CatNovel
  • หน้าหลัก
  • นิยายทั้งหมด
Advanced
  • หน้าหลัก
  • นิยายทั้งหมด
  • โดจิน
  • นิยายทั้งหมด
  • จบแล้ว
  • นิยายวาย Yaoi
ตอนก่อน
ตอนต่อไป
สล็อตเว็บตรง

แม่ปากร้ายยุค​ 80 - ตอนที่ 495 พ่อหรงและแม่หรงถูกตัดสินจำคุก

  1. Home
  2. แม่ปากร้ายยุค​ 80
  3. ตอนที่ 495 พ่อหรงและแม่หรงถูกตัดสินจำคุก
ตอนก่อน
ตอนต่อไป

ตอนที่ 495 พ่อหรงและแม่หรงถูกตัดสินจำคุก

ไม่กี่วันผ่านไปในชั่วพริบตา

สองสามวันที่ผ่านมาไม่ค่อยมีเหตุการณ์อะไรเกิดขึ้น แต่ก็ไม่อาจพูดได้เต็มปากว่าไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงเลย

อย่างแรกคือบทสัมภาษณ์ของนักข่าวทุกสำนักพิมพ์บนหน้าหนังสือพิมพ์เกี่ยวกับการที่บริษัทUniqueบริจาคสิ่งของให้กับสถานเลี้ยงเด็กกำพร้าในช่วงเทศกาลไหว้พระจันทร์

มนุษย์ควรมีปากนุ่ม แต่มีมือสั้น(1)

นักข่าวเหล่านั้นล้วนชื่นชมการกระทำที่ดีของหลินม่าย แถมยังยกย่องเธอราวกับไม่มีสิ่งใดบนท้องฟ้าหรือสิ่งไหนบนโลกเทียบเคียงได้

หลินม่ายอดสงสัยไม่ได้ ว่าคุณหลินที่ถูกพูดถึงโดยนักข่าวเหล่านั้นกับตัวเธอเป็นคนเดียวกันรึเปล่า

ฉู่เป้าเป็นฝ่ายตั้งชื่อให้กับงานการกุศลที่จัดขึ้นโดยUnique โดยตั้งชื่อของงานดังกล่าวอย่างติดหูว่า ‘กิจกรรมส่งมอบความรักต้อนรับวันชาติ’

ผู้จัดการของสำนักหนังสือพิมพ์ฉู่เป้าให้ความสำคัญอย่างยิ่งกับกิจกรรมนี้ เฉพาะการเผยแพร่ข่าวกิจกรรมในหน้าสุดท้ายของหนังสือพิมพ์ก็กินพื้นที่ไปกว่าครึ่งหนึ่งหน้า นอกจากนี้ พวกเขายังตามหาครอบครัวยากจนกว่าห้าสิบครัวเรือนจากทั่วทั้งเมืองด้วยการประโคมข่าวว่าทางUniqueมีเงินสนับสนุนให้แต่ละครัวเรือนมากถึงหนึ่งร้อยหยวน

ทำให้ในตอนนี้ผู้คนต่างแห่แหนกันมาที่สำนักหนังสือพิมพ์ฉู่เป้าเพื่อลงทะเบียนมากจนเกือบเต็มพื้นที่ของสำนักงาน

บางครอบครัวที่ยากจนมาลงทะเบียนด้วยตนเอง บางครอบครัวก็มีญาติ ๆ หรือเพื่อนฝูงมาช่วยลงทะเบียน

สำนักหนังสือพิมพ์ฉู่เป้าคอยติดตามและรายงานผลเกี่ยวกับกิจกรรมการกุศลนี้ ทำให้ยอดขายของหนังสือพิมพ์ยังคงเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง จนทำลายสถิติเดิม

หัวหน้าของหนิวลี่ลี่รู้สึกยินดีเป็นอย่างยิ่ง และชื่นชมหล่อนมาก ๆ

หลินม่ายเองก็มีความสุขมากเช่นกัน

แถมงานการกุศลในครั้งนี้ ยังสร้างชื่อเสียงให้กับUniqueเพิ่มขึ้นอีกด้วย

เมืองเจียงเฉิงในอดีต มีเพียงหญิงสาวที่ทันสมัยเท่านั้นที่คุ้นเคยกับแบรนด์Uniqueเป็นอย่างดี แต่ตอนนี้อาจพูดได้ว่ากลายเป็นแบรนด์ที่ใช้ในครัวเรือนทั่วไปแล้ว

ตราบใดที่มีคนพูดถึงสามคำว่า แบรนด์Unique แม้แต่ผู้หญิงวัยหกสิบก็ยังบอกเป็นเสียงเดียวกันว่า Uniqueเป็นบริษัทที่ทำการกุศลอันยิ่งใหญ่

ชื่อเสียงของUniqueโด่งดังขึ้นกว่าเดิม แถมยอดขายยังเพิ่มขึ้นในระดับที่สูงมากอีกด้วย

ไม่ว่ากรณีใด ๆ ก็ตาม แบรนด์Uniqueได้รับผลตอบรับที่น่าพึงพอใจมากทีเดียว

เรื่องต่อมา เกาจื้อหย่วนขนเสื้อผ้าทั้งหมดไปคืนให้กับกวนหย่งหัวในช่วงบ่าย เพราะเขาสัญญากับหลินม่ายไว้ว่าตัวเองจะยุติความร่วมมือทางการค้ากับกวนหย่งหัวทันที

กวนหย่งหัวได้ขอให้สำนักหนังสือพิมพ์ทั้งรายใหญ่และรายย่อยเขียนบทความที่ทำให้หลินม่ายเสื่อมเสียชื่อเสียง

ใจความหลักคือกล่าวหาว่าการที่เธอยื่นฟ้ององค์กรซึ่งได้รับทุนสนับสนุนจากฮ่องกง แค่ทำไปเพื่อโฆษณาชวนเชื่อและเรียกร้องค่าชดเชยเท่านั้น

สิ่งที่เธอทำได้ส่งผลกระทบอย่างมหาศาล ทำลายความเชื่อมั่นในการลงทุนของชาวต่างชาติ ดังนั้นจุดประสงค์การฟ้องร้องของเธอจึงกลายเป็นสิ่งที่อีกฝ่ายยอมรับไม่ได้

อย่างไรก็ตาม ในวันที่บทความตีพิมพ์ลงหนังสือพิมพ์ หน้าหนึ่งของหนังสือพิมพ์หลายฉบับที่มียอดขายเป็นอันดับต้น ๆ ของเจียงเฉิงก็ได้ตีพิมพ์ข่าวความตั้งใจของหลินม่ายที่จะนำเงินอีกห้าพันหยวนซึ่งเป็นค่าเสียหายที่ได้รับจากกวนหย่งหัวไปบริจาคเพื่อการกุศลต่อไป ทำให้ใบหน้าของอีกฝ่ายถึงกับบวมปูด

สำนักหนังสือพิมพ์ที่ช่วยประโคมข่าวเสื่อมเสียของหลินม่ายถูกปิดตัวลงทันที เนื่องจากรายงานข่าวเท็จ

กวนหย่งหัวโมโหจนจุกอก แถมตอนนี้เกาจื้อหย่วนยังมายกเลิกสัญญาทางการค้ากับเขาอีกคน เรื่องนี้ทำให้เขาโกรธมากจนแทบจะกระอักเลือดออกมา แต่ก็ทำอะไรไม่ได้เลย

คนอย่างเกาจื้อหย่วนเปรียบเหมือนงูเจ้าถิ่น มังกรที่แข็งแกร่งอย่างเขาไม่สามารถเอาชนะงูเจ้าถิ่นอย่างเกาจื้อหย่วนได้เลย

นอกเหนือจากเหตุการณ์ทั้งสองนี้ เคอจื่อฉิงยังโทรมาถามหลินม่ายอีกครั้งว่าก่อนหน้านี้เกิดเรื่องอะไรขึ้น

เพราะเจ้าหน้าที่ตำรวจในเขตเจียงเฉิงประสานงานให้เจ้าหน้าที่ตำรวจเขตกว่างโจวไปที่กรมศุลกากรเพื่อตรวจสอบ ทำให้หัวหน้าสือและหล่อนถูกสอบปากคำ

หลินม่ายรู้สึกละอายใจมาก รีบอธิบายให้เคอจื่อฉิงฟังว่ามีผู้ไม่ประสงค์ดีบางคนไปร้องเรียนเธอด้วยเจตนามุ่งร้าย กล่าวหาว่าเธอทำการค้าเก็งกำไรและขายสินค้าหนีภาษี

เธอเป็นต้นเหตุที่ทำให้เคอจื่อฉิงและหัวหน้าสือถูกสอบสวน จึงรู้สึกเสียใจอย่างสุดซึ้ง

ก่อนหน้านี้เธอไม่ทันคิดถึงเรื่องนี้เลย

เธอลืมไปสนิทว่าหลังจากเจ้าหน้าที่ตำรวจสืบทราบว่าอาหารแปรรูปนำเข้าเช่นไวน์จากต่างประเทศในโกดังของเธอถูกซื้อมาจากไหน พวกเขาจะต้องไปตรวจสอบข้อเท็จจริงที่ด่านศุลกากรในกว่างโจวอย่างแน่นอน

ซึ่งเธอก็ควรโทรแจ้งเคอจื่อฉิงไว้ก่อน แล้วเล่าเรื่องทั้งหมดให้อีกฝ่ายฟัง เพื่อที่เธอกับหัวหน้าสือจะได้เตรียมตั้งรับได้อย่างไม่ตื่นตระหนก

อย่างน้อยพวกเขาจะได้ไม่มีท่าทางมึนงงเมื่อถูกเจ้าหน้าที่ตำรวจเข้ามาสอบปากคำ

ทุกวันนี้แทบไม่มีใครไม่กลัวการบังคับใช้กฎหมายอย่างเข้มงวด ยิ่งเป็นเจ้าพนักงานของรัฐก็ยิ่งกลัวเข้าไปใหญ่ เธอเกรงว่าเคอจื่อฉิงและหัวหน้าสือคงขวัญหนีดีฝ่อไปแล้ว

เคอจื่อฉิงบอกว่า “เธอไม่จำเป็นต้องขอโทษหรอก เจ้าหน้าที่ตำรวจไม่ได้ทำอะไรพวกเราเลย แค่มาสอบถามพวกเราว่าเธอซื้อสินค้าอะไรไปจากโกดังด่านศุลกากรบ้าง และซื้อไปตั้งแต่เมื่อไหร่ หลังจากถามคำถามอยู่พักหนึ่ง เขาก็ปล่อยพวกเราไป ไม่ต้องกังวลเกินไปนะ”

“แต่ฉันก็ยังรู้สึกผิดอยู่ดี ถ้างั้นฉันจะไม่เกรงใจคุณแล้วนะ ช่วยเอาเงินใส่ซองแดงไปให้หัวหน้าสือจำนวนหนึ่งพันหยวนเป็นการปลอบขวัญหล่อนหน่อยแล้วกัน”

หลังจากวันชาติผ่านพ้นไป กรมศุลกากรจะถูกปฏิรูประบบใหม่ เธอจึงไม่จำเป็นต้องติดต่อกับหัวหน้าสืออีกต่อไป ดังนั้นเงินปลอบขวัญหนึ่งพันหยวนนี้แทบไม่สำคัญอะไรเลย

แต่หลินม่ายไม่ใช่คนที่ข้ามแม่น้ำได้แล้วก็รื้อสะพานทิ้ง(2)

ยิ่งไปกว่านั้น ภูเขาและแม่น้ำก็มีวันมาบรรจบกัน(3) เธอไม่ควรตัดรอนความสัมพันธ์เสียทีเดียว เพราะถ้าอีกหน่อยเธอต้องการความช่วยเหลือจากหัวหน้าสืออีก อีกฝ่ายอาจไม่ยินดีช่วย

เคอจื่อฉิงตอบรับด้วยน้ำเสียงสดใส ถามว่า “เธอรู้ไหมว่าผู้ไม่ประสงค์ดีที่ไปร้องเรียนเป็นใคร?”

หลินม่ายสงสัยว่าอาจเป็นฝีมือหวังหรง แต่ก็อาจเป็นฝีมือของผู้ประกอบการทั้งรายใหญ่และรายเล็ก หรือแม้แต่ผู้ที่ทำธุรกิจในตลาดมืดก็เป็นไปได้

สุดท้าย การดำรงอยู่ของตลาดสดฝูตัวตัว อาจไปเตะเค้กของใครบางคน(4)เข้า

หลินม่ายตอบกลับ “ฉันก็ไม่รู้เหมือนกัน”

เคอจื่อฉิงรู้สึกเห็นอกเห็นใจ “คราวนี้เธอโชคร้ายจริง ๆ”

…

ในที่สุดก็ถึงวันตัดสินโทษของพ่อหรงและแม่หรง

ศาลพิพากษาว่า สามีภรรยาคู่นี้ทำการปลอมแปลงบัตรกำนัลUnique ซึ่งถือว่าเป็นการก่ออาชญากรรมในข้อหาปลอมแปลงสิ่งของที่มีมูลค่า

อีกทั้งการพยายามว่าจ้างให้ผู้อื่นใช้บัตรกำนัลปลอม ถือเป็นความผิดฐานพยายามฉ้อโกงอย่างชัดเจน

เนื่องจากคดีนี้เกี่ยวข้องกับเงินจำนวนมหาศาล แถมยังสร้างผลกระทบทางสังคมที่เลวร้าย บทลงโทษข้อหาร่วมกันก่ออาชญากรรมของสองสามีภรรยาคู่นี้ จึงถูกตัดสินให้จำคุกคนละสิบห้าปี

ข่าวดังกล่าวถูกตีพิมพ์ขึ้นหน้าหนึ่งของหนังสือพิมพ์ทุกฉบับในวันนั้น

นี่ถือเป็นคดีแรกที่เกี่ยวข้องกับการปลอมแปลงเอกสารมีมูลค่ารวมถึงการใช้บัตรกำนัลปลอม นับตั้งแต่มีการก่อตั้งสาธารณรัฐประชาชนจีนมา สร้างความปั่นป่วนให้ทางสังคมไม่น้อยเลย

แม้กวนหย่งหัวพยายามทำตัวเองไม่ให้มีส่วนเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ แต่ก็ยังถูกโยงมาเกี่ยวข้องอยู่ดี

เนื่องจากคำสารภาพของสองสามีภรรยาที่สถานีตำรวจได้ให้การว่า พวกเขาตั้งใจว่าจะชักชวนให้คนอื่นเอาบัตรกำนัลปลอมไปใช้ ซึ่งที่ทำไปทั้งหมดก็เพื่อผลประโยชน์ของกวนหย่งหัวหรือว่าที่ลูกเขยของพวกเขานั่นเอง

แม้พวกเขาจะไม่ยอมสารภาพความจริงทั้งหมด แต่ก็ยังเปิดเผยข้อมูลเพิ่มว่ากวนหย่งหัวเองก็ยอมรับในวิธีการนี้ แถมยังให้เงินจำนวนหนึ่งแก่พวกเขาสำหรับใช้พิมพ์บัตรกำนัลปลอมด้วย

ไม่ว่าจะยังไงก็ตาม คนทั่วไปต่างเชื่อว่ากวนหย่งหัวต้องเป็นผู้ที่อยู่เบื้องหลังเหตุการณ์ทั้งหมด ส่วนพ่อแม่ของหวังหรงเป็นแค่ผู้สนับสนุนเท่านั้น

แต่ตำรวจไม่สามารถนำตัวเขาเข้าสู่กระบวนการยุติธรรมได้ เพราะไม่มีหลักฐานชัดเจนว่าเขาก่ออาชญากรรม

ถึงอย่างนั้นข่าวลือเกี่ยวกับการคาดเดาความจริงในเรื่องนี้ก็แพร่สะพัดไปในวงกว้าง

แม้กวนหย่งหัวต้องการจะลบล้างข่าวลือแค่ไหน แต่ก็ไม่สามารถจัดการอะไรได้เลย

เขาได้แต่นั่งเกลียดความโง่เขลาของพ่อแม่หวังหรงอยู่ในใจ

ผัวเมียคู่นี้ หลีกเลี่ยงจากเรื่องเสี่ยงคุกเสี่ยงตารางเลยไม่ได้หรือยังไงกัน?

ทำไมพวกเขาไม่บอกว่าตัวเองโลภเห็นแก่เงินเสียเองล่ะ ถึงได้คิดพิมพ์บัตรกำนัลUniqueของปลอมแล้วเอาไปแลกเป็นเงินสด เพื่อที่ตัวเองจะได้รับโชคลาภ

ทำไมต้องให้การพาดพิงมาถึงเขาด้วย?

ต้องบอกว่าสำหรับเขาแล้ว นี่มันไม่ใช่สิ่งที่เขาคาดหวังเอาไว้เลย!

สองวันต่อมา ในที่สุดตำรวจก็ตรวจสอบจนได้ข้อสรุปว่าคดีลักลอบขายสินค้าหนีภาษีและทำการค้าเก็งกำไรของหลินม่ายเป็นเรื่องใส่ร้ายเท่านั้น ตอนนี้เธอพ้นผิด ได้รับความบริสุทธิ์แล้ว

พอหวังเหวินฟางรู้ข่าว หล่อนก็โกรธมากจนแทบขาดใจตาย

ทำไมการกำจัดนังสารเลวนี่ถึงได้ยากเย็นแบบนี้นะ!

ตอนเที่ยงวันเดียวกันกับที่ตำรวจประกาศผลว่าหลินม่ายเป็นผู้บริสุทธิ์ เถาจืออวิ๋นก็กลับมาพร้อมกับหญิงสาววัยยี่สิบคนหนึ่ง

หลินม่ายแปลกใจเล็กน้อย

เธอให้อีกฝ่ายไปที่สตูดิโอภาพยนตร์ เพื่อว่าจ้างช่างทำอุปกรณ์ประกอบฉากที่เชี่ยวชาญการออกแบบเครื่องประดับที่เกษียณอายุแล้วไม่ใช่เหรอ แล้วทำไมเธอถึงพาหญิงสาวคนนี้กลับมาล่ะ?

เมื่อถึงช่วงพักรับประทานอาหารกลางวันของโรงงาน เถาจืออวิ๋นจึงขอให้เสิ่นเสี่ยวผิงพาหญิงสาวไปกินข้าวมื้อกลางวันกับพนักงานคนอื่น ๆ ในโรงงานด้วย

หลังจากนั้นก็มาที่ห้องทำงานของหลินม่าย แล้วอธิบายให้เธอฟังว่าทำไมตัวเองถึงได้พาผู้หญิงคนนี้กลับมา

หลังจากหลินม่ายมอบหมายงานให้ หล่อนก็ออกเดินทางไปที่เซี่ยงไฮ้ในวันรุ่งขึ้น

พอมาถึงเซี่ยงไฮ้และจองโรงแรมเสร็จเรียบร้อยแล้ว ก็รีบตรงดิ่งไปที่สตูดิโอภาพยนตร์เซี่ยงไฮ้ทันที

เนื่องจากหล่อนเป็นคนนอก พนักงานต้อนรับส่วนหน้าจึงไม่อนุญาตให้หล่อนเข้าไป

เถาจืออวิ๋นจึงรีบยัดซองบุหรี่หยุนเหยียนที่เตรียมไว้ล่วงหน้าซึ่งมีมูลค่าไม่กี่หยวนให้เขา ดังนั้นพนักงานต้อนรับส่วนหน้าจึงยอมปล่อยให้หล่อนเข้าไป

แต่แล้วหล่อนก็ต้องเผชิญความท้าทายอีกครั้งในการขอเข้าพบหัวหน้าฝ่ายบุคคล

หลังจากได้รับซองอั่งเปาแล้ว หัวหน้าฝ่ายบุคคลกลับดูเฉยเมยกว่าที่คิด

โชคดีที่ทัศนคติของอีกฝ่ายไม่ได้ย่ำแย่จนเกินไป

พอเงินมางานก็เดิน เขาจึงช่วยแนะนำช่างทำพร็อพที่เกษียณอายุแล้วแต่มีฝีมือยอดเยี่ยมหลายคนให้กับหล่อน

แต่เมื่อช่างทำพร็อพฝีมือดีซึ่งเกษียณอายุแล้วเหล่านั้นได้ยินว่าพวกเขาต้องเดินทางไปทำงานที่เจียงเฉิง ทุกคนต่างก็ปฏิเสธอย่างรวดเร็ว

พอเล่ามาถึงตรงนี้ เถาจืออวิ๋นก็อดน้อยเนื้อต่ำใจไม่ได้ “ถึงเจียงเฉิงกับเซี่ยงไฮ้จะอยู่ห่างกันมาก แต่ก่อนจะถึงยุคปฏิรูป เมืองต้าเจียงและมหานครเซี่ยงไฮ้ต่างก็เป็นสถานที่เพียงสองแห่งจากทั้งประเทศที่เรียกได้ว่าเป็น ‘เมืองใหญ่’ ช่างทำพร็อพพวกนั้นไม่ควรดูถูกเจียงเฉิงแบบนี้ ถึงขั้นไม่ยอมมาทำงานที่เจียงเฉิงด้วยซ้ำ…”

หลินม่ายโบกมือ “อย่าไปว่าพวกเขาเลย ต่อให้ตอนนี้พี่เรียกเจียงเฉิงว่า ‘เมืองต้าเจียง’ พี่ก็ถูกคนเมืองอื่นหัวเราะเยาะเหมือนกันนั่นแหละ ต่างจากมหานครเซี่ยงไฮ้ที่ยิ่งใหญ่สมชื่อ คนแก่ก็มีนิสัยแบบคนแก่อยู่วันยังค่ำ ตราบใดที่เมืองของเราล้าหลังกว่า พวกเขาก็จะถือว่าตัวเองเหนือกว่า ดังนั้นพวกเขาจึงมีสิทธิ์ดูถูกเรา ก็เหมือนกับพวกนักเรียนหัวสูงที่เหยียดคนไม่มีการศึกษานั่นแหละ ทำเหมือนกับตัวเองไม่มีด้านมืดใด ๆ แต่ฉันไม่เชื่อหรอกว่าไม่มีเมืองไหนที่ไม่ประสบปัญหาซะเลย อีกด้านหนึ่งของเซี่ยงไฮ้ก็อาจจะเผชิญมรสุมบางอย่างอยู่เช่นกัน แต่เพราะได้รับการสนับสนุนจากหลายฝ่าย เขาเลยพัฒนาเร็วกว่าเมืองอื่น”

หลินม่ายมีความเข้าใจอย่างลึกซึ้งเกี่ยวกับเรื่องนี้ เพราะในชาติที่แล้วเธอเห็นมาทุกรูปแบบ

เมื่อเมืองหนึ่งต้องการความช่วยเหลือ เมืองอื่น ๆ ต่างก็ยื่นมือเข้าช่วย

ยิ่งประเทศใหญ่แค่ไหน เมืองก็ยิ่งเยอะเท่านั้น

เปรียบเทียบกับแม่ที่มีลูกหลายคน เป็นธรรมดาที่ลูก ๆ มักจะทะเลาะเบาะแว้ง หรือไม่ชอบหน้ากันเอง

แต่เมื่อใดก็ตามที่ลูกคนไหนประสบกับช่วงเวลาวิกฤต เช่นเดียวกันกับเมืองต่าง ๆ ในจีนแผ่นดินใหญ่ ความขัดแย้งทั้งหมดจะถูกทิ้งไว้เบื้องหลังก่อน ทุกคนจะร่วมมือแก้ปัญหาด้วยกัน

หลินม่ายตบไหล่เถาจืออวิ๋น “ถ้าพี่อยากให้ชาวมหานครเซี่ยงไฮ้ผู้สูงส่งไม่ดูถูกเมืองของเราอีกต่อไป งั้นพวกเราก็ต้องพยายามให้มากขึ้น!”

เถาจืออวิ๋นพยักหน้าด้วยความเข้าใจ จากนั้นก็พูดต่อ “พอฉันไม่สามารถว่าจ้างช่างทำพร็อพฝีมือดีที่เกษียณอายุแล้วมาทำงานได้ ฉันก็เลยไปที่สตูดิโอภาพยนตร์ปายี่เพื่อตามหาพวกเขาอีกครั้ง แต่แล้วเหมิงตานก็เดินเข้ามาหาฉัน บอกว่าหล่อนสนใจจะมาทำงานเป็นนักออกแบบเครื่องประดับให้ไป๋เหอ”

หล่อนอธิบายเสริม “เหมิงตานก็คือผู้หญิงคนที่ฉันพากลับมาด้วยกัน”

จากนั้นเถาจืออวิ๋นก็หยิบเครื่องประดับมากมายออกมาจากกระเป๋าแล้ววางไว้บนโต๊ะ

หลินม่ายเห็นว่าพวกมันเป็นแหวน และสร้อยแทบทุกชนิดที่ใช้เป็นเครื่องแต่งกายของนักแสดง รวมถึงเครื่องประดับต่าง ๆ ที่สาวสังคมในภาพยนตร์ยุคสาธารณรัฐจีนสวมใส่ ทุกชิ้นวิจิตรงดงามมาก

เถาจืออวิ๋นบอกว่า “เครื่องประดับพวกนี้เป็นฝีมือของเหมิงตานทั้งหมด ฉันคิดว่าฝีมือหล่อนไม่ได้เลวร้ายไปกว่าช่างทำพร็อพมากประสบการณ์เหล่านั้นเลย แถมหล่อนยังสนใจทำงานกับแบรนด์ไป๋เหอของเรา ก็เลยพาหล่อนกลับมาด้วย”

หลินม่ายถามด้วยความประหลาดใจ “ทำไมหล่อนถึงยอมลาออกจากงานเดิมแล้วตามพี่มาที่เจียงเฉิงง่าย ๆ ล่ะ? พี่ไม่ได้จูงใจอะไรเธอเป็นพิเศษเลยเหรอ?”

ยุคสมัยนี้ ผู้คนส่วนใหญ่ค่อนข้างอ่อนไหวกับการเปลี่ยนงานมาก

การมีงานประจำทำหมายความว่าคนคนนั้นมีงานที่มั่นคง ต่อให้ถูกบริษัทกดขี่ แต่ก็ดีกว่ากลายเป็นคนว่างงาน

ในขณะที่คนไม่มีงานประจำทำจะถูกตัดสินว่าไม่มีอาชีพเป็นชิ้นเป็นอัน ลูกจ้างชั่วคราวมีสถานะต่ำกว่าลูกจ้างประจำไปครึ่งต่อครึ่ง

ที่สำคัญ อาชีพยังเป็นปัจจัยในการเลือกนัดบอดอีกด้วย

ดังนั้นจึงมีน้อยคนมากที่ยอมเสี่ยงลาออกจากงานประจำเดิมที่มั่นคง เพื่อมาทำงานในสถานประกอบการของเอกชนแทน

หลินม่ายสัมผัสได้ถึงความไม่สมเหตุสมผล จึงระมัดระวังเป็นพิเศษ

“เฮ้อ! เธอนี่ระแวงอะไรเกินไปแล้ว!” คำพูดของเถาจืออวิ๋นทำให้หลินม่ายถึงกับพูดไม่ออก

หลังจากพูดคุยกันเป็นเวลานาน หล่อนก็เริ่มรู้สึกกระหายน้ำเล็กน้อย จึงรินชาให้ตัวเองแล้วพูดต่อ

“เหมิงตานไม่ถูกบรรจุเป็นพนักงานประจำซะที ทั้ง ๆ ที่ทำงานหนักที่สุดในกองถ่าย แต่กลับได้รับค่าจ้างต่ำที่สุด พร็อพและเครื่องประดับที่หล่อนทำก็ถูกช่างแก่ประสบการณ์พวกนั้นเอาเครดิตไปหมด หล่อนไม่ได้อยากทำงานที่นั่นไปอีกนานอยู่แล้ว พอได้ยินว่าฉันเสนอค่าตอบแทนสูง สวัสดิการหรือก็ไม่เลว เลยตัดสินใจลาออกจากงานแล้วตามฉันกลับมาที่เจียงเฉิงทันที”

หลินม่ายพยักหน้า “ขอบคุณสำหรับการทำงานหนักของพี่ ตั้งแต่วันพรุ่งนี้เป็นต้นไป ฉันจะให้พี่ลาหยุดได้สามวัน หลังจากเหมิงตานกินข้าวกลางวันเสร็จเมื่อไหร่ พี่มอบหมายงานของหล่อนให้ผู้จัดการโรงงานได้เลย”

ช่วงนี้เธอยุ่งมาก เคอจื่อฉิงฝากส่งสินค้าจากโกดังกรมศุลกากรให้เธอตั้งแต่หลายวันที่แล้ว และทางสถานีเพิ่งโทรมาแจ้งให้เธอไปรับสินค้า ดังนั้นหลังมื้อกลางวันเธอจะต้องเดินทางไปรับสินค้าทันที

……………………………………………………………………………………………………………..

มนุษย์ควรมีปากนุ่ม แต่มีมือสั้น เป็นคำเปรียบเปรยถึงการได้รับผลประโยชน์จากผู้อื่น อย่างเช่นเมื่อรับของจากใคร ภายหลังจะต้องทำตามสิ่งที่อีกฝ่ายขอ แม้มันจะยากก็ตาม

ข้ามแม่น้ำได้แล้วก็รื้อสะพานทิ้ง หมายความว่า ได้รับผลประโยชน์แล้วก็ถีบหัวส่ง

ภูเขาและแม่น้ำไหลมาบรรจบกัน หมายถึง ไม่ควรไปมีเรื่องกับใครในระหว่างทางขึ้น เพราะคุณจะต้องเจอพวกเขาระหว่างทางลง

เตะเค้กของใครบางคน หมายถึง การไปยุ่งกับผลประโยชน์ของคนอื่น

สารจากผู้แปล

โดนจำคุกไปอีกนานเลยล่ะ บ้านสกุลหวังจะอยู่กันยังไงล่ะทีนี้

ไหหม่า(海馬)

ตอนก่อน
ตอนต่อไป

ความคิดเห็นทั้งหมดของ "ตอนที่ 495 พ่อหรงและแม่หรงถูกตัดสินจำคุก"

ใส่ความเห็น ยกเลิกการตอบ

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

*

*

  • อ่านนิยาย
  • แทงหวย24

© 2020 cat-novel.com
เว็บอ่านนิยาย นิยาย pdf เว็บ “cat-novel.com” เว็บอ่านนิยายสนุกๆ เพลิดเพลินไปกับนิยายต่างๆ ไม่ว่าจะเป็น นิยายวาย, นิยายจีน, นิยายรัก, แฟนตาซี, กำลังภายใน, ผจญภัย สุดยอดวิชากำลังภายใน อัพเดททุกวัน พร้อมรองรับการอ่านบนมือถือ คอมพิวเตอร์ ไอแพด หรือแท็บเล็ต อ่านได้ตลอดเวลา ไม่มีโฆษณา อ่านนิยายฟรีต้อง เว็บ ”cat-novel.com”
นิยาย อ่านนิยาย นิยาย pdf นิยายวาย อ่านนิยายฟรี นิยายออนไลน์