แม่ปากร้ายยุค 80 - ตอนที่ 477 ประทับตรารัก
ตอนที่ 477 ประทับตรารัก
ตอนเช้า หลินม่ายยังคงตื่นนอนในเวลาหกโมง
หลังจากลุกจากเตียงอาบน้ำสระผมเสร็จแล้ว ก็หยิบหนังสือเรียนออกมาเรียนเหมือนอย่างเคย
เรียนไปได้ไม่นาน ก็ได้ยินเสียงของโจวฉายอวิ๋นคุยกับใครบางคน “ศาสตราจารย์ฟาง คุณมาเช้าจริงๆ !”
จากนั้นก็ตะโกนเข้ามาในห้องของหลินม่าย “ม่ายจื่อ ศาสตราจารย์ฟางมาแล้ว!”
หลินม่ายวางหนังสือลงแล้ววิ่งออกมา ถามอย่างตื่นตะลึง “คุณมาได้ยังไง?”
ในมือของฟางจั๋วหรานถือกระติกเก็บความร้อนใบหนึ่ง มองเธออย่างเอ็นดู “ก็มาดูว่าคุณสบายดีไหมน่ะสิ แล้วก็เอาโจ๊กข้าวเหนียวมาส่งให้คุณด้วยเลย”
หลินม่ายตบหน้าอก “เห็นฉันแข็งแรงมีชีวิตชีวาขนาดนี้ก็รู้แล้วว่าฉันสบายดีมาก”
ฟางจั๋วหรานรีบพูด “อย่าตบ! ห้ามตบเด็ดขาด! มันราบเรียบมากแล้ว ถ้าตบอีกเดี๋ยวก็กลายเป็นไม้กระดานไปจริงๆ หรอก!”
หลินม่ายเข้าใจทันทีว่าฟางจั๋วหรานพูดถึงอะไร เธอพลันหน้าแดงเรื่อ ถลึงตามองเขาด้วยความโกรธปนอาย “คุณต่างหากที่หน้าอกแบน!”
ฟางจั๋วหรานหยิบถ้วยและตะเกียบออกมาจากห้องครัว “ผมเป็นผู้ชาย ไม่ได้มีหน้าที่ให้นมลูกเสียหน่อย หน้าอกจะแบนไม่แบนก็ไม่ใช่ปัญหาใหญ่ ต่อไปคุณให้นมลูก ถ้าคุณอกแบน ลูกน้อยของเราคงจะมีวิกฤติด้านเสบียงอาหารแล้วล่ะ”
หลินม่ายยิ่งหน้าแดงเถือกเข้าไปอีก “ใครอยากจะมีลูกกับคุณกัน~”
ฟางจั๋วหรานวางถ้วยและตะเกียบลงบนโต๊ะอาการ บีบคางบอบบางของเธอแล้วถาม “งั้นคุณอยากมีลูกกับใครล่ะ?”
หลินม่ายตอบไม่ได้
ฟางจั๋วหรานพูดอย่างจริงจัง “เพราะสองวันมานี้ผมไม่ได้ประทับตรารักกับคุณ คุณเลยลืมไปแล้วว่าตัวเองเป็นผู้หญิงของใครใช่ไหม? งั้นตอนนี้ผมจะประทับตราคุณ ให้คุณได้รื้อฟื้นคืนความทรงจำ”
พูดจบ ก็จูบลงบนริมฝีปากของเธอทันที
โจวฉายอวิ๋นกำลังเตรียมอาหารเช้าอยู่ในห้องครัว มาเห็นฉากนี้เข้าคิดก็คิดใจ เร้าใจกันตั้งแต่เช้าขนาดนี้เลยเหรอ?
อุ๊ยตาย ฉันไม่อยู่ตรงนี้ดีกว่า ศาสตราจารย์จะได้ทำอะไรตามใจได้สะดวก
หล่อนย่องออกจากบ้านไปอย่างเงียบเชียบ
หลินม่ายถูกฟางจั๋วหรานจูบจนแดงก่ำไปทั้งหน้า ริมฝีปากบวมเจ่อเล็กน้อย เมื่อนั้นเขาถึงยอมปล่อยเธอ
เขาตักโจ๊กให้เธอถ้วยหนึ่ง ให้เธอกินตอนยังร้อนๆ
โจ๊กข้าวเหนียวที่ฟางจั๋วหรานเอามานั้นไม่ใช่โจ๊กข้าวเหนียวธรรมดา ในนั้นได้ใส่น้ำตาลกรวด เม็ดบัว พุทราและไข่นกพิราบเข้าไปด้วย รสชาติหวานซดอร่อยมาก หลินม่ายกินไปทีเดียวถึงสองถ้วย
ฟางจั๋วหรานเก็บถ้วยชามไปล้างด้วยความพึงพอใจ แล้วจึงจากไป
หลังจากกินอาหารเช้าเสร็จแล้วเรียนต่ออีกครู่หนึ่ง ก็ถึงเวลาเจ็ดโมงแล้ว
หลินม่ายขี่จักรยานไปที่หน้าร้านขายส่งที่ถนนฮั่นเจิ้งของตัวเอง
เธออยากไปดูว่ากิจการร้านขายส่งของบริษัทตนเป็นอย่างไรบ้าง
ร้านขายส่งที่ถนนฮั่นเจิ้งส่วนมากจะเปิดให้บริการกันตั้งแต่ตีห้าครึ่ง เพราะเถ้าแก่เจ้าของร้านในท้องที่และเมืองข้างเคียงจะมาซื้อสินค้ากันตั้งแต่เช้าตรู่ จะได้รีบกลับไปเปิดร้านค้าขาย
ร้านขายส่งจะต้องเปิดร้านตั้งแต่ฟ้ายังไม่สางเพื่อแย่งชิงธุรกิจของกลุ่มเถ้าแก่เหล่านี้
ถนนฮั่นเจิ้งในเวลาเจ็ดโมงครึ่งนั้นมีผู้คนเดินขวักไขว่คับคั่ง มีชีวิตชีวาอย่างยิ่ง
แผงขายอาหารเคลื่อนที่จำนวนมากขายดีถล่มทลาย
โดยเฉพาะร้านแผงลอยขายหมั่นโถวที่คนแน่นขนัดรอบคานหาบเร่
หมั่นโถวนั่นราคาถูกทั้งสุดทั้งยังดับความหิวได้ดีที่สุดอีกด้วย ดังนั้นจึงได้รับความนิยมมากที่สุด
หลินม่ายเห็นแผงขายขนมปังสับแผงหนึ่ง พลันเบียดตัวแทรกเข้าไปอย่างไม่กลัวอันตราย แล้วซื้อขนมปังสับที่เพิ่งอบสดใหม่จากเตามาทั้งชิ้นทันที ทำเอาเจ้าของแผงดีใจอย่างยิ่ง
แม้ว่าตอนเช้าจะขายดิบขายดี แต่ใครเล่าจะไม่อยากขายได้มากๆ
ขนมปังสับเป็นขนมขึ้นชื่ออย่างหนึ่งของเมืองเจียงเฉิง
โดยทำมาจากแป้งที่กึ่งอบกึ่งนึ่งในหม้อ มีทั้งความกรอบของขนมเปี๊ยะทั้งความนุ่มนิ่มของหมั่นโถว
ต้องการกินเท่าไรก็สับออกมาเท่านั้น แล้วชั่งตาชั่งคิดราคาตามน้ำหนัก ดังนั้นจึงเรียกว่าขนมปังสับ
หลินม่ายซื้อขนมปังสับทั้งชิ้นปริมาณอาหารให้ผู้ชายตัวใหญ่ๆ กินได้อย่างน้อย10คน หากเป็นคนธรรมดาก็พอกินได้ถึง15คน
หลินม่ายให้เจ้าของแผงสับขนมปังสับเป็น15ชิ้นเล็ก ใช้กระดาษห่อไว้ แล้ววางไว้ในตะกร้ารถ
ตอนที่เธอขี่จักรยานถามหน้าแผงขายซุปถั่วเขียวของคุณป้ากว่างซี คุณป้าก็โบกมือทักทายเธอด้วยรอยยิ้ม
หลินม่ายเองก็ยิ้มตอบกลับ
เธอเห็นธุรกิจของคุณป้าเงียบเหงา จึงแนะนำให้หล่อนขายอาหารเช้าสักหน่อยในทุกๆ เช้า
คุณป้ากว่างซีพูดอย่างกังวล “ฉันทำอาหารเช้าอะไรไม่เป็นเลย”
“คุณซื้อส่งหมั่นโถวให้คนอื่นมาขายก็ได้ค่ะ ก็แค่ได้กำไรน้อยหน่อยเท่านั้น แต่ก็ดีกว่าไม่มีอะไรขายเลย”
หลินม่ายชี้แนะให้สองสามประโยคแล้วจึงเข็นจักรยานไปจอดไว้ด้านหลังแผงของคุณป้า ก่อนจะเดินเข้าไปในร้านค้าของตตน
ร้านค้าของเธอนั้นเต็มไปด้วยคนที่มาซื้อสินค้าตั้งแต่ด้านในมาจนถึงประตู ไม่มีที่ให้จอดจักรยานได้เลย จึงได้แต่จอดไว้ด้านหลังแผงของคุณป้ากว่างซี
ที่ประตูร้านแขวนภาพโปสเตอร์สวยงามที่หลินม่ายถ่ายเอาไว้ ดึงดูดสายตาได้เป็นอย่างดี
เหรินเป่าจูยืนอยู่บนม้านั่งไม้และกำลังใช้โทรโข่งตะโกนเรียกลูกค้าอย่างสุดความสามารถ
“เสื้อผ้า Unique ลดราคาครั้งใหญ่ฉลองเปิดกิจการ เพียงแค่เข้ามาก็แจกชุดของขวัญเครื่องเขียนทันที เสื้อผ้าแบบเดียวกัน ราคาถูกที่สุด คุณภาพดีที่สุดในถนนฮั่นเจิ้ง เถ้าแก่ทุกท่านที่เดินผ่านไปผ่านมาอย่าพลาดกันนะคะ!”
หลินม่ายอดยิ้มมุมปากไม่ได้
คำโฆษณาพวกนั้นของเหรินเป่าจูล้วนแล้วแต่มุ่งเป้าไปที่ร้านตัวแทนจำหน่ายของซีม่านฝั่งตรงข้ามทั้งสิ้น
เธอหันหน้ามองไปยังร้านตัวแทนของซีม่าน
ช่วงเวลาที่ขายดีที่สุดของวันในถนนฮั่นเจิ้ง แต่ร้านค้าตัวแทนจำหน่ายของซีม่านกลับมีลูกค้าหรอมแหรมเหลือเกิน
ต่อให้ประตูหน้าร้านจะแขวนโคมไฟแดงและโปสเตอร์ที่หวังหรงถ่ายให้กับเสื้อผ้าซีม่านเต็มไปหมด ก็ยากจะปกปิดความจริงที่ว่ามันเงียบเหงาwfh
เถ้าแก่เกาและพนักงานร้านที่แต่งหน้ามาอย่างจัดเต็มสองสามคนของเขา ทั้งหมดต่างมองไปยังประตูร้านค้าขายส่งเสื้อผ้า Unique ของหลินมายที่มาลูกค้าแวะเวียนกันมาอุ่นหนาฝาคั่งด้วยสีหน้าบึ้งตึง
สายตานั้นแทบอยากจะพุ่งเข้าไปทุบประตูร้านค้าขายส่งของเสื้อผ้า Unique เสียเดี๋ยวนั้นถึงจะสมใจ
ขณะหลินม่ายกำลังจะเบียดตัวเข้าไปในร้าน ก็ได้ยินเหรินเป่าจูพูดกับเธอ “ประธานหลิน เมื่อคืนมีคนมาก่อความเสียหายค่ะ”
เพราะใช้โทรโข่งพูด เสียงจึงดังเป็นพิเศษ ทุกๆ คนในบริเวณนั้นล้วนได้ยินกันอย่างชัดเจน ผู้คนต่างมองไปยังเหรินเป่าจูกันหมด
หลินม่ายถาม “มีคนมาก่อความเสียหายได้ยังไงกัน?”
เหรินเป่าจูชี้ไปยังฝาผนังทั้งสองข้างของร้าน และยังคงใช้โทรโข่งพูดด้วยรอยยิ้ม
“ตอนกลางดึกมีคนมาฉีกบทความที่เสื้อผ้าซีม่านฝั่งตรงข้ามลอกเลียนแบบเสื้อผ้า Unique ของพวกเรา รวมทั้งจดหมายขอโทษที่เราแปะไว้ออกหมดเลยค่ะ”
แม้หล่อนจะไม่ได้พูดว่าใครเป็นคนฉีก แต่ใครจะฟังไม่ออกล่ะว่าทางเสื้อผ้าซีม่านนั่นแหละที่ส่งคนมาฉีกไป
นอกเหนือจากซีม่านแล้ว ใครเขาจะสนใจบทความนั้นบนหน้าหนังสือพิมพ์กับจดหมายขอโทษกัน!
เถ้าแก่ที่ซื้อสินค้าเสร็จแล้วจำนวนไม่น้อยมองไปยังร้านตัวแทนของซีม่านหลายครั้งอย่างตั้งใจก่อนจากไป
มองเสียจนเกาจื้อหย่วนและเหล่าพนักงานร้านหน้าแดงเถือกไปถึงหู
หลินม่ายหลุดหัวเราะอยู่ในใจ
เหรินเป่าจูจงใจใช้โทรโข่งพูดสินะ เพราะอยากจะทำให้ซีม่านหน้าแตก
แม้ว่ามันจะร้ายกาจ แต่เธอก็ชอบ
เธอพูดกับเหรินเป่าจูเสียงดัง “ฉีกก็ฉีกไปสิ ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร เราติดใหม่ก็ได้ ฉันซื้อหนังสือพิมพ์ของเมื่อวานมาไม่น้อยเชียวล่ะ”
เกาจื้อหย่วนอยู่ฝั่งตรงข้ามได้ยินก็ตะลึงตาค้าง
เขานึกว่าส่งคนไปฉีกหนังสือพิมพ์ออก แล้วโดนพนักงานของร้านขายส่งของ Unique แค่ก่นด่าต่อว่าเป็นอย่างมากก็จบเรื่องแล้วเสียอีก
ไม่นึกว่าอีกฝ่ายจะยังมีหนังสือพิมพ์อีกมาก หรือตนจะส่งคนไปฉีกมันทุกวันเลยดี?
ดูเหมือนว่า…คงได้แต่ทำแบบนั้นแล้ว
จะให้พ่อค้าต่างถิ่นที่เดินทางมาเห็นแต่เรื่องเสื่อมเสียของซีม่านอยู่ทุกวี่ทุกวันไม่ได้
เดิมทีแล้วทันทีที่ Unique เปิดกิจการ ตั้งแต่เรื่องราคาก็บดขยี้ซีม่านไปแล้ว ยังมีข่าวแย่ๆ พวกนั้นอีก ธุรกิจมีแต่จะยิ่งซบเซาลง
เหรินเป่าจูพูดอย่างเอาจริงเอาจัง “ยังไม่ใช่แค่นั้นนะคะ เขายังสาดอุจจาระใส่ประตูร้านเราด้วยค่ะ แถมยังใช้สีน้ำมันสีแดงเขียนว่าฆ่าคนไร้โทษตัวเบิ้มเริ่มที่ประตูเหล็กม้วนด้วย คงจะกำลังเตือนเราอยู่นะคะ”
หลินม่ายพูดเสียงดัง “โห นี่กำลังทำเป็นพวกอันธพาลงั้นเหรอ? เดี๋ยวฉันจะหาอันธพาลมาหาเรื่องต่อกรเขาด้วยเหมือนกัน ใครกลัวใครกันล่ะ”
เกาจื้อหย่วยยังแสร้งทำเป็นไม่มีอะไรเกิดขึ้น แต่ลูกน้องข้างกายเขากลับเริ่มกลัวขึ้นมา
ถามอย่างเป็นกังวล “เจ้านาย พวกเราเตะโดนแผ่นเหล็กเข้าแล้วหรือเปล่าครับ?”
เกาจื้อหย่วนอยากจะบอกอย่างมากว่ามั่นใจหน่อยสิ เอาไอ้คำว่า “หรือเปล่า” ทิ้งไปเลย เราเตะโดนแผ่นเหล็กเข้าแล้วแน่นอน~
หลินม่ายแทรกตัวเข้าไปในร้าน เห็นว่าเหล่าพนักงานขายต่างก็ยุ่งจนปลีกตัวไม่ได้
โชคดีที่พนักงานขายทั้งหลายล้วนเป็นพนักงานส่งเสริมการขายที่บูธ ต่างก็มีประสบการณ์กันทั้งนั้น หากเป็นมือใหม่ น่ากลัวว่าคงมือไม้พันกันเป็นพัลวันแน่
หลินม่ายวางขนมปังสับไว้บนเคาน์เตอร์เก็บเงิน แล้วกำชับให้เหล่าพนักงานขายผลัดกันกินขนมปังสับ เธอจะช่วยทำแทนพวกเธอให้เอง
เพราะเวลาทำงานนั้นเช้ามาก ไม่ใช่แค่พนักงานขายเท่านั้น แม้แต่เหรินเป่าจูเองก็ยังไม่ได้กินข้าวเช้า
อย่าเห็นว่าก็แค่ขายเสื้อผ้าเชียว แต่การขายส่งกับขายปลีกนั้นมีความแตกต่างกันอย่างมาก
ในการขายปลีก เมื่อลูกค้าเลือกเสื้อผ้าเสร็จและจ่ายเงิน พนักงานขายก็นำสินค้าใส่ถุงพลาสติกหนึ่งใบก็ได้แล้ว
แต่การขายส่งนั้นไม่ได้ง่ายขนาดนั้น ลูกค้าอยากได้เสื้อผ้าแบบไหน ยังต้องลองใส่ให้ลูกค้าเห็นผลลัพธ์ด้วย
ลูกค้าต้องการไซส์ไหนบ้าง ก็จำเป็นต้องรีบไปหามาให้อย่างรวดเร็ว ลูกค้าจ่ายเงินแล้ว ก็เอาเสื้อผ้าที่ลูกค้าซื้อใส่ถุงให้เรียบร้อย ความหนักของงานนั้นเยอะมาก
ดังนั้นทั้งๆ ที่ตอนนี้เพิ่งจะเจ็ดโมงกว่า แต่ท้องของพวกเหรินเป่าจูก็หิวไส้กิ่วตั้งนานแล้ว
ทุกคนหยิบขนมปังกันคนละชิ้น กินไปทำงานไป ไม่มีใครได้พักผ่อนกันเลยสักนิด
ทำงานที่ร้านค้าขายส่งกับทำงานที่บูธขายสินค้า ก็ได้เงินเดือนพื้นฐานบวกกับค่าคอมมิชชั่นเหมือนกัน
เหล่าพนักงานต่างก็กังวลอยากให้ตัวเองขายได้มากๆ สิ้นเดือนจะได้รับค่าคอมมิชชั่นเยอะๆ ใครจะยอมพักกันล่ะ!
หลินม่ายรอจนทุกคนได้กินขนมปังสับกันหมดแล้ว เมื่อนั้นจึงเลิกช่วยขายเสื้อผ้าไป
เธอกำชับกับเหรินเป่าจูให้เลือกผู้จัดการร้านมาดูแลร้านสักคน แล้วปลีกตัวเองออกมา
เธอเป็นรองหัวหน้าโรงงานที่สง่างาม จะเอาแต่จ้องอยู่กับหน้าร้านขายส่งขนาด 1หมู่ 3เฟิน นี้ไม่ได้
เหรินเป่าจูชี้ไปที่พนักงานขายที่ดูมีอายุสักหน่อยคนหนึ่งแล้วพูด “ฉันจัดวางผู้จัดการร้านไว้แล้ว ก็คือพี่จี๋ค่ะ”
พี่จี๋เห็นเหรินเป่าจูกับหลินม่ายต่างก็มองมาที่เธอ ก็ยิ้มพลางผงกหัวให้พวกเธอเล็กน้อย แล้วจึงดูแลต้อนรับลูกค้าต่อ
หลินม่ายถามถึงเรื่องการจัดเวรยามกลางคืนอีกเล็กน้อย
เหรินเป่าจูบอกว่า ติงไห่เฟิงได้จัดเตรียมลูกน้องสองคนและสุนัขพันธุ์หมาป่าหนึ่งตัวผลัดเปลี่ยนเวรยามกลางคืนแล้ว
เมื่อนั้นหลินม่ายจึงพยักหน้าอย่างพอใจ แล้วหยิบขนมปังสับชิ้นหนึ่งเดินจากไป
แม้ว่าตอนเช้าเธอจะกินโจ๊กข้าวเหนียวอันเปี่ยมด้วยความรักที่ฟางจั๋วหรานต้มให้แล้ว แต่ตอนนี้เธอก็ยังกินขนมปังสับอีกสักชิ้นได้ลงอยู่
หลินม่ายกินขนมปังสับพลางเดินไปทางคุณป้ากว่างซี คิดจะซื้อซุปถั่วเขียวเย็นๆ ดื่มสักถ้วย
พลันเห็นบนแผงของคุณป้ากว่างซีวางหมั่นโถวขาวๆ อ้วนๆ เอาไว้กองโต
หลายคนตอนที่ซื้อหมั่นโถว ก็ซื้อซุปถั่วเขียวไปด้วยถ้วยหนึ่ง ธุรกิจเฟื่องฟูอย่างยิ่ง
หลินม่ายจึงไม่ได้ไปประสมโรงซื้อซุปถั่วเขียวด้วย แต่ขี่จักรยานไปที่ถนนเป่าเฉิงถนนแห่งอิเล็กทรอนิกส์ เพื่อจะซื้อเครื่องบันทึกเสียงมือสองสักเครื่อง เก็บไว้ที่ร้านค้าขายส่ง
ตอนที่ไม่มีลูกค้า ก็เปิดเพลงที่เป็นที่นิยมเพื่อดึงดูลูกค้า และยังสามารถทำให้พนักงานร้านได้ผ่อนคลายสักหน่อยด้วย
ตอนที่มีลูกค้า ก็ใช้มันช่วยตะโกนเรียกลูกค้าสักหน่อย
เครื่องบันทึกเสียงไม่ใช่หุ่นยนต์ ไม่สามารถตะโกนด้วยตัวเองได้ ต้องอัดคำพูดเรียกลูกค้าเอาไว้ให้เรียบร้อยก่อนแล้วเปิดเล่นวนซ้ำ ซึ่งงานนี้หลินม่ายตัดสินใจที่จะทำด้วยตัวเอง
………………………………………………………………………………………………………………………….
(1)ขนมปังสับ เป็นขนมจากแป้งแบบกึ่งอบกึ่งนึ่งในหม้อ สัมผัสกรอบนอกนุ่มใน มักทำเป็นชิ้นใหญ่ๆ แล้วค่อยสับออกมาเท่าที่ต้องการจะกินจึงเรียกว่า ขนมปังสับ
สารจากผู้แปล
พี่หมอแรงมาก บอกว่าขนาดของหลินม่ายเป็นไม้กระดาน ปริมาณน้ำนมมันไม่ได้ขึ้นอยู่กับความใหญ่ของหน้าอกนะคะพี่
ตอนนี้ผู้แปลอิ่มอาหารหมามากเลยค่ะ ใครชวนกินข้าวคงกินไม่ลงแล้วล่ะ
ไหหม่า(海馬)