แม่ปากร้ายยุค 80 - ตอนที่ 502 จับเถาจืออวิ๋นเป็นตัวประกัน
ตอนที่ 502 จับเถาจืออวิ๋นเป็นตัวประกัน
หัวหน้าพยาบาลจัดการสั่งให้พยาบาลคนหนึ่งไปเรียกเจ้าหน้าที่รปภ.มา
ส่วนตัวหล่อนเองก็หยิบกระบองไฟฟ้า พร้อมกับพาพยาบาลสองสามคนพุ่งเข้าไปในห้องผู้ป่วย
ไม่พูดพร่ำทำเพลง ก็ฟาดเข้าไปที่แม่หม่าทีหนึ่ง
แม่หม่าที่เพิ่งจะลุกขึ้นมาจากพื้นถูกช็อตจนล้มลงกับพื้นและมีน้ำลายฟูมปาก ทั้งตัวชักเกร็งอยู่หลายนาทีถึงกลับคืนสู่สภาพปกติ
จะโทษความุทะลุบุ่มบ่ามของหัวหน้าพยาบาลไม่ได้
เหตุการณ์ความวุ่นวายที่เกิดขึ้นครั้งก่อน ทำให้บุคลากรทางการแพทย์บาดเจ็บหลายคน หัวหน้าก็ออกคำสั่งมาแล้วว่าหากมีใครก่อความวุ่นวายในโรงพยาบาล อันดับแรกต้องช็อตไฟฟ้าให้คนสลบไปก่อน จากนั้นค่อยทำการควบคุมตัวไว้ ส่งให้กับสถานีตำรวจ
ดังนั้นหัวหน้าพยาบาลจึงช็อตไฟฟ้านางทันที
เจ้าหน้าที่จากหน่วยรักษาความปลอดภัยมาถึงอย่างรวดเร็ว แล้วหิ้วปีกแม่หม่าออกไป
ปากของแม่หม่านั้นยังเหลือฟองฟูมปากอยู่ พลันถามอย่างหวั่นกลัว “พวกคุณจะพาฉันไปที่ไหน?”
เจ้าหน้าที่รปภ.คนหนึ่งพูดอย่างเย็นชา “พาไปที่ๆ คุณควรไป”
เขาเกลียดพวกที่มาก่อความวุ่นวายขัดขวางการปฏิบัติงานของแพทย์ถึงโรงพยาบาลพวกนี้ที่สุด ซึ่งมันเพิ่มความกดดันในหน้าที่การงานของพวกเขาขึ้นมาก
แม่หม่าตกใจอย่างยิ่ง ร้องเรียกชื่อสามีและลูกชายสุดชีวิต
หม่าเทาและพ่อหม่าทั้งสองคนเห็นความผิดปกติอยู่นอกห้องผู้ป่วย จึงเผ่นหนีไปตั้งนานแล้ว ไม่ได้ยินเสียงร้องเรียกของหล่อนเลยแม้แต่น้อย
ไม่นานนัก ห้องผู้ป่วยก็กลับสู่ความสงบ
เถาจืออวิ๋นไม่กล้ามองฟางจั๋วเยวี่ยตรงๆ หล่อนพูดพลางหน้าแดง “เมื่อกี้นี้ฉันขอโทษจริงๆ นะคะ ที่ให้คุณแกล้งเป็นแฟนของฉัน”
ฟางจั๋วเยวี่ยโบกมือไปมา “ไม่เป็นไรครับ ผมก็ไม่ได้เสียหายอะไรเสียหน่อย”
เถาจืออวิ๋นรอให้เขากินอาหารทั้งหมดจนหมดแล้ว จึงเก็บข้าวของพวกกระติกเก็บความร้อนและกล่องข้าว เช็ดไอโอดีนในบริเวณแผลถลอกให้เขา จากนั้นจึงพูดขึ้น “ตอนเที่ยงคุณไม่ต้องซื้อข้าวที่โรงพยาบาลนะคะ เดี๋ยวฉันมาส่งข้าวให้คุณเอง”
อาหารในโรงพยาบาลใช่ว่าจะไม่มีสารอาหาร แต่รสชาตินั้นเกินจะบรรยาย หล่อนจึงไม่อยากให้ฟางจั๋วเยวี่ยกินข้าวเที่ยงที่รสชาติแย่ขนาดนั้น
ฟางจั๋วเยวี่ยรู้ว่าตนเองควรจะปฏิเสธ แต่การตอบแสดงที่ทำออกไปนั้น กลับเป็นการพยักหน้าและขานรับ
เขาหลงใหลในตอนที่เถาจืออวิ๋นทายาให้เขามาก อบอุ่นเหลือจะพรรณนา
เขาไม่เคยได้รับความอบอุ่นนั้นจากผู้หญิงคนไหนมาก่อน แม้แต่แม่แท้ๆ เองก็ไม่เคยมีให้
ในความทรงจำของเขา หวังเหวินฟางดูราวกับยุ่งอยู่ตลอดเวลา
หากไม่ยุ่งอยู่กับการเข้าสังคมก็ยุ่งอยู่กับการช้อปปิ้ง
ถ้าฟางเว่ยกั๋วอยู่บ้าน หล่อนก็เหมือนกับสาวน้อยที่กำลังตกหลุมรัก เอาแต่จู๋จี๋อี๋อ๋ออยู่กับเขา
ส่วนลูกชายอย่างเขาคงจะเป็นอุบัติเหตุของทั้งคู่เท่านั้น หวังเหวินฟางใส่ใจห่วงใยเขาน้อยนิดมากๆ
ตอนเด็กๆ เขาเองก็มีบาดแผลรอยฟกช้ำเหมือนกัน แต่น้อยนักที่แม่แท้ๆ จะดูแลทำแผลให้เขาเอง หล่อนมักพาเขาไปโรงพยาบาลให้หมอจัดการให้โดยตรง
ถึงบางครั้งแม่จะทำให้เขาเอง ก็ทำพอเป็นพิธีให้เสร็จๆ ไป มีความอบอุ่นอ่อนโยนอะไรที่ไหนกัน
หลังจากที่เถาจืออวิ๋นทายาให้เขา เขาถึงได้รู้ว่า เมื่อผู้หญิงคนหนึ่งกระทำสิ่งใดอย่างอ่อนโยน ต่อให้จะกำลังทำแผลให้คุณอยู่ มันก็ไม่ได้รู้สึกเจ็บอะไรมากมายเลย แค่ทำให้รู้สึกชาๆ และสบายตัวอย่างมากเท่านั้น
เถาจืออวิ๋นหยิบกระติกเก็บความร้อนและกล่องข้าวที่ว่างเปล่าเดินออกจากประตูใหญ่ของโรงพยาบาล หล่อนไม่ได้กลับไปที่บ้านของพ่อแม่ แต่เลี้ยวซ้ายเดินไปยังโรงงานเสื้อผ้า Unique
เมื่อวานตอนเย็นขณะที่นอนอยู่บนเตียง หล่อนนึกถึงปัญหาที่สำคัญมากข้อหนึ่งขึ้นมาได้
นั่นก็คือ หลินม่ายออกแบบกระโปรงและชุดกระโปรงฤดูใบไม้ผลิและฤดูใบไม้ร่วงไว้ไม่น้อย ซึ่งชุดกระโปรงเหล่านั้นจำเป็นต้องจับคู่กับถุงน่อง หากไม่มีถุงน่อง ก็ใส่ได้ไม่ถึงอารมณ์
นอกจากนี้เมื่อผ่านวันชาติไปแล้ว อากาศจะเย็นลงไม่น้อย หากใส่กระโปรงไม่ใส่ถุงน่องแล้วขาจะเย็น เมื่อเป็นเช่นนี้จะส่งผลกระทบต่อยอดขายได้
หล่อนต้องไปที่โรงงานเสื้อผ้าเพื่อแจ้งกับหลินม่าย ให้เธอคิดหาวิธีเอาถุงน่องมาให้ได้สักล็อตโดยเร็วที่สุดก่อนวันชาติ
พุ่มไม้สีเขียวข้างถนนจิ่วเยวี่ย ดอกชบากำลังบานสะพรั่ง ทำให้จิตใจผ่อนคลายเบิกบาน
เถาจืออวิ๋นเดินไปพลางชมดอกชบาไปพลาง
ในทันใดนั้นหม่าเทากลับวิ่งพรวดพราดออกมาจากด้านหลังพุ่มชบาสองสามต้น ขวางทางหล่อนเอาไว้ แล้วพูดด้วยท่าทางนอบน้อมจริงใจ “จืออวิ๋น พวกเรามาพูดคุยกันดีๆ หน่อยได้ไหม?”
เถาจืออวิ๋นมองไปรอบตัว ถนนสายนี้เป็นถนนเล็กๆ ค่อนข้างเปลี่ยวและมีคนผ่านทางน้อยมาก
หล่อนถอยไปข้างหลังสองก้าวอย่างระแวดระวัง พูดอย่างเย็นชา “พวกเราไม่มีอะไรให้คุยกัน หลีกไปซะ!”
หม่าเทาเผยแววตาดุร้าย “ถ้าเธอไม่ยอมคุยกับฉันดีๆ เธอจะต้องเสียใจ!”
เถาจืออวิ๋นกลัวว่าเขาจะทำร้ายตน จึงได้แต่แสร้งทำเป็นคล้อยตามไปก่อน เพื่อหาโอกาสดีๆ วิ่งหนีไป
ท่าทางของหล่อนอ่อนลง “คุณอยากจะคุยอะไรล่ะ?”
เมื่อหม่าเทาเห็นว่าสยบเถาจืออวิ๋นได้แล้ว ก็เผยสีหน้าภาคภูมิใจ
“ก็เรื่องการแต่งงานใหม่ของพวกเราน่ะสิ ฉันยังรักเธออยู่ ต่อไปพวกเราแต่งงานใหม่กันแล้ว ฉันจะไม่หลายใจอีกแล้วแน่นอน”
เถาจืออวิ๋นปฏิเสธทันที “ไม่มีทาง ให้ตายฉันก็จะไม่แต่งงานใหม่กับคุณ!”
หม่าเทาสีหน้าเย็นชา “เป็นเพราะมีแฟนหนุ่มแล้วงั้นเหรอ?”
เถาจืออวิ๋นได้ยินคำพูดนั้นก็เข้าใจในทันที เมื่อครู่นี้ตอนแม่ของเขาก่อเรื่อง เขาแอบอยู่นอกห้องผู้ป่วยและแอบฟังทั้งหมด
เพื่อให้ไอ้สารเลวนี่ตายใจ หล่อนจึงจงใจพยักหน้าพูด “รู้แล้วก็ดี!”
หม่าเทาเปลี่ยนเป็นดุร้ายขึ้นมาทันใด เขายื่นมือออกไปจับหล่อน “นังผู้หญิงสำส่อนนี่ วันนี้ฉันจะสั่งสอนแกให้หนัก!”
เถาจืออวิ๋นหมุนตัวคิดจะวิ่งหนี ไม่นึกว่าพ่อหม่าจะอยู่ด้านหลัง และฟาดท่อนไม้เข้ากลางแสกหน้าหล่อน
เถาจืออวิ๋นไม่มีเวลาแม้แต่จะส่งเสียงร้องออกมาสักแอะ ก็ทรุดฮวบล้มลงไปกับพื้น ของในมือหล่นลงไปที่พื้นเช่นกัน
หม่าเทาโอบหล่อนจากด้านหลัง แล้วลากหล่อนเข้าไปหลังพุ่มไม้ ไอ้พ่อเลวของเขาก็ตามหลังเขาไปติดๆ
แผนของพวกเขาสองพ่อลูกก็คือฉุดเถาจืออวิ๋นมาหลังต้นชบา และให้หม่าเทาทำการล่วงละเมิดหล่อน
จากนั้นก็ถ่ายภาพเปลือยของหล่อนเอาไว้ แล้วใช้มันเรียกร้องให้หล่อนต้องแต่งงานใหม่กับเขา ไม่อย่างนั้นเขาจะร่อนรูปเปลือยของหล่อนไปให้ทั่ว
ดังนั้น สองพ่อลูกจึงเพิ่งไปขายเลือดมา แล้วใช้เงินจากการขายเลือดมาเช่ากล้องถ่ายรูปเก่าๆ เครื่องหนึ่งที่ร้านถ่ายภาพส่วนตัวแห่งหนึ่ง
แต่ยังไม่ทันได้ดำเนินการตามแผนของพวกเขา ก็ได้ยินเสียงร้องของผู้หญิงคนหนึ่งดังขึ้นนอกพุ่มไม้ “ใครก็ได้รีบมาที คนชั่วจะฆ่าคนแล้ว!”
เสียงนั้นเพิ่มขึ้นมาเรื่อยๆ และดังชัดขึ้นเรื่อยๆ
หม่าเทาพ่อลูกตกใจจนหน้าถอดสี ผละจากเถาจืออวิ๋นแล้ววิ่งเผ่นหนีไปทันที
หากถูกฝูงชนที่วิ่งโร่มาจับได้ คงจะหนีไม่พ้นโทษประหารแน่
เสียงร้องเรียกดังลั่นนอกพุ่มไม้นั้นไม่ใช่ใครอื่น แต่เป็นหลินม่ายนั่นเอง
เธอจะไปโรงงานเสื้อผ้าก็ต้องผ่านถนนเส้นนี้ และก็เห็นหม่าเทาสองพ่อลูกลากเถาจืออวิ๋นเข้าไปหลังพุ่มไม้มาตั้งแต่ไกลๆ แล้ว
เธอรู้ว่า ต่อให้ตนขี่จักรยานเข้าไปขวางหม่าเทาพ่อลูกสวะนั่น ก็คงช่วยเถาจืออวิ๋นไม่ไหว เพราะกำลังของเธอนั้นต้านทานพ่อลูกเดรัจฉานคู่นั้นไม่ไหว กลับกันจะยิ่งทำให้ตัวเองตกอยู่ในอันตรายเสียมากกว่า
หลินม่ายจึงรอให้พ่อลูกสวะคู่นั้นลากเถาจืออวิ๋นเข้าไปหลังพุ่มไม้แล้วตะโกนขอความช่วยเหลือในทันที ทำให้พ่อลูกหม่าเทาตกใจหนีไป
เธอรีบร้อนลงจากจักรยานโดยไม่สนใจแม้แต่จะจอดรถ ปล่อยมันทิ้งไว้กับพื้น แล้วรีบเข้าไปด้านหลังพุ่มไม้ทันที
ครั้นเห็นพ่อลูกเดรัจฉานนั่นวิ่งหนีไปจนไม่เห็นแม้แต่เศษฝุ่น จึงรีบวิ่งเข้าไปหาเถาจืออวิ๋น
เห็นหล่อนสลบไร้สติ ก็รีบนั่งยองลงกดจุดเหรินจงของเถาจืออวิ๋นจนฟื้นขึ้นมา
เถาจืออวิ๋นยังมองคนที่ช่วยตนได้ไม่ชัดเจน ก็แกว่งหมัดไปมาโจมตีใส่หลินม่ายสุดชีวิต ร้องไห้พร้อมกับตะโกน “ไอ้ชาติชั่ว แกมันไอ้สวะ ฉันจะสู้กับแก!”
หลินม่ายถูกเถาจืออวิ๋นต่อยเข้าที่หน้าโดยไม่ทันตั้งตัว
หมัดนี้แรงไม่ใช่น้อยเลย ทำเอาเธอหน้าหันไปอีกด้าน
หลินม่ายรีบคว้ามือทั้งสองข้างของเถาจืออวิ๋นเอาไว้ แล้วตะโกนใส่หล่อน “พี่เถา ฉันเอง ม่ายจื่อ!”
เมื่อนั้นเองเถาจืออวิ๋นจึงจำหลินม่ายได้ พลันโผเข้าหาอ้อมกอดของเธอพร้อมร้องไห้โฮออกมาอย่างหวาดผวาจากเรื่องที่ผ่านมา
หล่อนบอกเล่าด้วยเสียงสะอึกสะอื้น ว่าเมื่อครู่หม่าเทาสองพ่อลูกวางแผนจะทำมิดีมิร้ายหล่อน
พูดถึงตรงนี้ก็ผุดออกมาจากอ้อมกอดของหลินม่ายอย่างกะทันหัน แล้วก้มหน้าตรวจสอบว่าตัวเองถูกล่วงละเมิดหรือไม่
หลินม่ายเอ่ยปลอบขวัญ “หม่าเทาสองพ่อลูกยังไม่ทันได้ทำอะไรพี่ ก็ถูกฉันทำให้ตกใจจนเผ่นหนีไปแล้ว พี่ไม่เป็นอะไรหรอกนะ”
เมื่อนั้นเถาจืออวิ๋นถึงถอนหายใจอย่างโล่งอก แล้วพูดด้วยความปรีดา “โชคดีที่เธอปรากฏตัวได้ทันเวลา ไม่อย่างนั้นฉัน…ก็คง…” พูดจบ หล่อนก็ร้องออกมาอย่างนึกหวาดกลัวขึ้นมาในภายหลัง
หลินม่ายปลอบขวัญอยู่ครู่ใหญ่ อารมณ์ของหล่อนถึงค่อยๆ กลับมาคงที่
หลินม่ายดึงเถาจืออวิ๋นลุกขึ้นจากพื้น แล้วช่วยหล่อนจัดระเบียบเสื้อผ้า “ฉันเห็นกระติกเก็บความร้อนกับกล่องข้าวตกอยู่นอกพุ่มไม้ พี่เป็นคนทำตกไว้ใช่ไหม”
เถาจืออวิ๋นพยักหน้า
“นี่พี่มาส่งอาหารเข้าให้คนอื่นแต่เช้าตรู่เลยเหรอ?”
เถาจืออวิ๋นพยักหน้าอีกครั้ง จากนั้นก็เล่าเรื่องที่เมื่อวานฟางจั๋วเยวี่ยต้องบาดเจ็บจนเข้าโรงพยาบาลเพื่อพวกเธอสองแม่ลูกให้หลินม่ายฟัง
และยังบอกเธอว่า เพราะหล่อนไปส่งอาหารเช้าบำรุงร่างกายให้ฟางจั๋วเยวี่ยที่โรงพยาบาลแต่เช้าตรู่ ถึงได้ถูกหม่าเทาพ่อลูกเพ่งเล็ง
หลินม่ายพูด “ถ้าพี่ไม่บอกฉันว่าจั๋วเยวี่ยได้รับบาดเจ็บ ฉันก็ยังไม่รู้ว่าเขาอยู่โรงพยาบาล กลับไปฉันเองก็จะเคี่ยวซุปส่งไปให้เขาบ้าง”
เธอถามอีกว่า “ทางกลับบ้านพี่ไม่ใช่ถนนเส้นนี้เสียหน่อย ทำไมถึงมาโผล่อยู่ที่นี่ได้ล่ะ? พี่จะไปทำงานเหรอ? ฉันให้พี่พักผ่อนสองสามวัน พี่ก็พักผ่อนให้เต็มที่สิ ไม่ต้องคิดถึงเรื่องงานหรอก”
เถาจืออวิ๋นส่ายหน้า “ฉันไม่ได้รีบไปทำงานหรอก ฉันอยากจะไปบอกเธอที่โรงงาน ว่าก่อนวันชาติให้หาซื้อถุงน่องเอาไว้สักหน่อย”
หลินม่ายถาม “ทำไมต้องซื้อถุงน่องเก็บไว้ด้วยล่ะ?”
เถาจืออวิ๋นอธิบายเหตุผลกับเธอ
หลินม่ายหัวเราะเล็กน้อย “ฉันคิดไม่รอบคอบเอง”
ครั้งก่อนเธอซื้อถุงน่องที่ศุลกากร หากต้องการซื้อถุงน่องอีกครั้งคงต้องไปหาเคอจื่อฉิง ก็ไม่รู้ว่าที่ศุลกากรจะยังมีถุงน่องที่ต้องจัดการอยู่อีกไหม
ทั้งสองคนออกมาจากพุ่มไม้ แล้วหลินม่ายเห็นกระติกเก็บความร้อนและกล่องข้าวที่เถาจืออวิ๋นทำตกยังอยู่ที่เดิม ทว่ากระบอกเก็บในกระติกเก็บความร้อนนั้นแตกไปแล้ว เก็บกลับไปก็ไม่มีประโยชน์ ดังนั้นจึงไม่เอากระติกเก็บความร้อน แล้วทั้งสองก็เก็บแค่กล่องข้าวขึ้นมา
หลินม่ายถามเถาจืออวิ๋น “เรื่องในวันนี้ต้องแจ้งตำรวจไหม?”
เถาจืออวิ๋นใคร่ครวญอยู่ครู่ใหญ่ แล้วพูดพลางส่ายหน้า “ช่างมันเถอะ สองพ่อลูกหม่าเทานั่นก็หนีไปแล้ว พวกเราไม่ได้จับได้คาหนังคาเขาด้วย ถึงแจ้งตำรวจไป พ่อลูกสวะคู่นั้นก็คงไม่ยอมรับผิด แถมยังทำให้ชื่อเสียงของฉันเสียหายด้วย”
ที่หลินม่ายขอความคิดเห็นความเถาจืออวิ๋น ก็เพราะใคร่ครวญถึงสองข้อนี้นั่นเอง
ในเมื่อหล่อนไม่อยากแจ้งตำรวจ อย่างนั้นเรื่องนี้ก็ทำได้แค่ปล่อยมันไปตามนั้นแล้ว
หากเรื่องนี้ถูกทุกคนรู้เข้าจริงๆ น่ากลัวแต่ว่าเถาจืออวิ๋นเดินไปที่ไหนก็คงจะถูกคนนินทาลับหลัง
สังคมนี้มันก็เป็นแบบนี้ แม้ว่าผู้หญิงจะตกเป็นเหยื่อในคดีล่วงละเมิดทางเพศ แต่ผู้คนกลับประณามว่าร้ายพวกหล่อน
คนที่ถูกอำนาจป่าเถื่อนของสังคมบีบคั้นจนตายเองก็มีไม่น้อย
แม้เถาจืออวิ๋นจะไม่ได้ถูกข่มขืน แต่หากเรื่องนี้แพร่งพรายออกไป หล่อนคงต้องดิ้นรนอยู่ในสังคมอย่างยากลำบากแน่
เพื่อชีวิตที่ดีในวันข้างหน้าของหล่อน จึงทำได้เพียงกล้ำกลืนความเจ็บช้ำน้ำใจและไม่แจ้งตำรวจเท่านั้น
…………………………………………………………………………………………………………………………
สารจากผู้แปล
ดีที่ม่ายจื่อมาทัน ไม่งั้นชีวิตจืออวิ๋นพังแน่
จับสองพ่อลูกนี่ได้เมื่อไหร่แนะนำให้ตอนไอ้นั่นทิ้งไปเลยนะคะ มั่นกรวยนักจนทำร้ายผู้หญิงได้ก็อย่ามีมันเลย ให้มันเป็นขันทีไปตลอดชีวิตนั่นแหละ
ไหหม่า()