แม่ปากร้ายยุค 80 - ตอนที่ 50 สถานการณ์บนโต๊ะอาหาร
ตอนที่ 50 สถานการณ์บนโต๊ะอาหาร
ภายในห้องโถง หวังหรงกลอกตาและหันไปพูดกับจั๋วหรานว่า “เพราะมีคนนอกอยู่ คุณลุงกับคุณป้าเลยไม่อยากรอกินอาหารหรือเปล่าคะ?”
“เธอชื่อหลินม่ายสินะ ทำไมถึงมาอาศัยอยู่บ้านคนอื่นในช่วงปีใหม่ล่ะ ไม่รู้จักเกรงใจกันบ้างเลย!”
ฟางจั๋วหรานเหลือบมองเธอด้วยสาตาเย็นชา “คุณปู่กับคุณย่าเป็นคนชวนแม่ลูกคู่นั้นมาฉลองปีใหม่ที่บ้านต่างหาก ไม่ใช่ว่าถือวิสาสะมาทั้งที่ไม่ได้รับเชิญ”
หวังหรงคาดเดาว่าเขากำลังหมายถึงหล่อนที่เข้ามาโดยไม่ได้รับเชิญ
ความขุ่นเคืองและความอับอายปรากฏขึ้นในแววตาของหล่อน หล่อนครุ่นคิด ลุกขึ้นและพูดว่า “ฉันจะไปดูในครัวนะคะว่าพอจะมีอะไรให้ช่วยไหม”
หล่อนส่งยิ้มและพูดถามทันทีที่เดินไปถึงห้องครัว “เสี่ยวหลินใช่ไหม มีอะไรให้ฉันช่วยหรือเปล่า?”
หลินม่ายเกิดมาสองชาติแล้ว ชาติที่แล้วอีกฝ่ายประสบความสำเร็จในการเป็นผู้นำอุตสาหกรรมด้านอาหารในเมืองเจียงเฉิง แล้วจะมองคนไม่ออกได้อย่างไร?
เธอสามารถมองเห็นรอยยิ้มจอมปลอมของหวังหรงได้ตั้งแต่แรกเห็น
จากการปะติปะต่อเรื่องราวทั้งหมดก็เห็นได้ชัดว่าหล่อนเป็นแค่ลูกพี่ลูกน้องของฟางจั๋วหราน แต่ในครั้งแรกที่ทั้งสองพบกัน อีกฝ่ายดันแสร้งทำเป็นแฟนสาวของฟางจั๋วหราน เห็นได้ว่าอีกฝ่ายมีความสนใจในตัวจั๋วหรานมาก และปฏิบัติต่อเธอราวกับคู่แข่งทางหัวใจ ดังนั้นเธอจึงมองเห็นดาบคมในรอยยิ้มได้อย่างแจ่มแจ้ง
แต่ปัญหาก็คือกฎหมายข้อบังคับไม่อนุญาตให้ลูกพี่ลูกน้องแต่งงานกันไม่ใช่หรือ
หรืออาจจะเป็นลูกพี่ลูกน้องที่ห่างไกลกัน?
ถึงแม้ว่าหลินม่ายจะคิดมากอยู่ครู่หนึ่ง แต่ช่วงเวลาไม่กี่วินาทีก็ได้ผ่านพ้นไป
เธอยิ้มเยาะ “ไม่เป็นไรค่ะ แค่อาหารสองสามจานเอง”
“ไม่เอาน่า หัดถ่อมตัวกับฉันบ้างสิ!” หวังหรงอุกอาจฉกเอามีดทำครัวมาจากมือเธอ และจงใจหันใบมีดแฉลบไปทางฝ่ามือของหลินม่าย
หลินม่ายรีบปล่อยมีดทำครัว ทำให้มีดหล่นลงไปบนพื้น กระแทกเข้ากับเท้าของหวังหรงจนเกิดเสียงดัง เห็นเป็นรอยตัดขนาดเล็กปรากฏขึ้นชัดเจนบนรองเท้าบูทหนัง
หวังหรงตกใจมากจนใบหน้าซีดเผือด กรีดร้องเสียงดังราวกับเสียงสัญญาณเตือนภัยกลางอากาศที่ทำให้ผู้ฟังสั่นสะท้าน
สองพี่น้องตระกูลฟางรีบวิ่งเข้ามาพร้อมกัน ฟางจั๋วหรานมองดูหญิงสาวสองคนด้วยสายตาจริงจัง คนหนึ่งผิวคล้ำ ส่วนอีกคนผิวขาว
ฟางจั๋วเยวี่ยเหล่มองและถามหวังหรงทันทีที่เข้ามาถึง “เกิดอะไรขึ้น? เผลอไปเหยียบหางแมวเข้าหรือไง?”
แม้ว่าเขากับหวังหรงจะเป็นลูกพี่ลูกน้องกัน แต่เขากลับไม่ชอบหล่อนนัก
ไม่มีเหตุผลอื่น เพียงแต่น้องสาวผู้นี้ชอบแสร้งทำเป็นไร้เดียงสา
หวังหรงหันไปพูดกับฟางจั๋วหรานด้วยใบหน้าซีดเผือด “ฉันแค่อยากจะช่วยหลินม่ายหั่นผัก แต่พอฉันรับมีดจากมือหล่อน มีดก็หล่นมาใส่เท้าฉันได้ยังไงไม่รู้ค่ะพี่ โชคดีที่รองเท้าบูทหนา มีดถึงเจาะเข้าไปไม่ได้ ไม่อย่างงั้นเท้าฉันคงจะแย่แน่”
ฟางจั๋วหรานมองดูหลินม่าย ท่าทางของเธอดูเย็นชา
โต้วโต้วที่กำลังจุดไฟอยู่ด้านเตาถ่านร้องตะโกนเสียงดังลั่น “มีดหล่นใส่เท้าเพราะคุณน้าพยายามแย่งมีดจากแม่หนูต่างหาก แม่ไม่เกี่ยวอะไรด้วยเลย!”
ฟางจั๋วหรานถามหวังหรงขณะขมวดคิ้วเป็นปม “เธอไม่เคยทำงานบ้านมาตั้งแต่เด็ก คิดอะไรถึงได้วิ่งเข้ามายุ่งวุ่นวายในนี้?”
เดิมทีหวังหรงต้องการโยนความผิดให้หลินม่าย แต่กลับคาดไม่ถึงว่าลูกสาวของอีกฝ่ายจะเปิดเผยความจริง หล่อนจึงลอบจ้องเขม็งไปที่โต้วโต้ว
โต้วโต้วร้องตะโกนอีกครั้ง “หนูพูดความจริง ทำไมคุณน้าต้องจ้องเขม็งมาที่หนูด้วย?”
ขณะเดียวกัน สองสามีภรรยาเฒ่าปรากฏกายขึ้นในห้องครัว
คุณย่างฟางโกรธเคือง “ใครกล้ารังแกแขกฉันก็ออกไปซะ วันปีใหม่ทั้งทีอย่าให้ฉันต้องมาขับไล่คนนักเลย!”
ใบหน้าของหวังหรงแดงก่ำด้วยความขุ่นเคือง
ครู่หนึ่งก่อนที่อาหารกลางวันจะเตรียมพร้อม ฟางเว่ยตั๋งลูกชายคนรองกับฟางเว่ยหมินลูกชายคนที่สามของคุณย่าฟางก็มาถึง
เมื่อทั้งสองครอบครัวมารวมกันแล้ว จึงมีสมาชิกทั้งหมดเก้าคน ห้องโถงที่ไร้สีสันกลับมามีชีวิตชีวาอีกครั้ง
หลินม่ายชำเลืองมองทั้งสองครอบครัวจากในห้องครัว แม้ว่าพวกเขาจะไม่ได้เดินทางมาโดยรถยนต์ส่วนตัว และไม่ได้แต่งตัวดีเท่าฟางเว่ยกั๋วกับภรรยา ทว่าเสื้อผ้าของพวกเขาก็ล้วนทำมาจากขนสัตว์และยังสวมใส่รองเท้าหนัง
สมัยนี้เครื่องแต่งกายสามารถบ่งบอกได้ถึงความมั่นคั่ง โดยเฉพาะต่างหูทองของลูกสะใภ้ทั้งสองคนที่เป็นประกายระยิบระยับ
ถึงแม้ว่าพวกเขาจะไม่ได้มีตำแหน่งการงานในระดับสูงเหมือนกับฟางเว่ยกั๋ว แต่อย่างน้อยก็ต้องเป็นเจ้าหน้าที่ข้าราชการระดับเล็กถึงระดับกลาง
ฟางเว่ยตั๋งกับฟางเว่ยหมินมีลูกสาวครอบครัวละหนึ่งคน คนหนึ่งชื่อฟางถิง ส่วนอีกคนชื่อฟางซืออวี๋
ทั้งสองสาวมีบุคลิกร่าเริงแจ่มใสมาก ทันทีที่ลงมาจากรถ พวกหล่อนก็พูดคุยหัวเราะคิกคักกับหวังหรงที่เดินเข้าไปพูดทักทาย ราวกับเสียงระฆังก้องกังวานไปทั่วทั้งถนน
หลินม่ายขมวดคิ้วเล็กน้อย ดูเหมือนว่าเธอจะเคยได้ยินชื่อฟางถิงจากที่ไหนสักแห่ง
เธอเงยหน้าชะโงกดูจากหน้าต่าง ทว่าหวังหรงบังอีกฝ่ายไว้ จึงทำให้หลินม่ายไม่เห็นหน้าหล่อน
เมื่อพิจารณาลูกชายและลูกสะใภ้ที่เดินทางมาอวยพรวันปีใหม่ คุณย่าฟางจึงขอให้หลินม่ายทำซุปเห็ดหูหนูขาวพุทราจีนขึ้นมาเป็นพิเศษ
ลูกชายคนโตของคุณย่าฟางไม่ได้อยู่ดื่มสักอึก หลินม่ายจึงตักซุปเห็ดหูหนูขาวพุทราจีนเพียงแค่เก้าถ้วย และนำไปเสิร์ฟให้ลูกชายคนรองและลูกชายคนสุดท้องของคุณย่าฟาง
เธอเดินออกมาจากห้องครัวพร้อมกับถาดขนาดใหญ่ ขณะชำเลืองมองสาว ๆ
หลินม่ายจำฟางถิงได้ในทันที เธอเคยเจออีกฝ่ายเมื่อครั้งเดินทางเข้าไปขายเกาลัดในเมือง อีกฝ่ายเป็นหญิงสาวชาวเมืองที่ขึ้นมาบนรถไฟและกล่าวหาว่าเธอสกปรกและตัวเหม็นไม่ใช่หรือ?
ฟางถิงก็จำเธอได้เช่นกัน ใบหน้าของหล่อนพลันเปลี่ยนเป็นเย็นชาและถามว่า “เธอมาอยู่ที่บ้านคุณปู่คุณย่าฉันได้ยังไง?”
หล่อนตระหนักขึ้นได้ทันทีเมื่อเห็นอีกฝ่ายถือถาดขนาดใหญ่ที่บรรจุไปด้วยถ้วยซุปเห็นหูหนูขาวพุทราจีน “เธอเป็นพี่เลี้ยงของคุณปู่คุณย่างั้นเหรอ?”
หลินม่ายไม่เคยพูดถึงความขัดแย้งระหว่างเธอกับฟางถิงให้คุณปู่คุณย่าฟางฟัง เพราะการมีเรื่องกระทบกระทั่งกับผู้คนครั้งเมื่อออกไปข้างนอกเป็นเรื่องที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ ดังนั้นเธอจึงไม่เคยพูดถึง
เพราะฉะนั้นคุณปู่กับคุณย่าฟางจึงไม่เคยรู้ถึงความคับข้องใจระหว่างเธอทั้งสองคน เพียงคิดว่าฟางถิงเคยชินกับการเป็นใหญ่และไม่คิดอะไรจริงจังนัก ก่อนจะพูดแก้ไข “เสี่ยวหลินไม่ใช่พี่เลี้ยง เธอเป็นแขกของบ้านเรา”
ฟางถิงมองดูหลินม่ายด้วยความประหลาดใจ
หลินม่ายยิ้มขณะเสิร์ฟซุปเห็ดหูหนูขาวพุทธาจีน และกลับไปที่ห้องครัว
ฟางถิงหยิบถ้วยซุปเห็ดหูหนูขาวพุทธาจีนขึ้นมาจิบเพียงแค่สองครั้ง และหยุดดื่ม
หล่อนวางถ้วยซุปเห็ดหูหนูขาวพุทธาจีนลงบนโต๊ะด้วยใบหน้าที่น่าเกลียด พูดพึมพำจนทุกคนได้ยิน “ดื่มยากเป็นบ้า ต้มซุปเห็ดหูหนูขาวประสาอะไร?”
ในขณะเดียวกันคุณปู่ฟางก็กินซุปเห็ดหูหนูขาวพุทธาจีนเข้าไปหลายอึก ขมวดคิ้วและพูดว่า “ก็อร่อยออก พอเข้าปากหลานแล้วมันกลายเป็นไม่อร่อยไปได้ยังไง? พวกแกทั้งหลายคงไม่เคยหิวโหยหรือทุกข์ทรมานกันสินะ ถึงได้ไม่รู้จักคุณค่าของอะไรเลย!”
ฟางถิงก้มหน้าลงและไม่พูดอะไร
หวังหรงที่เห็นหล่อนวางตัวเป็นศัตรูตัวฉกาจกับหลินม่ายตั้งแต่ต้น จึงรีบปรี่เข้าไปตามไถ่เรื่องราวทั้งหมด
ฟางถิงรู้สึกละอายที่จะต้องบอกว่าในครั้งนั้นหล่อนต้องพ่ายแพ้ตอนอยู่บนรถไฟ จึงบอกแค่ว่าหล่อนไม่ชอบหลินม่ายเพราะอีกฝ่ายดูบ้านนอกและไม่เข้าตา
แม้จะไม่เล่าความจริงทั้งหมด แต่หล่อนก็รู้ว่าฟางถิงเกลียดหลินม่าย จึงคิดจะใช้อีกฝ่ายเป็นมือปืนจัดการกับหลินม่าย
หวังหรงกับฟางถิงสุมหัวเข้าด้วยกัน และกระซิบกระซาบ
สองสาวพูดคุยกันขณะเหลือบมองไปทางห้องครัวด้วยสายตาดูถูกเป็นครั้งคราว
ประจวบกับประตูห้องครัวที่หันไปทางห้องโถงพอดี ถึงแม้หลินม่ายจะทำอาหารอยู่ แต่ก็สังเกตเห็นว่าพวกหล่อนกำลังนินทาตน
โต้วโต้วนั่งดื่มซุปเห็ดหูหนูขาวพุทธาจีนอยู่บนม้านั่งขนาดเล็กในห้องครัวอย่างเชื่อฟัง ขณะจ้องมองไปทางฟางถิง
หล่อนรู้สึกว่าอีกฝ่ายดูคุ้นเคย แต่นึกไม่ออกว่าเคยเจอที่ไหน
แต่สำหรับเด็กน้อยแล้ว เมื่อนึกไม่ออกก็ไม่จำเป็นต้องคิดมาก หลังจากดื่มด่ำกับซุปเห็ดหูหนูขาวพุทธาจีน เรื่องราวของฟางถิงจึงจางหายไป
ทว่าฟางถิงกลับจำโต้วโต้วไม่ได้แม้แต่น้อย
ในตอนนั้นฟางถิงไม่ทันได้ซ่อนตัวจากหล่อน และไม่ได้มองพิจารณาหล่อนอย่างจริงจังนัก
นอกจากนี้โต้วโต้วในตอนนั้นแต่งตัวสกปรกมาก แต่ตอนนี้กลับดูสะอาดสะอ้าน จึงทำให้หล่อนแยกแยะไม่ออก
อาหารทุกจานถูกจัดเตรียมเอาไว้บนโต๊ะอาหาร
เมื่อหลินม่ายเห็นว่าจำนวนคนมีเยอะเกินไป และเธอไม่สามารถนั่งร่วมโต๊ะได้ เธอจึงกลับไปที่ห้องครัว
ฟางจั๋วหรานรีบเดินเข้าไปในห้องครัวเมื่อเห็นเช่นนั้น และพูดว่า “เข้ามาในห้องครัวทำไมล่ะครับ? ออกไปกินกันเถอะ” หลังจากนั้นเขาก็อุ้มโต้วโต้วไปที่ห้องโถง
หลินม่ายจึงจำเป็นต้องตามไป
ฟางถิงที่รู้สึกไม่พอใจฟางจั๋วหรานโพล่งขึ้นมาว่า “พี่ใหญ่ แค่ครอบครัวเราก็จะไม่พอนั่งอยู่แล้ว พี่ยังจะพาคนนอกมาร่วมโต๊ะอีกเหรอ?”
คุณย่าฟางรีบพูดขึ้นอย่างขุ่นเคือง “ม่ายจื่อเป็นแขกของปู่กับย่า หล่อนอุตส่าห์ทำอาหารให้พวกเราทุกคนกินกัน แล้วจะนั่งร่วมโต๊ะไม่ได้ยังไง?”
ฟางจั๋วหรานหันไปพูดกับฟางถิงเบา ๆ ว่า “ถ้านั่งไม่ได้ เธอก็ออกไปนั่งกินที่อื่นสิ ไม่จำเป็นจะต้องให้ทั้งครอบครัวมานั่งกินร่วมโต๊ะกันหรอก และอีกอย่างการละเลยแขกไม่ใช่สิ่งที่ตระกูลเราทำกัน”
ใบหน้าของฟางถิงซีดเผือดด้วยความโกรธ
จากนั้นฟางจั๋วเยวี่ยก็ย้ายโต๊ะขนาดเล็กที่ใช้สำหรับหั่นผักในห้องครัวมาที่ห้องโถง จัดแจงโต๊ะจนเสร็จสรรพ โต๊ะหนึ่งสำหรับผู้ใหญ่ ส่วนอีกโต๊ะสำหรับลูกหลาน จากนั้นทุกคนจึงนั่งลง
ฟางถิงคีบหอยเป๋าฮื้อให้หลินม่ายหนึ่งคู่ และพูดด้วยถ้อยคำดูถูก “ลองกินนี่สิ คงไม่เคยกินมาก่อนสินะ ไม่ต้องเกรงใจหรอก กินเยอะ ๆ เพราะโอกาสดี ๆ แบบนี้คงหายาก”
ฟางจั๋วหรานจ้องเขม็งไปที่เธอด้วยสายตาเย็นชา “มีอาหารเยอะขนาดนี้แล้วเธอจะหุบปากได้หรือยัง ถ้าไม่มีฉัน เธอก็ไม่วันได้กินหอยเป๋าฮื้อเหมือนกัน!”
อาหารทะเลตากแห้งเป็นผลิตภัณฑ์ที่หาได้ยากภายในเมืองซึ่งห่างไกลจากท้องทะเล มีจัดจำหน่ายอยู่ในเฉพาะภัตตาคารระดับสูงที่มีเพียงชาวต่างชาติและผู้นำใหญ่โตเท่านั้นที่จะได้รับเชิญ
ฟางจั๋วหรานได้รับของพวกนี้มาจากการช่วยดูแลรักษาโรคภัยไข้เจ็บให้กับข้าราชการระดับสูงและญาติพี่น้องที่พำนักอยู่แถวชายฝั่ง
หวังหรงพบว่าฟางจั๋วหรานคอยปกป้องหลินม่ายอยู่ทุกทางจนหล่อนเริ่มไม่สบอารมณ์ และเกลียดชังหลินม่ายมากกว่าเดิม
ฟางถิงไม่พอใจมาก “ฉันไม่ได้มีเจตนาร้ายสักหน่อย ก็แค่หวังดีกับหล่อน ชีวิตของหล่อนไม่ง่ายเลยนี่ ไหนจะต้องหย่าและฉุดกระชากลากลูกมาอยู่ด้วย ฉันเลยบอกให้หล่อนกินเยอะ ๆ ไง”
หลินม่ายรู้เหตุผลที่ฟางถิงพยายามสร้างความอับอายให้แก่เธอ ไม่ใช่ว่าอีกฝ่ายโกรธเคืองที่ถูกด่าทอบนรถไฟในครั้งนั้นหรือ?
คุณปู่คุณย่าฟางรู้สึกแย่มากพอแล้วที่ต้องแยกจากกับลูกชายคนโตและภรรยาในวันปีใหม่
หลินม่ายไม่ต้องการพรากความสุขไปจากพวกเขาอีก เธอจึงไม่ได้ชี้เป้าไปหาฟางถิงว่าเหตุใดอีกฝ่ายจึงมุ่งร้ายต่อเธอ
ฟางจั๋วหรานเผยรอยยิ้มไร้ความปราณีขณะคีบหอยเป๋าฮื้อขึ้นมากัด “ชีวิตไม่ง่ายแต่ก็ไม่ได้น่าสมเพช มีใครในโลกที่ไม่พยายามใช้ชีวิตกันบ้าง? จิตใต้สามัญสำนึกที่อยู่ในระดับต่ำตมต่างหากที่น่าสมเพช พูดจาดูถูกผู้อื่นเพื่อแสวงหาความสุขส่วนตัว บ่งบอกให้เห็นว่าชีวิตที่น่าเวทนามันเป็นยังไง!”
ฟางถิงถามด้วยดวงตาลุกเป็นไฟ “พี่พูดถึงใคร?”
ทว่าฟางจั๋วหรานกลับไม่คิดว่าเป็นเรื่องใหญ่ “พูดถึงเธอไง ไม่ได้ยินเหรอ? หรือว่าเธอเป็นคนเข้าใจยาก? สอบผ่านมหาวิทยาลัยมาได้ยังไง?”
ฟางถิงโกรธจัดจนกระแทกตะเกียบลงกับโต๊ะ แล้วลุกจากไปอย่างขุ่นเคือง
หวังหรงเห็นว่าบนโต๊ะของคุณย่าฟางมีแต่หัวข้อบทสนทนาเกี่ยวกับการกิน ดื่ม และพูดคุยสัพเพเหระ ไม่มีใครสังเกตเห็นว่าเกิดอะไรขึ้นบนอีกโต๊ะ เธอจึงร้องตะโกนเสียงดัง “ถิงถิง ทำไมลุกจากโต๊ะไปล่ะ?”
ฟางจั๋วเยวี่ยแสยะยิ้ม และพูดแบบกำปั้นทุบดินว่า “เธอนี่เองเป็นคนใส่ไฟ”
“ฉัน…” ความคิดที่รอบคอบของหวังหรงถูกแทงเข้าอย่างตรงจุด จนไม่สามารถปั้นหน้าต่อไปได้ ก่อนจะหันไปมองฟางจั๋วหรานด้วยความอับอาย
ฟางจั๋วหรานเพิกเฉยต่อสายตาวิงวอนร้องของความช่วยเหลือของหล่อน
หยางรั่วหลาน แม่ของฟางถิงร้องถามด้วยน้ำเสียงจริงจัง “เกิดอะไรขึ้น?”
ฟางจั๋วหรานจึงเอ่ยตอบ “ไม่ใช่เรื่องใหญ่หรอกครับ ผมแค่พูดกับน้องสองสามคำ น้องไม่พอใจก็เลยลุกจากโต๊ะไป”
พี่ชายสองคนและน้องชายอีกหนึ่งคนของฟางถิงควรจะยืนหยัดเพื่อฟางถิง แต่เมื่อพวกเขาเห็นว่าฟางจั๋วหรานออกตัวรับผิดชอบเรื่องทั้งหมด มันจึงไม่ง่ายที่พวกเขาจะพูดอะไรออกไป
นอกจากนี้ฟางถิงยังเป็นคนจุดประเด็นขึ้นมา หากพูดอะไรออกมา ฟางถิงก็กลายเป็นคนผิดอยู่ดี
ดังนั้นพวกเขาจึงพยายามเกลี้ยกล่อมให้ฟางถิงกลับมาที่โต๊ะอาหาร ทว่าฟางถิงยังคงโกรธอยู่ พวกเขาจึงเมินเฉยต่อหล่อนและกลับมาเพลิดเพลินกับอาหารต่อ
ว่ากันตามตรง ผู้หญิงผิวคล้ำที่ชื่อหลินม่ายคนนั้นทำอาหารเก่งมาก ทำอาหารออกมาอร่อยทุกจานทีเดียว
……………………………………………………………………………………………………………………….
สารจากผู้แปล
ปากคอพี่หมอก็คมกริบเหมือนกันนะเนี่ย ฟังแล้วเจ็บแสบใช่ย่อยเลย
โลกกลมจริง ๆ ม่ายจื่อเอ๊ย คนที่เคยมีเรื่องด้วยดันมาเกี่ยวกับครอบครัวปู่ย่าคู่นี้หมด
ไหหม่า(海馬)