แม่ปากร้ายยุค 80 - ตอนที่ 519 ไฟไหม้กลางดึก
ตอนที่ 519 ไฟไหม้กลางดึก
หลินม่ายเก็บข้าวของเตรียมจะออกไป พอได้ยินแบบนั้นก็หยุดชะงักกึก ถามว่า “คนสารเลวนั่นยังมีแผนจะทำอะไรอีก?”
“เขาคิดจะทำให้ภายในไซต์งานของเรามีคนบาดเจ็บล้มตาย”
ทันใดนั้นสีหน้าของหลินม่ายก็จริงจังขึ้นมาทันที
ช่างเป็นแผนการที่ร้ายกาจมาก
ถ้ามีอุบัติเหตุไม่คาดฝันเกิดขึ้นภายในไซต์งานก่อสร้างสะพานต่างระดับจริง ในอนาคตบริษัทของเธอก็จะไม่สามารถขอรับโครงการพัฒนาเมืองจากทางรัฐบาลได้อีก
หลินม่ายนึกสงสัย “คนแซ่หูสารภาพความผิดทั้งหมดด้วยตัวเองเหรอ?”
ถึงแม้คนแซ่หูจะดูมีนิสัยตรงไปตรงมาและมุทะลุ แต่คนอย่างเขาคงไม่มีทางรับสารภาพถึงสิ่งที่เขายังไม่ได้ลงมือทำแน่ เพราะเขาไม่ใช่คนโง่
เฉินเฟิงส่ายหัว “เปล่า ลูกน้องของเขาต่างหากที่รับสารภาพเพื่อหวังลดหย่อนโทษ”
หลินม่ายยังติดใจไม่หาย “ลูกน้องของคนแซ่หูได้อธิบายหรือเปล่า ว่าคนแซ่หูนั่นวางแผนทำให้พวกเราเกิดการบาดเจ็บล้มตายด้วยวิธีไหน?”
“เขาบอกว่าในระหว่างทำงานก่อสร้าง จะใช้จังหวะช่วงที่ไม่มีใครให้ความสนใจ ผลักเพื่อนร่วมงานลงมาจากที่สูง หรือไม่ก็ผลักเพื่อนร่วมงานให้ตกลงไปในบ่อซีเมนต์ แต่ต้องลงมืออย่างแนบเนียนที่สุด ให้สิ่งที่เกิดขึ้นดูเหมือนเป็นอุบัติเหตุ”
หลินม่ายเส้นขนลุกตั้งชันขึ้นทันทีหลังจากได้ยินแบบนั้น
ถ้าคนแซ่หูทำตามแผนการที่ว่าสำเร็จ ผลกระทบที่โครงการก่อสร้างสะพานต่างระดับได้รับอาจไม่ใช่เรื่องใหญ่ เพราะมีเรื่องที่ใหญ่กว่านั้นคือมีคนเสียชีวิต
หลังจากได้โอกาสเกิดใหม่ เธอก็หวงแหนชีวิตของตัวเองยิ่งกว่าเดิม
หลินม่ายตบหน้าอกเบา ๆ ก่อนจะพูดด้วยความโล่งใจ “ดีแล้วที่คนแซ่หูถูกจับซะก่อน เราถึงรอดพ้นจากหายนะครั้งนี้ไปได้”
เฉินเฟิงพยักหน้าเห็นด้วย แล้วเงยหน้าขึ้นพร้อมกับถามว่า “เธอคิดไหมว่าทำไมลูกน้องของคนแซ่หูถึงยอมรับสารภาพในแผนชั่วร้ายที่คนแซ่หูยังไม่ได้สั่งการให้ลงมือ?”
“ทำไมเหรอ?” หลินม่ายถามกลับ
“ก่อนหน้านี้เธอเป็นคนวิเคราะห์เองนี่ ว่าแก๊งโจรที่ขโมยเหล็กของเราไปน่าจะเกี่ยวข้องกับคนงานคนแรกที่เรียกร้องอยากดื่มเหล้า? ฉันจะบอกให้ว่าเธอเดาไม่ผิดเลย คนแรกที่อยากดื่มเหล้าก็คือหนอนบ่อนไส้ของคนแซ่หู เพื่อไม่ให้ตัวเองถูกรับโทษหนัก หนอนบ่อนไส้ตัวนั้นเลยยอมสารภาพแผนการของคนแซ่หู โดยเฉพาะเรื่องที่เขาอยากทำให้คนงานในไซต์งานเราประสบอุบัติเหตุจากการทำงาน”
หลินม่ายหัวเราะเยาะ “พอหมากัดกันเอง ปากก็เต็มไปด้วยขน”
เหล็กถูกตามกลับคืนมาได้แล้ว หนอนบ่อนไส้ก็ถูกกำจัดแล้วเหมือนกัน หลินม่ายจึงแวะเข้าไปที่โรงงานตัดเสื้อUniqueอย่างอารมณ์ดี
ถึงตอนนี้จะเป็นเวลาสองทุ่มแล้ว แต่ภายในโรงงานตัดเสื้อUniqueกลับยังเปิดไฟสว่างไสว
นอกเหนือจากแผนกที่มีจำนวนคนน้อย เช่น แผนกบัญชีและการเงิน หรือแผนกบุคคล พนักงานทุกคนต่างก็ทำงานล่วงเวลา
พอเถาจืออวิ๋นและคนอื่น ๆ เห็นหลินม่าย พวกเขาก็ทั้งประหลาดใจและตื่นเต้นในแบบเดียวกันกับคุณปู่ฟางและภรรยาของเขา ถามว่าทำไมถึงได้กลับมาเร็วนัก
ในขณะที่เธอกำลังแจกจ่ายของฝากที่หิ้วกลับมาจากกรุงปักกิ่งให้กับทุกคน หลินม่ายก็บอกพวกเขาว่า นอกจากรถไฟไปจิ่วเจียงแล้ว การเดินทางที่เหลือก็อาศัยเครื่องบินเป็นหลัก
เครื่องบินช่วยประหยัดเวลาไปได้มาก ดังนั้นเธอถึงได้กลับมาเร็ว
ทุกคนต่างไม่เคยขึ้นเครื่องบินมาก่อน พากันถามหลินม่ายยกใหญ่ว่าความรู้สึกตอนที่ได้นั่งเครื่องบินเป็นยังไงบ้าง
หลินม่ายเล่าให้ทุกคนฟังว่าประสบการณ์ในการเหินฟ้าเป็น ‘ครั้งแรก’ ของตัวเองเป็นอย่างไร
พวกเขาพูดคุยกันสักพัก จากนั้นก็แยกย้ายกันไปทำงานต่อ
หลินม่ายแอบกระซิบถามเถาจืออวิ๋นว่าช่วงนี้หม่าเทามาก่อกวนบ้างหรือเปล่า
เถาจืออวิ๋นส่ายหน้า “ไม่เลย สงสัยคงกลัวว่าจะถูกพี่ชายฉันไล่ฟาด ก็เลยไม่กล้าแหยมหน้ามา”
หลินม่ายพยักหน้า “ดีแล้วล่ะ”
จากนั้นก็กำชับหล่อนว่าอย่าทำงานล่วงเวลาจนดึกดื่น พยายามกลับบ้านก่อนเวลา ถ้ากลับดึกมากอาจไม่ปลอดภัย
หลังจากเถาจืออวิ๋นขอตัวจากไปแล้ว หลินม่ายก็เดินเข้าไปที่ห้องทำงานส่วนตัว ถามเสิ่นเสี่ยวผิงเกี่ยวกับสถานการณ์ของโรงงานตัดเสื้อในช่วงที่เธอไม่อยู่
เสิ่นเสี่ยวผิงรายงานว่า เมื่อวานนี้ทุกอย่างดำเนินไปอย่างสงบเรียบร้อยดี
จนกระทั่งช่อง CCTV ออกอากาศโฆษณาUniqueเป็นครั้งแรกเมื่อคืนนี้ ทำให้วันนี้ยอดขายเสื้อผ้าUniqueยิ่งพุ่งสูงขึ้นจนฉุดไม่อยู่
โดยเฉพาะกิจการร้านค้าส่ง ยอดขายสุทธิมากกว่าปกติถึงสองเท่า
หลินม่ายรู้สึกทึ่งไม่น้อย เธอคิดว่าหลังจากโฆษณาUniqueถูกออกอากาศทางช่อง CCTV ผลตอบรับที่ตามมาต้องไม่ธรรมดาอย่างแน่นอน แต่ไม่คาดคิดว่าผลตอบรับจะดีมากขนาดนี้
เธอถามว่า “ยอดขายพุ่งสูงขึ้น แล้วอุปทานมีเพียงพอหรือเปล่า?”
เสิ่นเสี่ยวผิงตอบกลับ “ตอนที่คุณเดินทางไปคุยธุรกิจ หัวหน้าเถาได้ติดต่อโรงงานตัดเสื้อของรัฐอีกหลายแห่ง ขอให้พวกเขารับงาน OEM จากนั้นก็ป้อนงานให้เบื้องต้น หลังจากโฆษณาของเราออกอากาศเมื่อวานนี้ หัวหน้าเถาถึงโทรไปแจ้งให้โรงงานตัดเสื้อเหล่านั้นเริ่มทำงาน รับประกันได้เลยว่าอุปทานเพียงพอต่ออุปสงค์ค่ะ”
หลินม่ายพยักหน้าด้วยความพึงพอใจ
ในยุคที่ระบบการติดต่อสื่อสารยังด้อยพัฒนา ขั้นตอนการทำงานเป็นทีมภายใต้การจัดการของเธอนับว่ายอดเยี่ยม
ถ้ามีโทรศัพท์มือถือเหมือนในอีกทศวรรษต่อมา หลินม่ายคงประสานงานกับแผนกต่าง ๆ ได้อย่างสะดวกไม่ว่าเธอจะเดินทางไปที่ไหนก็ตาม และสามารถสั่งงานด่วนให้ผู้ใต้บังคับบัญชาได้ตลอดเวลาเช่นกัน
แต่ในยุคนี้ แม้แต่โทรศัพท์สาธารณะก็ไม่ค่อยเป็นที่นิยมเท่าใด จึงแทบเป็นไปไม่ได้เลยที่จะได้รับการอัปเดตสถานการณ์ของแผนกต่าง ๆ ได้ทุกที่ทุกเวลา ต่อให้หลินม่ายจะกำชับนักหนาให้เถาจืออวิ๋นคอยรายงานตลอดก็ตาม
โชคดีที่เถาจืออวิ๋นเริ่มประสานงานกับโรงงานตัดเสื้ออื่นตั้งแต่เนิ่น ๆ ไม่งั้นถ้ารอจนกว่าเธอจะกลับมา ดอกไม้จีนคงเย็นหมดแล้ว(1)
เสิ่นเสี่ยวผิงยังคงรายงานต่อไป “วันที่สองที่คุณหลินเดินทางไปคุยธุรกิจของคุณ ซีม่านก็เปิดร้านใหม่บนถนนฮั่นเจิ้ง คิดจะทำธุรกิจค้าส่งเสื้อผ้าเหมือนกัน”
หลินม่ายถามว่า “ธุรกิจเป็นยังไงบ้าง?”
“ร้านค้าส่งซีม่านไม่ได้อยู่ในซอยเดียวกันกับร้านเรา เลยสามารถหลีกเลี่ยงการเผชิญหน้าทางการค้าโดยตรงได้ ธุรกิจของพวกเขาจึงไปได้สวยในสองวันแรกที่เปิดทำการ แต่พอมาถึงวันนี้ ธุรกิจกลับซบเซาลงมาก อาจเป็นเพราะเรามีโฆษณาทางทีวีในขณะที่พวกเขาไม่มี”
หลินม่ายพยักหน้า “อย่าลืมแจ้งให้รองผู้จัดการโรงงานทราบด้วย ตั้งแต่พรุ่งนี้เป็นต้นไป ราคาขายส่งของร้านเราจะปรับขึ้นให้สูงกว่าเสื้อผ้าร้านซีม่านหนึ่งระดับ”
เธอตั้งใจเพิ่มราคาสินค้าร้านตัวเองให้สูงกว่าซีม่านไม่ว่าจะเป็นร้านขายปลีกไปจนถึงร้านค้าส่ง เพื่อให้มีความแตกต่างจากซีม่าน
Uniqueเป็นแบรนด์เสื้อผ้าสตรีระดับไฮเอนด์เจ้าแรก ในขณะที่ซีม่านเป็นแบรนด์เสื้อผ้าสตรีระดับล่างที่ลอกเลียนแบบ
เมื่อถูกตราหน้าว่าเป็นแบรนด์เสื้อผ้าสตรีระดับล่างขี้ก๊อปแล้ว การค้าขายของอีกฝ่ายคงไม่ง่ายอีกต่อไป
เมื่อแบรนด์เสื้อผ้าระดับล่างถูกกำจัดไปจากเส้นทางคู่แข่ง ตราบใดที่แบรนด์เสื้อผ้าสตรีระดับไฮเอนด์มีระบบการจัดการที่ดี แบรนด์ก็จะทวีความยั่งยืนมากขึ้นเรื่อย ๆ
หลังจากอธิบายให้เสิ่นเสี่ยวผิงฟังแล้ว หลินม่ายก็กลับไปที่บ้าน หยิบหนังสือเรียนขึ้นมาอ่านทบทวน เพราะต้องไปโรงเรียนเพื่อสอบไล่ประจำเดือนในวันพรุ่งนี้
ไม่นานเวลาก็ล่วงมาถึงสี่ทุ่มครึ่ง หลินม่ายเก็บหนังสือเรียนเข้าที่ แล้วเข้านอนตามปกติ
เวลาผ่านไปแค่ไหนไม่ทราบได้ ในขณะที่หลินม่ายนอนหลับสนิท เสียงกริ๊ง ๆ ของโทรศัพท์บนโต๊ะข้างเตียงก็ดังขึ้น ปลุกเธอให้ตื่นจากความฝัน
เธองัวเงียอยู่สองสามวินาที ลุกไปหยิบโทรศัพท์ขึ้นมารับสาย ทันใดนั้นสีหน้าก็เปลี่ยนไป รีบเดินไปที่ตู้เสื้อผ้าแล้วคว้าเสื้อผ้าสำหรับใส่ออกข้างนอกมาสวม
โจวฉายอวิ๋นซึ่งนอนหลับอยู่อีกห้องหนึ่งก็ถูกปลุกด้วยเสียงโทรศัพท์เช่นกัน เธอวิ่งไปที่ห้องนอนของหลินม่ายด้วยอาการงัวเงีย เพื่อถามว่าใครโทรมากลางดึก
ยังไม่ทันถามก็เห็นว่าหลินม่ายกำลังเปลี่ยนเสื้อผ้า
เธอถามด้วยความประหลาดใจ “ดึกมากแล้วนะ เธอยังจะใส่เสื้อผ้าไปไหนอีก?”
หลินม่ายพูดเสียงขรึม “ไฟไหม้โรงงานตัดเสื้อ ฉันต้องออกไปดูหน่อย”
โจวฉายอวิ๋นตื่นขึ้นจากความง่วงงุนทันที ถามด้วยสีหน้าซีดเซียว “จู่ ๆ ไฟไหม้ได้ยังไงกัน? ที่โรงงานมีแผนกรักษาความปลอดภัยเฝ้าอยู่ไม่ใช่เหรอ? ไฟลามเยอะไหม มีอะไรเสียหายบ้าง?”
ท่ามกลางสารพันคำถามร้อยแปดของเธอ หลินม่ายคว้ากุญแจและวิ่งพรวดออกจากประตูบ้านไปแล้ว
พอเธอปั่นจักรยานมาถึงโรงงานตัดเสื้อ พบว่าเปลวเพลิงที่ลุกไหม้ถูกดับลงเรียบร้อยแล้ว ถึงอย่างนั้นก็ยังคงมีควันพวยพุ่งออกมาจากในโกดัง เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยหลายคนระดมกำลังกันใช้ถังดับเพลิงเพื่อดับไฟ
รถดับเพลิงมาถึงล่าช้าเกินไปด้วยซ้ำ
เจ้าหน้าที่ดับเพลิงรีบก้าวลงจากรถ ทำการตรวจสอบเพลิงไหม้ทันที
จากนั้นพวกเขาก็ลากสายยางฉีดน้ำออกมา เล็งไปยังทิศทางที่มีควันไฟพวยพุ่งขึ้นสู่ฟ้า ก่อนจะอัดน้ำเข้าไปเสริม ควันสีเทาค่อย ๆ หยุดการพวยพุ่ง เสร็จงานแล้วนักผจญเพลิงก็ขับรถดับเพลิงจากไป
เพื่อรับมือกับยอดขายที่พุ่งกระฉูดในช่วงนี้ เหรินเป่าจูแบ่งให้พนักงานทำงานล่วงเวลาเป็นสามกะ ดังนั้นต่อให้เวลาจะล่วงไปถึงตีหนึ่ง ก็ยังมีคนงานจำนวนมากทำงานล่วงเวลาอยู่ในโรงงานตัดเสื้อ
ตอนนี้ คนงานทั้งหมดต่างออกมายืนอยู่หน้าโกดังด้วยความตกใจและพูดคุยกันถึงเรื่องที่เกิดขึ้น
โฮ่วซินอี้ตะโกนสั่งให้ทุกคนกลับไปทำงานต่อ บรรดาคนงานถึงแยกย้ายกลับไปที่ไลน์ผลิตของตัวเอง
หลินม่ายเดินเข้าไป เห็นเจ้าหน้าที่ตำรวจสองนายกำลังสอบถามติงไห่เฟิงว่าพวกเขาพบเห็นเปลวเพลิงลุกไหม้ตั้งแต่เมื่อใด และทำไมเขาถึงสงสัยว่าเป็นการลอบวางเพลิง
เมื่อทางตำรวจได้รับแจ้งว่าเป็นการลอบวางเพลิง พวกเขาจึงต้องสืบสวนเพื่อรวบรวมพยานหลักฐาน ถ้าเป็นแค่เหตุอัคคีภัยธรรมดาพวกเขาคงไม่จำเป็นต้องมาที่นี่
ติงไห่เฟิงบอกเจ้าหน้าที่ตำรวจทั้งสองนายว่าพวกเขาเดินมาเจอเปลวเพลิงลุกไหม้ประมาณครึ่งชั่วโมงที่แล้ว
ทันทีที่เห็นว่าไฟไหม้ เขาก็รีบระดมกำลังทั้งหมดเพื่อดับเพลิงอย่างรวดเร็ว
ตอนนั้นไฟยังไม่ได้ลุกลามเป็นวงกว้าง แต่ภายในเวลาแค่ไม่กี่นาที มันกลับกลายเป็นสถานการณ์ที่ไม่สามารถควบคุมได้เสียอย่างนั้น ต้นเหตุก็เพราะมีใครบางคนราดแอลกอฮอล์จำนวนมากลงบนพื้นโกดัง
ตำรวจหนุ่มคนหนึ่งถาม “คุณรู้ได้ยังไงว่ามีคนสาดแอลกอฮอล์จำนวนมากลงบนพื้นโกดัง? มีใครเห็นเหตุการณ์ที่ว่าด้วยตาตัวเองหรือเปล่า?”
ติงไห่เฟิงถึงกับพูดไม่ออก “ถ้าพวกเราเห็นตัวคนที่ก่อเหตุราดแอลกอฮอล์ลงพื้น คนคนนั้นไม่มีทางราดได้แม้แต่หยดเดียวด้วยซ้ำ นับประสาอะไรกับปริมาณมากขนาดนี้ พวกเราสันนิษฐานกันจากกลิ่นฉุนของแอลกอฮอล์ที่พุ่งมาปะทะจมูกทันทีที่เข้าไปในโกดังต่างหาก”
นายตำรวจหนุ่มคนนั้นลูบจมูกตัวเองอย่างไม่สบอารมณ์
จากนั้นนายตำรวจทั้งสองก็เดินตามติงไห่เฟิงเข้าไปในโกดังเพื่อตรวจสอบและรวบรวมหลักฐาน
ยังไม่ทันเข้าไปในโกดัง ทุกคนก็ได้กลิ่นแอลกอฮอล์โชยออกมา พอก้าวขาเข้าไปในโกดังแล้ว กลิ่นยิ่งรุนแรงขึ้นกว่าเดิมเสียอีก
ภายในโกดังเกลื่อนไปด้วยเศษขี้เถ้า
ตำรวจที่ดูมีอายุมากกว่าอีกคนถามติงไห่เฟิงว่าความเสียหายที่เกิดขึ้นคิดเป็นมูลค่าเท่าใด
ติงไห่เฟิงตอบ “ผ้าไม่ต่ำกว่าหนึ่งแสนชิ้นโดนไฟเผาทำลายครับ”
ตำรวจสูงอายุพยักหน้า เมื่อมองไปรอบ ๆ ก็เห็นแค่ความมืดในยามค่ำคืน จึงพูดว่า “ตอนนี้ดึกมากและมืดมาก ยากต่อการค้นหาเบาะแส ไว้เราค่อยมาตรวจสอบอีกครั้งตอนรุ่งเช้าของวันพรุ่งนี้”
………………………………………………………………………………………………………………………….
ดอกไม้จีนเย็นหมดแล้ว เปรียบเปรยว่า สายเกินไป
สารจากผู้แปล
ยัยทังชุ่นอิงวางเพลิงแล้วล่ะมั้งเนี่ย กัดไม่ปล่อยเลยยัยคนนี้
ไหหม่า(海馬)