แม่ปากร้ายยุค 80 - ตอนที่ 517 โฆษณาได้ออกอากาศแล้ว
ตอนที่ 517 โฆษณาได้ออกอากาศแล้ว
พอได้นอนหลับฝันดี หลินม่ายก็ตื่นขึ้นในตอนเช้าด้วยความสดชื่น
สิ่งแรกที่เธอทำหลังจากตื่นนอนคือซื้อข่าวค่ำปักกิ่งมาอ่าน ซึ่งเธอพอใจมากเมื่อเห็นว่าโฆษณาUniqueได้รับการตีพิมพ์ลงในหนังสือพิมพ์ตามที่ต้องการ
ขั้นตอนต่อไป คือการรอดูปฏิกิริยาตอบสนองจากผู้อ่าน ซึ่งหลินม่ายอดรู้สึกประหม่าไม่ได้
แต่ต่อให้กังวลไปก็ไม่มีประโยชน์ เธอจึงอ่านหนังสือเรียนอยู่ในเกสต์เฮ้าส์ต่อไปอย่างสบายใจ
ประมาณสิบโมงเช้า หัวหน้าฝ่ายโฆษณาของข่าวค่ำปักกิ่งก็โทรเข้ามา
เขาแจ้งข่าวให้หลินม่ายฟังด้วยความตื่นเต้นว่าผู้อ่านหลายคนโทรมาที่สำนักงานตั้งแต่แปดโมงเช้า ทุกคนต่างชื่นชมเสื้อผ้าUniqueของเธอเป็นเสียงเดียวกัน
บางคนถึงกับชมเปาะว่าหนุ่มสาวยุคใหม่ของประเทศจีนเรามีความสามารถยอดเยี่ยม การปฏิรูปและเปิดประเทศเพิ่งจะเกิดขึ้นเมื่อไม่นานมานี้ แต่เธอสามารถผลิตสินค้าที่ทันสมัยและสวยงามแบบนี้ได้แล้ว
เสื้อผ้าพวกนั้นไม่ได้ด้อยไปกว่าเสื้อผ้าแฟชั่นของฮ่องกง ไต้หวัน และประเทศอื่นที่พัฒนาแล้วเลย ซึ่งพวกเขาก็ภาคภูมิใจมาก
ความคิดเห็นของผู้อ่านล้วนเป็นไปในเชิงบวกเกือบทั้งหมด
นอกจากนี้ พวกเขายังชื่นชมรูปแบบภาพโฆษณาบนหนังสือพิมพ์ที่จัดทำขึ้นเพื่อUniqueด้วย
ถือเป็นเรื่องแปลกใหม่ที่พวกเขาสามารถผลิตโฆษณาสไตล์สากลประเภทนี้ได้ โดยใช้รูปภาพและเพิ่มข้อความโปรโมตลงไป แตกต่างจากกล่องโฆษณาที่มีแค่ตัวหนังสือธรรมดา ๆ
หลินม่ายแนะนำ “ฝ่ายโฆษณาสามารถฉวยโอกาสนี้โปรโมตในหนังสือพิมพ์ของตัวเอง เชิญชวนให้ลูกค้ารายอื่นมาติดต่อลงโฆษณากับสำนักหนังสือพิมพ์ของคุณได้ ฉะนั้นอย่าใจแคบเกินไป นอกจากพวกเขาจะได้พื้นที่โฆษณาแล้ว คุณยังได้โปรโมตหนังสือพิมพ์ไปในตัวด้วยนะคะ”
หัวหน้าฝ่ายโฆษณาตาเป็นประกาย “จริงด้วย! ทำไมผมถึงคิดเรื่องนี้ไม่ได้นะ! คุณนี่หัวการค้าดีจริง ๆ ไม่น่าแปลกใจเลยที่ประสบความสำเร็จในการทำโรงงานตัดเสื้อตั้งแต่อายุยังน้อย!”
เดิมทีหัวหน้าฝ่ายโฆษณาไม่เคยมีความคิดที่จะขยายธุรกิจด้านโฆษณาของทางหนังสือพิมพ์มาก่อน
ถึงอย่างไรในยุคสมัยนี้ก็มีคนสนใจลงโฆษณาแค่ไม่กี่คน
หลินม่ายผุดไอเดียนี้ขึ้นมา ก็เพราะเธอเคยใช้ชีวิตมาแล้วสองชาติ จึงเอาประสบการณ์ในชาติที่แล้วของตัวเองมาปรับใช้
เธอรู้ดีว่าในอีกไม่กี่ทศวรรษข้างหน้า อุตสาหกรรมโฆษณามีแนวโน้มว่าจะรุ่งเรืองขึ้นมาก
หลินม่ายตอบกลับอย่างสุภาพ “ชมเกินไปแล้วค่ะ ชมเกินไปแล้ว”
จากนั้นเธอก็เปลี่ยนเรื่อง “สำนักหนังสือพิมพ์ของคุณลองใช้ประโยชน์จากคำชมของผู้อ่านที่มีต่อสินค้าแฟชั่น ไปทำการสำรวจความคิดเห็นตามท้องถนนดูสิคะ อยากรู้ว่าคนทั่วไปต่อต้านสินค้าแฟชั่น หรือต่อต้านสินค้าแฟชั่นที่นำเข้าจากต่างประเทศกันแน่”
หัวหน้าฝ่ายโฆษณาตอบกลับมาทางโทรศัพท์ “คุณหลอกใช้เราให้โปรโมตโฆษณาของคุณทางอ้อมอีกแล้ว”
ถึงจะพูดอย่างนั้น แต่เขาก็ยอมทำตามโดยดี
เรื่องนี้ถือเป็นประเด็นร้อนแรงในสังคม
ถ้าทำการสำรวจความคิดเห็นของผู้คนตามท้องถนน เรียบเรียงเป็นบทความ แล้วตีพิมพ์ลงในหนังสือพิมพ์ ยอดขายหนังสือพิมพ์จะต้องพุ่งกระฉูดแน่นอน
หลังจากพูดคุยกับหัวหน้าฝ่ายโฆษณาเสร็จ หลินม่ายก็ไปที่สถานีโทรทัศน์ CCTV โดยไม่ลืมสะพายกระเป๋าไปด้วย
เธอขอเข้าพบผู้อำนวยการหยิ่นโดยตรง เพื่อแจ้งให้เขาทราบว่าโฆษณาUniqueของเธอได้รับการตีพิมพ์ลงข่าวค่ำปักกิ่งแล้ว ซึ่งเสียงตอบรับจากผู้อ่านดีมาก จึงหวังว่าทาง CCTV จะอนุมัติให้มีการออกอากาศโฆษณาUniqueของเธอด้วย
หลังจากที่ผู้อำนวยการหยิ่นตรวจสอบแล้ว พบว่าหลินม่ายพูดความจริง แต่เขาก็ยังไม่เห็นด้วยกับเธอในทันที
หลินม่ายถูกขอร้องให้กลับไปรอฟังข่าว เพราะพวกเขาต้องประชุมหารือกันและตัดสินใจว่าจะออกอากาศโฆษณาของเธอดีหรือไม่
หลินม่ายไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากกลับไปที่เกสต์เฮ้าส์ แม้แต่อาหารมื้อเที่ยงก็ไม่มีอารมณ์จะกิน
โชคดีที่หลังบ่ายสองโมง ทางสถานีโทรทัศน์ก็โทรกลับมาหาเธอ
บอกว่าทางสถานีโทรทัศน์ตกลงที่จะออกอากาศโฆษณาของเธอ ให้เธอเข้ามาเซ็นสัญญาได้เลย
หลินม่ายรีบไปที่สถานีโทรทัศน์ CCTV อย่างไม่รอช้าโดยพาบอดี้การ์ดไปด้วยสองคน กับเงินสดอีกห้าหมื่นหยวน
เมื่อเธอมาถึงหน้าประตูสถานีโทรทัศน์ เธอขอให้บอดี้การ์ดทั้งสองรออยู่ข้างนอก ส่วนเธอเดินเข้าไปในสถานีตามลำพัง
เอกสารสัญญาได้รับการลงนามอย่างราบรื่น ภายในครึ่งชั่วโมง หลินม่ายก็เดินกลับออกมา
พอกลับมาที่เกสต์เฮาส์ เธอได้รับข่าวดีอีกครั้งจากพนักงานขายหลายคนในเมืองหลวง
พวกเขาใช้เวลาไม่ถึงหนึ่งวันก็สามารถเจรจาเปิดสาขาในห้างสรรพสินค้าทั้งหมดได้แล้ว ร้านUniqueสามารถเปิดตัวพร้อมกันได้ภายในวันพรุ่งนี้
ห้องพักส่วนตัวในเกสต์เฮาส์ไม่มีโทรทัศน์ มีโทรทัศน์แค่เครื่องเดียวซึ่งตั้งอยู่ที่ล็อบบี้
ทันทีที่เวลาล่วงไปถึงหนึ่งทุ่มตรง หลินม่ายและคนอื่น ๆ ก็ออกไปที่ล็อบบี้ของเกสต์เฮาส์เพื่อดูโทรทัศน์
พวกเขาไม่ใช่คนกลุ่มเดียวที่ออกมาดูโทรทัศน์ในล็อบบี้ ผู้พักอาศัยเกือบทั้งหมดในเกสต์เฮ้าส์ก็ออกมาดูเช่นเดียวกัน
โทรทัศน์จอขาวดำเครื่องเล็ก ๆ เต็มไปด้วยผู้คนมากมายที่นั่งรอชมกันอยู่ด้านหน้า
หลังจากรายการข่าวจบ ก็ถึงเวลาที่ละครจะออกอากาศ
ในอดีตก่อนที่ละครโทรทัศน์จะออกอากาศ หน้าจอทีวีจะว่างเปล่า หรือไม่ก็ตัดภาพไปที่ที่เขี่ยบุหรี่ซึ่งวางอยู่เฉย ๆ
วันนี้จึงเป็นครั้งแรกที่มีโฆษณามาคั่นระหว่างรายการ
เสื้อผ้าแบรนด์Uniqueนั้นทันสมัยและสวยงามมาก จางอวี้ที่เป็นผู้สวมใส่ก็สวยหวานจนไม่อาจละสายตา
นอกจากนี้โฆษณายังใช้เทคนิคการถ่ายทำขั้นสูง จนดูเหมือนเป็นแฟชั่นระดับบล็อกบัสเตอร์
ต่อให้เป็นปี 2020 เทคนิคดังกล่าวก็เป็นอะไรที่สะดุดตามากเหมือนกัน
ในล็อบบี้ของเกสต์เฮาส์ ผู้ชมที่กำลังจะแยกย้ายกันไปดื่มน้ำหรือเข้าห้องน้ำถึงกับหยุดชะงัก เมื่อเห็นโฆษณาที่สวยงามแบบนั้นบนจอทีวี พวกเขาก็ถูกดึงดูดทั้งหมด
คนที่อยากดื่มน้ำถึงกับหยุดดื่ม ส่วนคนที่ไปเข้าห้องน้ำก็รีบทำธุระแล้วออกมาอย่างรวดเร็ว
ระหว่างที่ดูโฆษณาUniqueกันอยู่นั้น ทุกคนต่างก็วิพากษ์วิจารณ์ถึงเรื่องนี้
“ชื่อUnique? แบรนด์ของต่างประเทศหรอกเหรอ? เสื้อผ้าสวยมากเลย!”
“ต่อให้สวยแค่ไหนก็เป็นสินค้าของต่างชาติอยู่ดี ถ้าผลิตภายในประเทศเราเองยังว่าไปอย่าง คว่ำบาตร คว่ำบาตร”
ยังไม่ทันที่บทสนทนาของทุกคนจะจบลง โฆษณาในจอก็จบลงแล้ว
แต่ในตอนท้ายของโฆษณา ประโยคหนึ่งกลับปรากฏขึ้นบนหน้าจอ
‘เสื้อผ้าUnique เสื้อผ้าฝีมือชาวจีน สินค้าดีที่เราภาคภูมิใจ’
หลินม่ายนิ่งงันไปครู่หนึ่ง
เธอไม่ได้ขอให้พวกเขาเพิ่มสโลแกนที่ว่าเข้าไปในโฆษณา หมายความว่าทางสถานีโทรทัศน์เพิ่มเข้าไปเอง
คงเพราะกลัวว่าผู้ชมจะต่อต้านโฆษณาตัวนี้ จึงเน้นย้ำเป็นพิเศษว่าแบรนด์Uniqueเป็นสินค้าที่ผลิตในประเทศ
ทันใดนั้นผู้ชมก็ตกอยู่ในความโกลาหล
ใครคนหนึ่งโพล่งขึ้นด้วยความประหลาดใจ “เสื้อผ้าพวกนี้ผลิตในประเทศเราจริงเหรอ? ต้องล้อกันเล่นแน่ ๆ คนในประเทศเราจะคิดค้นแบบเสื้อที่ทันสมัยขนาดนี้ได้ยังไง?”
“ต้องเป็นความจริงอยู่แล้ว คุณไม่เห็นเหรอว่าเจ้าของแบรนด์นี้เป็นชาวเจียงเฉิงเชียวนะ?” คนที่ช่วยอธิบายแสดงสีหน้าภาคภูมิใจ
ยังมีบางคนที่สับสน “ในเมื่อมันเป็นผลิตภัณฑ์ในประเทศ แล้วทำไมถึงใช้ภาษาต่างประเทศมาตั้งชื่อล่ะ? ตอนแรกฉันคิดว่ามันเป็นสินค้าจากต่างประเทศซะอีก!”
หลินม่ายรู้สึกละอายใจเล็กน้อย การใช้ภาษาต่างประเทศมาตั้งชื่อแบรนด์สินค้าภายในประเทศดูไม่เหมาะสมจริง ๆ ด้วย บางทีในอนาคตเธออาจต้องเปลี่ยนชื่อเป็นภาษาจีนเสียแล้ว
หลินม่ายเห็นว่าผู้ชมไม่แสดงท่าทางต่อต้านโฆษณาUniqueเลย ตรงกันข้าม พวกเขาต่างก็ภาคภูมิใจในสินค้าของเธอมาก
สิ่งนี้ช่วยสร้างความมั่นใจว่าโฆษณาของเธอจะไม่ถูกถอนออกในภายหลัง
ในปักกิ่งไม่มีธุระใดที่หลินม่ายต้องจัดการด้วยตัวเองอีก ต่อให้เกิดปัญหาบางอย่างขึ้นก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่มากมายอะไร พนักงานขายทุกคนสามารถจัดการได้อย่างสมบูรณ์แบบ
ถ้าปัญหาอยู่เหนือความสามารถของพวกเขาจริง ๆ ก็แค่ต่อสายโทรหาเธอ แล้วเธอจะสั่งการจากระยะไกล
หลินม่ายตัดสินใจเดินทางกลับเจียงเฉิงภายในวันพรุ่งนี้ เพราะเธอต้องรีบกลับไปสอบไล่ประจำเดือน
ถ้าเธอสอบไม่ผ่านตั้งแต่เดือนแรกที่เข้าเรียนชั้นมัธยมปลาย อาจารย์หวังต้องไม่พอใจเธอมากแน่ ๆ
วันรุ่งขึ้น หลังอาหารเช้า หลินม่ายก็เก็บของแล้วพาฟางจั๋วเยวี่ยไปซื้อตั๋วเครื่องบินด้วยกัน
สหายน้องชายทั้งสี่ของเฉินเฟิงรู้สึกครั่นเนื้อครั่นตัวขึ้นมาทันที ถามอย่างมีความหวังว่าพวกเขาสามารถขึ้นรถไฟกลับไปได้ไหม
พวกเขายังหวาดกลัวกับประสบการณ์ที่ได้เจอบนเที่ยวบินล่าสุด ถ้าเป็นไปได้ก็ไม่อยากขึ้นเครื่องบินอีก
แต่หลินม่ายที่อยากกลับบ้านโดยเร็วที่สุดยืนกรานว่าจะเดินทางกลับโดยเครื่องบินตามเดิม
ชายอกสามศอกทั้งห้าไม่สามารถต้านทานหญิงสาวบอบบางเพียงคนเดียวได้ ดังนั้นพวกเขาจึงจำใจยอมรับ
พอไปถึงสนามบิน เธอเห็นว่าเที่ยวบินไปเจียงเฉิงเที่ยวแรกเป็นเวลาสิบโมงครึ่ง
ยังเหลือเวลาอีกเยอะกว่าจะถึงสิบโมงครึ่ง
หลินม่ายจึงตั้งใจว่าจะซื้อของขวัญจำนวนหนึ่ง แล้วพาฟางจั๋วเยวี่ยแวะไปเยี่ยมคุณปู่จ้าว สหายเก่าของคุณปู่ฟางตามที่อยู่ที่คุณปู่ฟางเขียนไว้ให้
ถึงแม้คุณปู่จ้าวจะเกษียณอายุราชการแล้วก็ตาม แต่เนื่องจากสวัสดิการบำนาญ ถึงเขาจะเกษียณแล้วก็จริง แต่ยังสามารถอาศัยอยู่ในบ้านพักข้าราชการตามเดิม
สมัยที่คุณปู่ฟางและคุณย่าฟางยังไม่เกษียณ พวกเขาก็อาศัยอยู่ในบ้านพักข้าราชการในบริเวณเดียวกัน
ตอนที่ฟางจั๋วเยวี่ยเรียนอยู่ชั้นประถม เขามักจะแวะมาเยี่ยมคุณปู่และคุณย่าเกือบทุกวันหยุดช่วงฤดูร้อน ดังนั้นจึงค่อนข้างคุ้นเคยกับละแวกนี้ดี
ทันทีที่เขาเดินนำหลินม่ายเข้าไปในละแวกนั้น ก็บังเอิญเจอกับเพื่อนเล่นสมัยเด็ก ๆ หลายคน
ทุกคนต่างเข้ามาล้อมรอบเขาและหลินม่าย พลางพูดจาหยอกล้อ “นายนี่ไม่เบาเลยนะ ได้แฟนสวยขนาดนี้เชียว!”
ฟางจั๋วเยวี่ยสะดุ้งโหยง รีบอธิบาย “อย่าพูดจาไร้สาระน่า เธอไม่ใช่แฟนฉัน แต่เป็นพี่สะใภ้ของฉันต่างหาก”
เพื่อนเก่าของเขาต่างพากันประหลาดใจ “พี่ชายนายมีแฟนใหม่แล้วเหรอ?”
ฟางจั๋วเยวี่ยกลัวว่าเพื่อน ๆ ของเขาอาจเผลอพูดถึงแฟนเก่าของฟางจั๋วหรานโดยไม่ได้ตั้งใจ ซึ่งจะทำให้หลินม่ายรู้สึกอึดอัดเสียเปล่า จึงทำเป็นต่อยและเตะเพื่อน ๆ ให้หลีกทางไป
เพื่อน ๆ พากันวงแตกด้วยเสียงหัวเราะ จากนั้นก็เดินวกกลับมาอีกครั้ง เพื่อเชิญฟางจั๋วเยวี่ยไปรับประทานอาหารมื้อเย็นด้วยกัน ไม่ลืมบอกให้เขาพาพี่สะใภ้ไปด้วย
แต่ฟางจั๋วเยวี่ยปฏิเสธความหวังดีของพวกเขาอย่างมีเหตุผล
หลินม่ายเดินตามฟางจั๋วเยวี่ยมาถึงบ้านของคุณปู่จ้าว ซึ่งคุณปู่จ้าวและภรรยาของเขาอยู่ที่บ้านพอดี
เคยมีคำกล่าวที่ว่า กาเข้าฝูงกา หงส์เข้าฝูงหงส์ คุณปู่ฟางและคุณย่าฟางเป็นผู้สูงอายุที่มีจิตใจดี คุณปู่จ้าวและคุณย่าจ้าวเองก็ใจดีมากเหมือนพวกเขา
ทันทีที่พวกเขาเห็นฟางจั๋วเยวี่ย สองสามีภรรยาทั้งสองต่างก็ตะโกนลั่นด้วยความตื่นเต้น โผเข้ากอดฟางจั๋วเยวี่ยไว้อย่างแนบแน่น ถามไถ่ว่าสุขภาพร่างกายของคุณปู่ฟางและคุณย่าฟางเป็นอย่างไรบ้าง
ทั้งสองฝ่ายพูดคุยกันอยู่พักหนึ่ง จากนั้นคุณย่าจ้าวก็หันมาถามว่าหลินม่ายเป็นใคร
ฟางจั๋วเยวี่ยจึงแนะนำพวกเขาและหลินม่ายให้รู้จักกันไว้
คุณย่าจ้าวตื่นเต้นมากเมื่อได้ยินว่าเธอเป็นแฟนของฟางจั๋วหราน
เธอเดินเข้ามาจับมือหลินม่าย แล้วถามว่าเมื่อไรเธอกับฟางจั๋วหรานจะจัดงานแต่งเสียที
หลินม่ายหน้าแดง ตอบกลับว่า “ต้องรอให้ฉันเรียนจบก่อนค่ะ”
เมื่อคุณย่าจ้าวรู้ว่าเธอเพิ่งเริ่มเรียนชั้นมัธยมปลายเท่านั้น ก็รู้สึกเห็นอกเห็นใจฟางจั๋วหรานมาก บอกว่าเขาต้องอดทนมากทีเดียว
สองสามีภรรยาชราเชื้อเชิญให้ฟางจั๋วเยวี่ยกับหลินม่ายอยู่รับประทานอาหารกลางวันด้วยกัน แต่หลินม่ายปฏิเสธ
เธอให้เหตุผลว่าพวกเขาซื้อตั๋วเครื่องบินไว้แล้ว ต้องกลับไปให้ทันขึ้นเครื่องเวลาสิบโมงครึ่ง จึงอยู่รับประทานอาหารกับพวกเขาไม่ได้
คุณปู่จ้าวและภรรยาไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากยอมแพ้
หลังออกมาจากบ้านพักข้าราชการ พวกเขาเดินผ่านร้านเป็ดปักกิ่งที่เปิดโดยพ่อค้ารายย่อย ทันใดนั้นหลินม่ายก็นึกขึ้นได้ว่าตอนที่เธอกับคุณปู่ฟางและคุณย่าฟางเจอกันเป็นครั้งแรก พวกเขาเคยร่วมโต๊ะกินเกี๊ยวด้วยกัน แล้วพวกเขาก็พูดถึงเป็ดปักกิ่งขึ้นมา
เธอเคยให้สัญญาไว้ว่า ถ้าตัวเองร่ำรวยขึ้นเมื่อไหร่ เธอจะพาคุณปู่ฟางและคุณย่าฟางไปที่เมืองหลวงเพื่อกินเป็ดปักกิ่ง
น่าเสียดายที่ตอนนี้เธอร่ำรวยแล้วก็จริง แต่อีกนานกว่าเธอจะมีเวลาว่างพาสองสามีภรรยาชรามาที่เมืองหลวงเพื่อกินเป็ดปักกิ่ง
รอบนี้เธอเลยเหมาเป็ดย่างสองถึงสามตัวจากร้านเฉวียนจวี้เต๋อ แล้วขนกลับบ้านไปให้คุณปู่ฟางและภรรยาของเขาเพื่อสนองความต้องการไปพลาง ๆ ก่อน
นอกจากนี้ยังซื้อผลไม้เชื่อม ขนมลากลิ้งตัว(1) สุราหอมหมื่นลี้ ฟู่หลิงเจียปิง(2) ซูถัง(3) หลากหลายอย่าง ขาหมูตุ๋นจากเทียนฟู่… นำกลับไปเป็นของฝากจากกรุงปักกิ่ง รวมกันแล้วเป็นจำนวนไม่น้อยเลย
……………………………………………………………………………………………………………..
ขนมลากลิ้งตัว หรือ หลีว์ต๋ากุ่น (驴打滚) เป็นแป้งข้าวเหนียวไส้ถั่วแดงที่ม้วนจนมีลักษณะคล้ายแยมโรล โรยด้วยถั่วเหลืองคั่ว
ฟู่หลิงเจียปิง ขนมของฝากยอดนิยมของปักกิ่ง เป็นแผ่นแป้งบางกรอบสีขาวประกบไส้อยู่ตรงกลาง
ซูถัง ไม่ใช่ชื่อขนม แต่เป็นประเภท คือถั่วหรือธัญพืชที่เอาไปเคี่ยวกับน้ำตาล ขนมตุบตับ ถั่วตัด ก็จัดอยู่ในหมวดนี้
สารจากผู้แปล
งานสำเร็จไปอีกอย่าง เดินทางกลับเจียงเฉิงดีๆ นะม่ายจื่อ
ไหหม่า(海馬)