นี่มันโรงพยาบาลนะ!
แม้ฟางจั๋วหรานจะปิดประตูแล้ว แต่แค่หมุนลูกบิดประตูจากข้างนอก ประตูก็เปิดออกแล้ว
ถ้ามีคนพรวดพราดเข้ามา อย่างนั้นคงน่าอึดอัดมากเลย!
หลินม่ายดิ้นสุดแรงเกิด
แต่แรงของเธอก็มีจำกัด การดิ้นรนของเธอนั้นเปล่าประโยชน์ กลับยิ่งจะทำให้ฟางจั๋วหรานชอบใจ ปลุกความกระหายอยากจะพิชิตของเพศชายของเขาขึ้นมาโดยสมบูรณ์ เขายิ่งไม่ยอมปล่อยสาวน้อยลงไปจากเตียง
หลินม่ายดิ้นรนอยู่ครู่หนึ่ง จึงยอมแพ้ที่จะต่อต้าน แล้วปล่อยให้จุมพิตของฟางจั๋วหรานนั้นพรมลงราวกับหยาดฝนบนริมฝีปาก ใบหน้า ลำคอ…
ชายหนุ่มมีพละกำลังแข็งแกร่งเกินไปก็เป็นเรื่องหนึ่ง ความรู้สึกรักใคร่ชอบพอของทั้งสองรุนแรงเกินไปต่างหาก ที่เป็นเรื่องสำคัญ
ไม่อาจหยุดยั้งได้เหมือนกับตอนที่คุณกลับมาถึงบ้านด้วยความหิวกระหาย และพบว่าบนโต๊ะมีกบยั่วน้ำลายที่คุณชอบกินที่สุดอยู่จานหนึ่ง
กบยั่วน้ำลายอร่อยเผ็ดชา กินเพียงหนึ่งคำประสาทรับรสก็เริ่มโห่ร้องดีใจแล้ว แล้วจะทำใจวางตะเกียบลงได้อย่างไร?
ฟางจั๋วหรานสังเกตเห็นการยอมจำนนของเธอได้อย่างรวดเร็ว ถึงกับตอบสนองด้วยตัวสั่นเทาเล็กน้อยอีกด้วย เขาจึงยิ่งรุกหนักเข้าไปอีก……
ขณะที่ในห้องพักแพทย์เต็มไปด้วยฟองอากาศรูปหัวใจ นอกประตูก็มีเสียงสนทนาของชายหญิงคู่หนึ่ง
ชาย “เสี่ยวหยาง เห็นศาสตราจารย์ฟางไหม?”
หญิง “ศาสตราจารย์ฟางอยู่ในห้องพักน่ะ นายหาเขาทำไมเหรอ? ผู้ป่วยมีอาการเหรอ? เตียงไหน บอกฉันมาเลย ฉันจะไปดูให้ก่อน”
ฝั่งชายพูดอ้ำๆ อึ้งๆ บวกกับท่าทีลำบากใจ “ผู้ป่วยไม่ได้เกิดอาการอะไรหรอก คือ…ประวัติอาการป่วยของฉันไม่ผ่านเกณฑ์น่ะ ศาสตราจารย์ให้ฉันไปเขียนใหม่ เขียนเสร็จแล้วก็เอามาให้เขาตรวจ”
หญิง “อ๋อ งั้นนายไปหาศาสตราจารย์ฟางที่ห้องพักแพทย์เถอะ”
ชาย “โอเค”
ทั้งสองคนจบบทสนทนา เสียงฝีเท้าดังขึ้นสองทิศทาง คนหนึ่งไกลออกไปเรื่อยๆ อีกคนหนึ่งก็ใกล้เข้ามาเรื่อยๆ
เมื่อได้ยินเสียงฝีเท้าที่ใกล้เข้ามาเรื่อยๆ หลินม่ายก็ตกใจราวกับนกตื่นคันธนู
พลังแฝงพลันระเบิดออก ผลักท่านศาสตราจารย์ที่อยู่บนตัวออก แล้วดีดตัวลุกพรวดขึ้นมาจากเตียงราวกับปลาคาร์ฟ
จะออกไปก็คงไม่ทันแล้ว หากจะอยู่ต่อ…
แม้เธอกับฟางจั๋วหรานจะแค่กอดจูบกันเท่านั้น ไม่ได้ทำเรื่องเกินเลยไปสักนิด แต่การจู๋จี๋อี๋อ๋อเมื่อครู่นี้ก็ทำเธอผมเผ้ากระเซิง เสื้อผ้ายุ่งเหยิง
หากให้นักเรียนของฟางจั๋วหรานมาเห็นเธอในสภาพนี้ คงจะเข้าใจผิดกันแน่
เชื่อว่าเมื่อผ่านไปไม่นาน เรื่องที่ศาสตราจารย์ฟางกับแฟนสาวทำรุ่มร่ามกันในห้องพักแพทย์จะต้องลือไปทั่วโรงพยาบาลแน่ เธอคงไม่มีหน้าจะไปเจอใครแล้ว!
ท่ามกลางความวิตกกังวล หลินม่ายรีบเข้าไปซ่อนตัวอยู่ใต้ผ้าม่านหนาหนักที่สูงจากเพดานจรดพื้น แล้วถอนหายใจยาวเหยียดราวกับรอดพ้นเคราะห์กรรมอย่างไรอย่างนั้น
ไม่คาดคิดว่ายังไม่ทันถอนหายใจจนสุด ฟางจั๋วหรานเองก็ก้าวเข้ามาซ่อนด้วย เขายืนเรียงเป็นแนวเดียวกับเธอและมองเธอด้วยรอยยิ้ม
หลินม่ายมัดผมอย่างรีบร้อน ถลึงตามองเขาแล้วขยับปากเป็นคำพูด “คุณเข้ามาทำไมเนี่ย?”
สภาพแบบนี้ของเธอจะออกไปเจอใครไม่ได้ แต่ท่านศาสตราจารย์นั้นแม้ว่าเสื้อกาวน์บนร่างจะยับเล็กน้อย แต่ลักษณะภายนอกก็ยังดูดีกว่าเธอ จะไปเจอใครก็ไม่มีปัญหา
นับประสาอะไรกับที่นี่ที่เป็นห้องพักของเขา เขาสามารถอธิบายได้ว่า เขาเพิ่งจะงีบหลับไปบนเตียง ดังนั้นก็เลยดูไม่ค่อยดีนัก ไม่มีความจำเป็นจะต้องมาซ่อนเลยสักนิด
ฟางจั๋วหรานพูดอย่างมาดมั่น “ผมไม่สน ภรรยาผมอยู่ที่นี่ ผมก็จะอยู่ที่นี่ ผมกับคุณ ไม่อาจแยกจาก”
นี่มันยุคไหนกันแล้ว ยังจะพูดคำหวานรสดิน(1)พวกนี้อยู่อีก!
หลินม่ายกำลังนึกจะพยายามผลักเขาออกไป ประตูก็ถูกคนเคาะดังขึ้น
หลินม่ายมีท่าทางราวกับหญิงสาวที่กำลังแอบคบชู้แล้วได้ยินเสียงเคาะประตูของสามีที่แท้จริงของตนอย่างไรอย่างนั้น เธอตกใจจนรีบชักมือกลับมาอย่างรวดเร็ว
หมอมือใหม่ของฟางจั๋วหรานเคาะประตูอยู่ครู่หนึ่ง เมื่อเห็นด้านในไม่มีการตอบสนอง จึงหยุดเคาะประตูแล้วคิดจะจากไป
หลินม่ายที่ซ่อนตัวอยู่หลังผ้าม่านหนาหนักนั้นตบที่หน้าอกเบาๆ ราวกับได้รับการลดหย่อนผ่อนโทษ และกำลังคิดจะออกไป
ก็กลับได้ยินเสียงใครบางคนถามหมอมือใหม่คนนั้นขึ้น “นายมาหาศาสตราจารย์ฟางเหรอ?”
“อืม”
ผู้ถามเอ่ยอย่างสงสัย “ศาสตราจารย์ฟางไม่อยู่ข้างในเหรอ? ไม่หรอกมั้ง ฉันเพิ่งจะเห็นเขาเดินเข้าไปนี่เอง”
พูดดังนั้น ก็เคาะประตูอีกครั้งพร้อมกับถามขึ้น “ศาสตราจารย์ฟาง คุณอยู่ข้างในหรือเปล่าครับ?”
ฟางจั๋วหรานในตอนนั้นมือหนึ่งเชยคางของหลินม่าย และกำลังก้มหน้าลงจูบเธอ
หลินม่ายผลักเขาออกอย่างแรก แสดงออกว่าให้เขาออกไป แล้วไล่เวลาสองคนที่อยู่ข้างนอกไปเสีย
แต่เขากลับล็อคตัวเธอเอาไว้แน่นในอ้อมกอด แล้วยกมือขึ้นตั้งนิ้วชี้จรดริมฝีปาก สื่อว่าหากเธอไม่อยากถูกใครพบเข้า ก็ต้องเงียบๆ ไว้
หลินม่ายกลอกตาใส่เขาอย่างไม่พอใจ คางก็ถูกเชยเชิดขึ้นและริมฝีปากของเขาก็กดทับลงมาอีกครั้ง ทำเอาเธอถอนหายใจเฮือก แล้วดิ้นรนขัดขืนอย่างรุนแรง
ในเวลานั้นเอง พลันได้ยินเสียงหมุนลูกบิดประตู ประตูถูกคนเปิดออกจากข้างนอก หมอทั้งสองยื่นหัวเข้ามาชะเง้อชะแง้มอง
หลินม่ายตกใจกลัวจนหน้าถอดสี แต่ฟางจั๋วหรานกลับฉวยโอกาสจูบอย่างรุนแรงยิ่งขึ้น กวนใจให้ว้าวุ่น
หลิยม่ายกลัวว่าจะถูกพบเข้า จึงไม่กล้าส่งเสียงและไม่กล้าขยับเขยื้อน ได้แต่หลับตาแน่นและสัมผัสความรู้สึกของการเป็นเนื้อบนเขียงที่เขามีอำนาจควบคุมได้ตามใจ
เพียงตั้งตารอให้หมอสองคนนั้นเห็นว่าไม่มีใครอยู่ในห้องพัก แล้วรีบออกไปเสีย
หมอทั้งสองเห็นว่าไม่มีใคร คนที่อายุมากกว่าคนนั้นจึงมีสีหน้างุนงง “หรือว่าศาสตราจารย์ฟางกลับบ้านไปแล้วนะ?”
คนหนุ่มคนนั้นส่ายหน้า “วันนี้ศาสตราจารย์ฟางมีเวรดึก ไม่มีทางกลับบ้านได้หรอกครับ”
“งั้นก็คงไปราวด์วอร์ด*แล้วล่ะ รออีกเดี๋ยวค่อยมาอีกทีแล้วกัน”
*Round ward – การเดินตรวจเยี่ยมผู้ป่วยของแพทย์
ขณะที่ทั้งสองกำลังจะหมุนตัวจากไป ก็พลันได้ยินเสียงไอเบาๆ ดังขึ้น
แพทย์คนที่อาวุโสกว่าถามคนที่เด็กกว่าทันที “นายได้ยินเสียงไอไหม?”
คนเด็กกว่าพยักหน้า “ได้ยินครับ”
จากนั้นทั้งสองก็มองหน้ากัน
ในห้องพักแพทย์นี้นอกจากพวกเขาสองคนแล้ว ก็ไม่มีคนอื่นอีก แล้วเสียงไอมาจากไหนกัน?
ด้านหลังผ้าม่าน หลินม่ายถลึงตาจ้องฟางจั๋วหรานอย่างโกรธเคืองด้วย หัวใจที่เต้นโครมครามอย่างตื่นตระหนก
นึกไม่ถึงว่าเจ้าหมอนี่อายุก็มากแล้วแล้วยังจะเล่นพิเรนทร์ขนาดนี้อีก
เธอเพียงแค่ไม่อยากให้เขาจูบต่อ จึงกัดริมฝีปากของเขาทีหนึ่ง เขาก็ดันจงใจไอขึ้นมา!
หมอทั้งสองมองดูห้องที่มีขนาดไม่ถึงสิบตารางเมตรมองแล้วมองอีก
ใครคนหนึ่งพูดขึ้น “เมื่อกี้คงหูฝาดไปมั้ง”
อีกคนส่ายหน้า “ไม่มีทางที่จะหูฝาดพร้อมกันทั้งสองคนได้หรอก คงจะเป็นผู้ป่วยที่ห้องผู้ป่วยใกล้ๆ นี้กำลังไอน่ะ”
คนก่อนหน้าพยักหน้า
และในที่สุดหมอทั้งสองคนที่เชื่อในวัตถุนิยมก็จากไป ในตอนที่เดินออกไปยังช่วยปิดประตูอย่างมีน้ำใจอีกด้วย
เมื่อนั้นหลินม่ายจึงเดินออกมาจากหลังผ้าม่าน หากยังไม่ออกมาอีกคงต้องร้อนตายแน่
เธอจัดการตัวเองอย่างรวดเร็วแล้วกำลังนึกจะกลับไป
แต่ฟางจั๋วหรานกลับดึงรั้งเธอเอาไว้ “ผมยังกินของหวานไม่พอเลย”
“ยังกินไม่พอก็ไม่ให้กินแล้ว!”
เมื่อครู่หลินม่ายกลัวจนแทบจะขวัญหนี ไม่ว่าจะพูดอะไรเธอก็ไม่ยอมกอดรัดฟัดเหวี่ยงกับเขาแล้ว
“ไม่ยอม? ผมก็จะเอาให้ได้” ฟางจั๋วหรานพูดเช่นนั้นก็ลงมือทันที หลินม่ายพยายามต่อต้านทุกวิถีทาง
ฟางจั๋วหรานยิ้มอย่างชั่วร้าย “ทำได้คุณก็ร้องเลยสิ!”
พวงแก้มทั้งสองของหลินม่ายพองป่อง
ฟางจั๋วหรานเห็นเธอท่าทางน่ารักน่าเอ็นดูของเธอ ก็ยิ่งอย่างจะแกล้งเธอ “ไม่ร้องเหรอ? งั้นผมร้องเอง”
พูดจบ เขาก็แกล้งทำเป็นว่าจะส่งเสียงร้อง ก็ถูกหลินม่ายเอามือปิดปากเอาไว้ทันใด แล้วเอ่ยแฝงด้วยการขอร้อง “พอแล้ว เลิกเล่นได้แล้ว~”
ฟางจั๋วหรานคว้ามือเล็กของเธอเอาไว้ ในความเอาแต่ใจนั้นเจือการออดอ้อน “ก็ต่อเมื่อคุณจูบผมนะ”
“คุณก็จูบฉันตั้งนานแล้ว ยังอยากจูบอีกเหรอ? ถ้าจูบกันอีกพวกเราก็แทบจะกลายเป็นปลาจูบ(2)อยู่แล้ว”
ฟางจั๋วหรานพูดอย่างจริงจัง “นั่นมันผมจูบคุณ ที่ผมบอกตอนนี้คือ คุณจูบผม”
หลินม่ายยังคิดดื้อรั้น “แล้วถ้าฉันไม่จูบล่ะ?”
“งั้นผมจะร้องแล้วนะ?”
หลินม่ายกะพริบดวงตากลมโตใสแป๋ว แล้วแหงนหน้ามองท่านศาสตราจารย์ผู้หล่อเหลาไร้ใครเทียมอย่างหมดคำจะพูด
ทำไมตอนแรกถึงมองไม่ออกเลยนะว่าเจ้าหมอนี่จะแอบหื่นขนาดนี้
เพื่อจะได้หลุดออกมาเร็วๆ หลินม่ายจึงได้แต่เขย่งปลายเท้า จูบที่ริมฝีปากของฟางจั๋วหรานด้วยตัวเอง….
หลังจากส่งสาวน้อยกลับไปแล้ว ฟางจั๋วหรานถึงได้กินอาหารเย็นที่หลินม่ายเอามาส่งอย่างอิ่มอกอิ่มใจ
แม้ว่าอาหารเย็นจะมากมายหลากหลาย ทั้งซุปไก่ตุ๋นพุทรา ทั้งคากิตุ๋นสมุนไพร……
แต่เขากลับไม่รู้สึกถึงรสหวานใดๆ เลย ในหัวสมองเอาแต่นึกถึงทุกรายละเอียดของสาวน้อยเมื่อครู่นี้
บนใบหน้าเผยรอยยิ้มเซ่อๆ ที่ไม่เข้ากับบุคลิกของเขาเอาเสียเลย ในใจคิดครวญ ไม่รู้ว่าเมื่อไหร่ถึงจะได้ลิ้มรสแม่สาวน้อยอย่างจริงๆ จังๆ ได้เสียทีนะ…
…………………………………………………………………………………………………………………………
(1)คำหวานรสดิน หมายถึง มุกเสี่ยว คำพูดหวานๆ แบบบ้านๆ เชยๆ
(2)ปลาจูบ หรือปลาหมอตาล คือปลาน้ำจืดชนิดหนึ่ง มีพฤติกรรมชอบอยู่รวมกันเป็นฝูง เมื่อจะต่อสู้หรือข่มขู่กัน จะใช้ปากตอดกันคล้ายกับการ “จูบปาก”
สารจากผู้แปล
พี่หมอร้ายกาจจจจ ที่แท้พี่ก็ชอบแบบนอกสถานที่เหรอคะ กินของหวานในห้องตัวเองมันไม่เร้าใจเท่ากินนอกบ้านงั้นเหรอ
ไหหม่า(海馬)