แม่ปากร้ายยุค 80 - ตอนที่ 470 เจอบัตรกำนัลปลอมอีกเพียบ
ตอนที่ 470 เจอบัตรกำนัลปลอมอีกเพียบ
สุนัขล่าเนื้อตัวใหญ่ถูกจูงเข้าไปในห้องของพ่อหรงและแม่หรง แต่ไม่เจออะไรเลย
จากนั้นก็พาไปที่ห้องของหวังหรง แต่ก็ยังไม่เจออะไรอยู่ดี
ตามด้วยห้องรับแขก ห้องนั่งเล่น ห้องอาหาร ห้องครัว… ไม่เจอสิ่งแปลกปลอมอะไรทั้งนั้น
เหลือแค่ห้องของแม่เฒ่าหวังเป็นห้องสุดท้าย
แม่เฒ่าหวังอ้างว่าตัวเองไม่ค่อยสบาย อยากนอนพักผ่อน ไม่ต้องการให้ใครมารบกวน
ตำรวจหญิงพยายามเกลี้ยกล่อม ขอให้นางออกไปนอนที่ห้องรับแขกแค่ครู่เดียว พวกเขาใช้เวลาค้นแค่ไม่ถึงสิบนาทีเท่านั้น แต่แม่เฒ่าหวังก็ยังหยิบยกเหตุผลมาอ้างว่าตัวเองเป็นคนนอนยาก ถ้าเปลี่ยนไปนอนที่อื่นก็ไม่สามารถข่มตาหลับลงได้เลย พอเห็นว่านางพูดเฉไฉไม่หยุด เจ้าหน้าที่ตำรวจทั้งสองคนก็ถึงกับพูดไม่ออก
ในขณะที่ทั้งสองฝ่ายกำลังโต้เถียงกันอยู่นั้น ชายหนุ่มผู้ร่าเริงก็แอบพาสุนัขล่าเนื้อเข้าไปในห้องอย่างเงียบ ๆ ทันใดนั้นก็ร้องตะโกนด้วยความตื่นเต้น “ผมเจออะไรบางอย่างแล้ว!”
ทุกคนที่อยู่ตรงนั้นต่างมองมาที่เขาและสุนัขล่าเนื้อ และก็เห็นว่าเจ้าสุนัขล่าเนื้อกำลังยืนสองขา ใช้สองเท้าหน้าข่วนตะกุยประตูตู้เสื้อผ้าขนาดใหญ่ของแม่เฒ่าหวัง
ตอนนี้ไม่ว่าจะเป็นพ่อหรง แม่หรง หรือแม่เฒ่าหวัง ทุกคนต่างแสดงสีหน้าหวาดกลัวออกมาอย่างปิดไม่มิด
มองปราดเดียวก็รู้เลยว่าปฏิกิริยาของทั้งสามส่อถึงพิรุธชัดเจน
ระหว่างนั้นพ่อหรงกับแม่หรงเอาแต่ขยิบตาให้แม่เฒ่าหวังอยู่บ่อยครั้ง เป็นเชิงบอกให้อีกฝ่ายห้ามปรามพวกเขา
แต่คนอย่างแม่เฒ่าหวังไม่มีความกล้าหาญเพียงพอที่จะขัดขวางการทำงานของเจ้าหน้าที่
ทั้งสามคนจึงได้แต่ยืนมองตาละห้อยด้วยความสิ้นหวังเมื่อเห็นว่าชายหนุ่มผู้ร่าเริงคนนั้นเปิดประตูตู้เสื้อผ้าขนาดใหญ่ออก
สุนัขล่าเนื้อกระโจนเข้าใส่ผ้านวมที่ถูกพับอัดอยู่ในตู้เสื้อผ้าทันที จากนั้นก็ออกแรงลากมันออกมา
เจ้าหน้าที่ตำรวจทั้งสองหันมองสบตากันด้วยความสงสัย หรือว่าในผ้านวมผืนนี้จะมีบัตรกำนัลปลอมซ่อนอยู่?
พวกเขาช่วยกันคลี่ผืนผ้านวมออกทันที และเห็นว่ามีบัตรกำนัลปลอมถูกซุกอยู่ข้างในจริง ๆ
นับคร่าว ๆ ด้วยสายตาแล้ว คาดว่าคงไม่ถึงสี่หมื่นใบ แต่ก็เกินสามหมื่นใบแล้วแน่ ๆ
แม่เฒ่าหวังเป็นลมล้มพับไปทันที
พ่อหรงและแม่หรงเองก็มีอาการย่ำแย่ไม่ต่างกัน พวกเขาพลันเข่าอ่อนตัวงอเป็นกุ้ง ทรุดลงไปนั่งกองอยู่กับพื้น
พอเห็นว่าเจ้าหน้าที่ตำรวจค้นเจอบัตรกำนัลอีกจำนวนมากจริง ๆ ป้าทั้งสองก็ได้ทีเย้ยหยันด้วยความโล่งใจ “ทำเป็นกล่าวหาว่าพวกเราพ่นเลือด คราวนี้เป็นไงล่ะ?”
ตำรวจหญิงบีบนวดตามเนื้อตัวของแม่เฒ่าหวังสองสามครั้ง แม่เฒ่าหวังจึงตื่นลืมตาขึ้นอย่างช้า ๆ
นางเป็นหญิงชรามากประสบการณ์ซึ่งเกิดก่อนยุคปฏิรูปการปกครอง หากไม่มีเหตุการณ์ใดที่เอื้อต่อสถานการณ์เป็นพิเศษ จะเป็นลมอย่างง่ายดายแบบนี้ได้อย่างไร ถ้าไม่ได้มีโรคประจำตัว?
นางแค่แกล้งเป็นลมเท่านั้น เพราะหวังว่าตำรวจจะยอมปล่อยตัวเองไปเมื่อเห็นว่าตัวเองเป็นหญิงชราอายุมากที่เป็นลมง่าย
ใครจะไปคิดว่าตำรวจจะทั้งนวดทั้งหยิกให้นางตื่นจนเจ็บระบมไปหมด
ตำรวจหญิงคนนี้ดูมีรูปร่างเพรียวบางแท้ ๆ แต่กลับมีเรี่ยวแรงมากกว่าที่คิด พอถูกมือของอีกฝ่ายกดเข้ากลางอก นางก็เจ็บจุกจนน้ำตาแทบไหล ไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากยอมตื่นขึ้น
ตำรวจหญิงถามไถ่อาการแม่เฒ่าหวังด้วยความเป็นห่วง
แม่เฒ่าหวังครุ่นคิดในใจ ‘ยังมีหน้ามาถามอีกเรอะ กระดูกฉันแทบหักก็เพราะหล่อนนี่แหละ!’
แต่นางยังคงควบคุมสีหน้าเป็นปกติ “ฉันสบายดี ค่อยยังชั่วแล้ว”
ตำรวจหญิงพยักหน้า “ไม่เป็นไรก็ดีแล้วค่ะ รบกวนตามพวกเราไปให้ปากคำที่สถานีตำรวจด้วย”
แม่เฒ่าหวังตอบรับอย่างเสียไม่ได้ พยายามจะลุกขึ้นยืน แต่ทำอย่างไรก็ลุกขึ้นยืนไม่ได้สักที ตำรวจหญิงเองก็จนปัญญาจะช่วยเหลือ
ป้าสองคนมองออกว่าแม่เฒ่าหวังแค่เสแสร้ง จึงแกล้งทำเป็นอาสา “พวกเราไปช่วยยายป้านี่กันเถอะ”
ว่าแล้วทั้งสองก็ช่วยกันฉุดร่างแม่เฒ่าหวังให้ลุกขึ้น คนหนึ่งขนาบซ้าย อีกคนขนาบขวา
จากนั้นกลุ่มคนก็เดินออกไปนอกตัวบ้าน
เจ้าหน้าที่ตำรวจทั้งสองขอบคุณชายหนุ่มผู้ร่าเริงอย่างจริงใจ ก่อนจะขอตัวพาครอบครัวของแม่เฒ่าหวังและป้าอีกสองคนกลับไปที่สถานีตำรวจ
เพื่อนบ้านทุกคนในละแวกนั้นมองมาที่พวกเขาด้วยสายตาแปลกประหลาด จากนั้นก็หันไปกระซิบกระซาบกัน
ทุกคนพอจะคาดเดาได้ว่าครอบครัวนี้ต้องก่ออาชญากรรมอะไรบางอย่างอีกเป็นแน่ เพราะบนข้อมือของพวกเขามีกุญแจมือสีเงินแวววับ
ทั้งพ่อหรงและแม่หรงเป็นคนหน้าบางยิ่งกว่าอะไรดี พยายามสร้างภาพให้เพื่อนบ้านในละแวกเดียวกันเห็นตลอดเวลา ตอนนี้กลับต้องมาใส่กุญแจมือ ทำให้พวกเขาอับอายจนแทบเอาหน้ามุดดิน
เดินกันไปได้ไม่นาน แม่เฒ่าหวังก็เริ่มเรียกร้อง
เพราะเห็นว่านางอายุมากแล้ว เจ้าหน้าที่ตำรวจทั้งสองจึงกลัวว่านางอาจล้มป่วยขึ้นมากลางทาง
ตำรวจหญิงจึงแยกพาแม่เฒ่าหวังไปตรวจร่างกายที่โรงพยาบาลด้วยตัวเอง ปล่อยให้ตำรวจหนุ่มพาคนอื่น ๆ กลับไปที่สถานีตำรวจ
ตำรวจหญิงพาแม่เฒ่าหวังไปส่งโรงพยาบาลผู่จี้ซึ่งอยู่ใกล้ที่สุด
ฟางจั๋วหรานเพิ่งเสร็จจากงานสอนนักศึกษา และรีบกลับมาที่โรงพยาบาล
ขณะที่แม่เฒ่าหวังกำลังคิดไม่ตกว่าตัวเองจะแกล้งป่วยยังไงดี เพื่อที่ตัวเองจะได้ไม่ต้องไปสถานีตำรวจ เมื่อเหลือบไปเห็นฟางจั๋วหราน ก็รู้สึกตื่นตัวขึ้นมาทันใด
สมองพลันลืมไปสนิทว่าพวกเขาไม่ได้มีความสัมพันธ์เกี่ยวข้องกันอีกต่อไปแล้ว นางจึงโก่งคอตะโกนสุดเสียง “จั๋วหราน! จั๋วหราน!”
พอเห็นว่าหญิงชราที่ดูอ่อนแอในตอนแรกเปล่งเสียงตะโกนอย่างสุดกำลัง ตำรวจหญิงก็เหลือบมองตามด้วยสีหน้าซับซ้อน
หล่อนสงสัยว่าความจริงแล้วหญิงชราอาจไม่ได้มีอาการป่วยอะไรเลยด้วยซ้ำ แต่กำลังปั่นหัวตนอยู่ต่างหาก
เมื่อได้ยินเสียงตะโกน ฟางจั๋วหรานก็หันหน้ามองไปตามเสียง เมื่อเห็นว่าคนที่เรียกคือแม่เฒ่าหวัง เขาก็เบือนหน้านี้อย่างเฉยเมย ก่อนจะเดินต่อไปตามทาง
แม่เฒ่าหวังขบกรามแน่นด้วยความเกลียดชัง
ตอนแรกนางกะจะเรียกหาฟางจั๋วหราน แล้วบอกเขาว่าตัวเองรู้สึกไม่ค่อยสบาย
โดยหวังว่าเขาจะยอมให้ความร่วมมือ ขอให้เพื่อนร่วมงานของเขาแกล้งทำเป็นตรวจร่างกายแล้ววินิจฉัยว่านางป่วยหนัก จากนั้นก็ส่งตัวนางไปที่แผนกผู้ป่วยในทันที เพื่อที่นางจะได้รอดพ้นจากการไปสถานีตำรวจ
ส่วนเรื่องหลังจากนี้ นางก็แค่คิดหาทางใหม่ว่าทำอย่างไรตัวเองถึงจะสลัดหลุดจากตำรวจไปได้
แต่หมาป่าตาขาวตัวนั้นไม่แม้แต่จะแยแสนางด้วยซ้ำ นับประสาอะไรกับให้ความร่วมมือในการแสดงละครตบตา
นางจึงทำได้แค่เฝ้ามองร่างของฟางจั๋วหรานที่ค่อย ๆ เดินหายไปจากสายตาของตัวเองเท่านั้น
ในขณะที่แม่เฒ่าหวังกำลังขบเขี้ยวเคี้ยวฟันด้วยความไม่พอใจ ก็ได้ยินตำรวจหญิงถามด้วยน้ำเสียงไม่ไว้ใจ “คุณยายคะ คุณไม่สบายจริง ๆ เหรอ?”
แม่เฒ่าหวังสวนกลับทันควัน “ดูคุณพูดเข้า ถ้าฉันสบายดี แล้วทำไมต้องมาที่โรงพยาบาลแบบนี้ด้วยล่ะ?”
ตำรวจหญิงคิดพลางนิ่งเงียบไป ไม่ได้โต้เถียงกับอีกฝ่าย
ถึงอย่างไรหญิงชราก็จะได้เข้าพบแพทย์เร็ว ๆ นี้แล้ว ไม่ว่าแม่เฒ่าหวังจะป่วยจริงหรือหลอกก็ตาม ความจริงจะเปิดเผยในไม่ช้า
แน่นอนว่าพวกเขาต้องใช้เวลาในการตรวจร่างกายมากกว่าหนึ่งชั่วโมง ในที่สุดคุณหมอก็บอกกับแม่เฒ่าหวังว่าเขาตรวจไม่เจอโรคอะไรที่ผิดปกติเลย
ตำรวจหญิงจงใจถามย้ำ “คุณยายคนนี้ไม่ได้ป่วยไข้อะไรเลยถูกไหมคะ? ถ้าอย่างนั้นทำไมเมื่อกี้นี้หล่อนถึงทำท่าวิงเวียนเหมือนไม่สบายล่ะ?”
ยุคสมัยนี้ ผู้คนส่วนใหญ่ในเมืองแทบไม่ต้องเสียเงินไปกับค่ารักษาพยาบาล
ตราบใดที่สมาชิกในครอบครัวของพวกเขาอย่างน้อยหนึ่งคนทำงานอยู่ในหน่วยงานของรัฐ พวกเขาก็สามารถเบิกค่ารักษาพยาบาลได้อย่างเต็มจำนวนหรือครึ่งหนึ่ง
แต่จะเบิกได้ครึ่งหนึ่งหรือทั้งหมด ขึ้นอยู่กับข้อกำหนดของหน่วยงานเป็นหลัก
สวัสดิการของหน่วยงานรัฐดีมาก สมาชิกในครอบครัวพลอยได้รับการยกเว้นค่ารักษาพยาบาลไปด้วย
แต่ถึงสวัสดิการจะไม่ได้ดีเด่อะไรมาก อย่างน้อยก็ได้รับการยกเว้นกึ่งหนึ่ง
ดังนั้นแพทย์ในยุคนี้จะไม่ทำการรักษาคนไข้จนเกินตัว ส่วนใหญ่ผลการวินิจฉัยค่อนข้างตรงไปตรงมา
คุณหมอมองไปที่ใบหน้าของแม่เฒ่าหวังซึ่งได้รับการดูแลเป็นอย่างดีกว่าหญิงชราคนอื่น ๆ ในวัยเดียวกัน พูดเพียงสองคำ “แกล้งป่วยน่ะสิ”
แม่เฒ่าหวังรู้สึกอับอายขายหน้ามาก ถึงอย่างนั้นก็ยังอยากรักษาใบหน้าของตัวเอง แค่นเสียงตะคอกออกมาด้วยแรงอารมณ์ “ใครแกล้งป่วยกัน ช่วยพูดให้มันชัดเจนหน่อยได้ไหม คุณกล่าวหาว่าใครแกล้งป่วยกันแน่?”
คุณหมอคนนี้ทำงานในโรงพยาบาลขนาดใหญ่ที่มีชื่อเสียงมากที่สุดในภาคกลางของจีน มีเหตุการณ์ไหนบ้างที่เขาไม่เคยเห็นมาก่อน เขาหรือจะกลัวการสร้างปัญหาของหญิงชรา?
เขาเหล่ตามองแม่เฒ่าหวังด้วยความดูถูก “คนที่แกล้งป่วยก็คือคุณยังไงล่ะ ผลการตรวจร่างกายพวกนั้นไม่ทางผิดพลาดแน่!”
แม่เฒ่าหวังคิดจะโวยวายต่อไป แต่ตำรวจหญิงกลับพูดขัดจังหวะอย่างเย็นชา “คุณยายคะ ฉันแนะนำว่าคุณหยุดเสแสร้งสักทีเถอะ การแกล้งป่วยของคุณถือว่าเข้าข่ายขัดขวางการปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่ หรือว่าคุณอยากเพิ่มข้อหาให้ตัวเองอีกสักกระทงคะ?”
ประโยคสุดท้ายของตำรวจหญิงทำให้แม่เฒ่าหวังกลัวจนตัวสั่น ไม่กล้าทำอะไรบุ่มบ่ามอีกต่อไป ยอมเดินตามตำรวจหญิงกลับไปที่สถานีตำรวจเหมือนหมาหงอย
นอกจากหวังหรง ทุกคนในบ้านต่างนั่งเรียงกันหน้าสลอนอยู่ภายในสถานีตำรวจ
เสียงเพลงจากนอกสถานีตำรวจดังเข้ามา…
‘เพื่อนหนุ่มสาว มารวมตัวกัน
พายเรือช้า ๆ สัมผัสสายลมวสันต์อันอบอุ่น
บุปผาหอมกรุ่น วิหคขับขาน ดื่มด่ำช่วงฤดูอันสดใส
เสียงเพลงและเสียงหัวเราะล่องลอยไปยังมวลเมฆ…(1)’
ตำรวจหญิงซึ่งกำลังพาแม่เฒ่าหวังกลับไปที่สถานีตำรวจอดไม่ได้ที่จะหัวเราะออกมา รู้สึกว่าสถานการณ์มันช่างลงล็อกไปหมด
เมื่อรู้สึกตัวว่าถูกเพื่อนร่วมงานรอบข้างหันมามองเป็นตาเดียว หล่อนก็รีบกลืนเสียงหัวเราะกลับลงคอไป
สมาชิกทั้งสามของครอบครัวแม่เฒ่าหวังถูกพาตัวเข้าไปในห้องสอบสวนคนละห้องเพื่อสอบปากคำ
แม่เฒ่าหวังเป็นคนแรกที่สารภาพเพราะอยากได้รับการผ่อนปรนโทษ
นางอ้างว่าตัวเองไม่รู้เรื่องที่ลูกชายกับลูกสะใภ้พิมพ์บัตรกำนัลปลอมเพื่อเอาไปแลกเงินสด
เมื่อเช้านี้ จู่ ๆ ลูกสะใภ้ก็หิ้วเอาบัตรกำนัลถุงใหญ่มามอบให้นาง และขอร้องให้ช่วยเอามันไปซ่อน
นางยังพูดต่อไปว่าตัวเองเป็นแค่หญิงชราที่ไม่มีความรู้ พอได้ยินลูกสะใภ้บอกว่ากระดาษแผ่นเล็ก ๆ พวกนี้สามารถทำเงินได้ จึงยอมช่วยอีกฝ่ายซ่อนพวกมันไว้โดยที่ไม่รู้อะไรเลย
นางไม่รู้ด้วยซ้ำว่ากระดาษพวกนั้นเรียกว่าบัตรกำนัล ไม่รู้ว่ามันเป็นของปลอม จนกระทั่งตำรวจมาตรวจค้นถึงที่บ้าน
ทั้งหมดทั้งมวลก็คือ นางแค่เผลอทำอะไรโง่ ๆ ลงไปโดยที่ตัวเองก็ไม่รู้ตัว
หลังจากแม่เฒ่าหวังพูดจบ นางก็หลั่งน้ำตาด้วยความเสียใจ
ตำรวจที่สอบปากคำแม่เฒ่าหวังคือตำรวจหญิงคนเดิมที่เพิ่งพานางกลับมาที่สถานีตำรวจ
ซึ่งตำรวจหญิงคนนี้เห็นมารยาร้อยเล่มเกวียนของนางจนหมดเปลือกแล้ว
ต่อให้อีกฝ่ายจะเอาแต่ร้องห่มร้องไห้ตลอดเวลา ตำรวจหญิงก็ไม่รู้สึกเห็นใจนางเลยแม้แต่นิด ไม่เชื่อว่านางจะเป็นผู้บริสุทธิ์จริงตามคำกล่าวอ้าง
พ่อหรงและแม่หรงยอมสารภาพในเวลาต่อมา
แม่หรงยอมรับว่าตัวเองเป็นคนบงการเรื่องทั้งหมด
หล่อนเป็นคนสั่งพิมพ์บัตรกำนัลปลอม แล้วว่าจ้างให้ป้า ๆ กลุ่มหนึ่งเอาพวกมันไปขอแลกเงินสดจากร้านUnique อ้างว่าตัวเองไม่ได้มีเจตนาจะทำลายธุรกิจของร้านUniqueแต่อย่างใด
หล่อนแค่รับไม่ได้ที่ร้านเสื้อผ้าUniqueมียอดขายดีกว่าร้านเสื้อผ้าซีม่านที่แฟนของลูกสาวเป็นเจ้าของ จึงวางแผนสร้างปัญหาให้กับร้านUniqueเพื่อระบายความคับแค้นของตัวเองเท่านั้น
ทางด้านพ่อหรงสารภาพว่าแม่หรงเพิ่งจะมาบอกเขาว่าหล่อนสั่งพิมพ์บัตรกำนัลUniqueของปลอมเสร็จก่อนที่ตำรวจจะเข้ามาตรวจค้นบ้านแค่หนึ่งชั่วโมงเท่านั้น
เขาพยายามเกลี้ยกล่อมแม่หรงแล้วว่าให้ล้มเลิกความคิดนี้ซะ อย่าทำอะไรที่ขัดต่อกฎหมาย แต่ตำรวจก็มาเสียก่อน
เขาจึงรีบส่งกล่องเหล็กที่มีบัตรกำนัลอยู่ในนั้นให้กับตำรวจ อ้างว่าตัวเองรู้แค่นั้น
เขาไม่รู้ว่าแม่หรงยังซ่อนบัตรกำนัลปลอมอีกจำนวนหนึ่งไว้ในห้องนอนของแม่ตัวเอง
ถึงแม้ว่าสมาชิกทั้งสามในครอบครัวแม่เฒ่าหวังจะพยายามสารภาพแบบหลีกเลี่ยงโทษร้ายแรงอย่างสุดความสามารถ เหมือนก่อนหน้านี้เตี๊ยมกันมาไม่มีผิด โดยเฉพาะแม่เฒ่าหวังกับพ่อหรงที่เอาแต่ผลักความรับผิดชอบไปที่แม่หรงอย่างชัดเจน
น่าเสียดายที่โชคไม่เข้าข้าง เจ้าหน้าที่ตำรวจไม่ใช่คนโง่เขลา คำสารภาพของทั้งสามคนเต็มไปด้วยช่องโหว่ตั้งแต่วินาทีแรกที่ตำรวจไปตรวจค้นถึงบ้าน จนกระทั่งสิ้นสุดการสอบปากคำ
ด้วยเหตุนี้ ตำรวจจะเชื่อคำสารภาพจากปากพวกเขาได้อย่างไร?
ดังนั้นพวกเขาจึงพยายามเปิดช่องโหว่ที่ว่า แล้วเค้นสอบปากคำทีละคน
หลังจากสอบสวนอย่างเคร่งเครียด แผ่นหลังของทั้งสามก็เปียกโชกไปด้วยเหงื่อเย็นเยียบราวกับเพิ่งคลานขึ้นมาจากสระน้ำ กำแพงในจิตใจของพวกเขาพังทลายลงอย่างสิ้นเชิง จนต้องยอมบอกความจริง
ทั้งหมดเป็นแผนการร่วมกันของพ่อหรงและแม่หรง พวกเขาตั้งใจว่าจะเอาบัตรกำนัลปลอมพวกนี้ไปขอแลกเงินสดจากร้านUnique
แม่เฒ่าหวังไม่รู้เรื่องนี้จริง ๆ จนกระทั่งตำรวจมายืนจ่ออยู่หน้าประตูบ้าน พ่อหรงเห็นว่าสายเกินไปแล้วที่จะทำลายบัตรกำนัลปลอมทิ้ง จึงขอร้องให้ผู้เป็นแม่ช่วยเหลือ
แม่เฒ่าหวังถึงได้รู้เรื่องราวทั้งหมด และช่วยเขาเอาบัตรกำนัลปลอมไปซ่อนไว้ในห้องตัวเอง
ถึงข้อเท็จจริงทุกประการของคดีนี้จะถูกเปิดเผยแล้ว แต่นี่ถือเป็นคดีแรกของประเทศที่เกี่ยวข้องกับการปลอมบัตรกำนัลของร้านค้า ตำรวจจึงยังไม่รู้ว่าควรตัดสินลงโทษอย่างไรดี
แต่ถึงอย่างไรผู้ที่มีอำนาจในการพิจารณาคดีก็ไม่ใช่ตำรวจอยู่แล้ว
หน้าที่ของตำรวจคือตรวจสอบข้อเท็จจริงของคดีเท่านั้น ส่วนการพิจารณาตัดสินโทษเป็นหน้าที่ของศาล
เพราะฉะนั้นทางตำรวจจึงถีบหัวส่งสมาชิกทั้งสามของครอบครัวของแม่เฒ่าหวังขึ้นศาลต่อไป ให้ความปวดหัวตกอยู่กับผู้พิพากษาแทน
………………………………………………………………………………………………………………………….
เนื้อเพลงดังกล่าวมาจากเพลง ‘年轻的朋友来相会’ (เพื่อนหนุ่มสาวมาพบเจอกัน) แต่งขึ้นในปี 1980 เพื่อเฉลิมฉลองบรรยากาศในช่วงแรกของการปฏิรูปและการเปิดประเทศจีน
สารจากผู้แปล
ครอบครัวนี้เกมหมู่แล้วเรียบร้อย ยัยหรงจะรอดไหมเนี่ย
ไหหม่า(海馬)