แม่ปากร้ายยุค 80 - ตอนที่ 541 ไม่มีเบาะแส
ตอนที่ 541 ไม่มีเบาะแส
สองพี่น้องตระกูลไป๋ใช้เวลาอยู่บนรถไฟตลอดทั้งวัน กว่าจะกลับถึงบ้านก็เป็นเวลาหนึ่งทุ่มแล้ว
ไป๋ซวงเป็นคนออกมาเปิดประตูลานบ้านให้พวกเขา แถมยังเป็นฝ่ายเอื้อมไปรับกระเป๋าจากมือของไป๋ลู่ด้วย พฤติกรรมแบบนี้ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน
ก่อนหน้านี้หล่อนอาศัยสุขภาพร่างกายที่อ่อนแอของตัวเอง เพื่อเรียกร้องความรักจากพ่อและแม่
ตราบใดที่พ่อแม่ของเธอปฏิบัติต่อน้องชายหรือพี่สาวดีกว่า หล่อนจะบีบน้ำตาร้องห่มร้องไห้ว่าพวกเขาลำเอียง
ทั้งครอบครัวต่างก็คิดว่าหล่อนสุขภาพไม่แข็งแรง ดังนั้นจึงยอมให้ทุกครั้งไป
เมื่อจู่ ๆ เห็นว่าน้องสาวแสดงน้ำใจแบบนั้น ไป๋ลู่ซึ่งไม่คุ้นเคยกับมันก็ปฏิเสธอย่างขวานผ่าซาก “ฉันถือเองได้ เธอไม่มีแรงถือหรอก”
ไป๋ซวงทำหน้าเบ้เหมือนจะร้องไห้ทันที “พี่รอง พี่ปฏิเสธฉันเพราะฉันไม่มีความสัมพันธ์ทางสายเลือดกับพี่ใช่ไหม?”
ไป๋ลู่ตกตะลึง “ทำไมเธอถึงโยงไปเรื่องนั้นซะได้ ฉันแค่คิดว่าเธอคงมีแรงไม่พอ กระเป๋าของฉันออกจะหนักขนาดนี้ ฉันก็เลยไม่อยากให้เธอถือมัน”
“จริงเหรอ?” ไป๋ซวงน้ำตาคลอเบ้า
“จริงสิ”
จากนั้นไป๋ซวงก็ยิ้มทั้งน้ำตา
ไป๋เซี่ยลอบชำเลืองมองไป๋ซวงด้วยความรังเกียจ จากนั้นก็เดินล่วงหน้าเข้าไปที่ห้องนั่งเล่นก่อน
ไป๋ซวงลอบถลึงตามองตามแผ่นหลังของเขาไป ไม่นานก็กลับมาแสดงสีหน้าปกติ เอ่ยถามไป๋ลู่ “พี่กับน้องชายเจอหลินม่ายหรือเปล่า? หล่อนใช่ลูกสาวของแม่ที่ถูกสลับตัวไปจริงไหม?”
ไป๋ลู่โคลงศีรษะอย่างหัวเสีย “ยังไม่รู้ ฉันไปตามหาหล่อนตามที่อยู่ที่หล่อนให้ แต่ก็ไม่เห็นเจอเลย”
พอไป๋ซวงได้ยินแบบนั้น รอยยิ้มแห่งชัยชนะที่แผนการของตัวเองประสบความสำเร็จก็ฉายวาบผ่านดวงตา
ไป๋ลู่ถาม “พ่อกับแม่กลับมาหรือยัง? พวกเขาได้เบาะแสอะไรมาบ้างหรือเปล่า?”
ไป๋ซวงแสร้งแสดงสีหน้าผิดหวังพร้อมกับพยักหน้า “พ่อแม่กลับมาแล้ว แต่ก็พวกเขาก็ไม่ต่างจากพี่ ไม่เจอเบาะแสอะไรเลย”
ไป๋ลู่ถามด้วยความสงสัย “ทำไมพวกเขาถึงไม่เจอเบาะแสอะไรเลยล่ะ?”
“ฉันได้ยินพ่อแม่คุยกันว่าพ่อและแม่ของเด็กหญิงอีกคนระบุแค่ชื่อตัว แต่ไม่ได้ระบุที่อยู่ เลยไม่มีทางสืบรู้ได้”
เมื่อไป๋ลู่ได้ยินแบบนั้น ความรู้สึกผิดหวังก็ยิ่งทวีคูณ
เมื่อเดินมาถึงห้องนั่งเล่น เห็นว่าทั้งพ่อและแม่ของหล่อนกำลังหน้าตาบูดบึ้ง
หล่อนยังคงถามพวกเขาด้วยความหวังอันริบหรี่ “พ่อแม่ตามหาน้องสาวของฉันเจอไหมคะ?”
แม่ไป๋เงยหน้าขึ้น จากนั้นก็ส่ายหน้าและถอนหายใจ “ไม่เลย!”
ไป๋ลู่พูดด้วยความเศร้าใจ “ถ้าอย่างนั้นพวกเราควรทำยังไงกันดี?”
พ่อไป๋พูดด้วยสีหน้าบูดบึ้งไม่ต่างกัน “เราคงทำอะไรไม่ได้แล้วล่ะ”
หลังจากได้ยินคำนั้น ไป๋ลู่ถึงกับนิ่งเงียบไป เมื่อรู้ว่าความเป็นไปได้ที่ตัวเองจะตามหาน้องสาวแท้ ๆ จนพบมีน้อยนิด
ภายในใจไป๋ซวงมีความสุขมาก แต่หล่อนก็ไม่กล้าแสดงออกผ่านทางสีหน้า
ตราบใดที่พวกเขาตามหาลูกสาวคนเล็กของตระกูลไป๋ตัวจริงไม่เจอ หล่อนก็จะยังคงเป็นลูกสาวคนเล็กของตระกูลไป๋ตลอดไป
โชคดีที่หล่อนมีไหวพริบทันเวลา จึงแอบเข้าไปขโมยกระดาษที่ผู้หญิงชื่อหลินม่ายเขียนที่อยู่ทิ้งไว้ให้ไป๋ลู่ จากนั้นก็เขียนที่อยู่ปลอมใส่กระดาษอีกแผ่นแล้ววางไว้ที่เดิม
ไม่อย่างนั้นถ้าพวกเขาตามลูกสาวคนเล็กที่มีสายเลือดตระกูลไป๋จนเจอ ตระกูลไป๋คงไม่เหลือที่ว่างสำหรับหล่อนอีก
ต่อให้ทุกคนในตระกูลไป๋จะสัญญากับหล่อนครั้งแล้วครั้งเล่า ว่าถึงแม้พวกเขาจะเจอไป๋ซวงตัวจริง พวกเขาก็ไม่มีวันขับไล่หล่อนไปไหน
ซึ่งหล่อนก็เชื่อว่าพวกเขาจะรักษาสัญญา
แต่หล่อนเข้าใจดีว่าต่อให้พวกเขาไม่ขับไล่หล่อนไปไหนก็จริง แต่พวกเขาไม่มีทางปฏิบัติต่อหล่อนเหมือนเป็นแก้วตาดวงใจเช่นเมื่อก่อนแน่
เมื่อเป็นอย่างนั้น หล่อนคงปล่อยให้ไป๋ซวงตัวจริงกลับมาที่บ้านหลังนี้ไม่ได้
ถ้าไป๋ซวงตัวจริงกลับคืนสู่อ้อมอกของครอบครัวที่แท้จริงไม่ได้ พ่อไป๋และแม่ไป๋ก็จะเลิกคิดเกี่ยวกับลูกสาวคนเล็กที่หายตัวไป และกลับมามอบความรักให้หล่อนเหมือนเดิม
…
สภาพแวดล้อมโดยรอบวิลล่าดีมาก เป็นสถานที่ที่เงียบสงบท่ามกลางความวุ่นวายของตัวเมือง
หลินม่ายนอนหลับสนิทตลอดทั้งคืน
แต่ไม่ว่าเธอจะนอนหลับลึกแค่ไหนก็ตาม ทันทีที่เสียงนาฬิกาปลุกดังขึ้น เธอก็ลืมตาตื่นตามปกติ บิดขี้เกียจยืดเส้นยืดสาย แล้วเดินเข้าห้องน้ำไปอาบน้ำล้างตัวด้วยความง่วงงุนเล็กน้อย
เมื่อเธอมาถึงห้องน้ำและเปิดประตูเข้าไป ก็เห็นว่าฟางจั๋วหรานซึ่งสวมกางเกงชั้นในตัวใหญ่แค่ตัวเดียว กำลังทำธุระส่วนตัวอยู่ในห้องน้ำโดยเปลือยท่อนบน
เธออดรู้สึกสับสนไม่ได้
วิลล่าหลังนี้มีห้องน้ำตั้งสี่ห้อง
ห้องน้ำที่ใหญ่ที่สุดอยู่บนชั้นสอง อยู่ในห้องนอนใหญ่ที่มีห้องน้ำในตัวแยกเป็นสัดส่วน
ดังนั้นทุกคนจึงยกห้องนั้นให้กับคุณปู่ฟางและคุณย่าฟาง เพื่อที่พวกเขาจะได้ลุกไปเข้าห้องน้ำตอนกลางคืนได้อย่างสะดวก
ชั้นหนึ่งมีห้องน้ำรวม เช่นเดียวกับชั้นสองและชั้นสาม ฟางจั๋วหรานไปเข้าห้องน้ำที่ชั้นหนึ่งและชั้นสองไม่สะดวกกว่าเหรอ
เขาจงใจ เขาจะต้องจงใจแน่ ๆ เพราะห้องนอนของเขาไม่ได้อยู่ชั้นสาม
ถึงฟางจั๋วหรานจะบุกรุกอาณาเขตของหลินม่าย แต่เธอกลับไม่โกรธเขาแต่อย่างใด
แผ่นหลังเปลือยเปล่าของศาสตราจารย์ฟางทั้งเรียบเนียนและขาวกระจ่าง หลินม่ายจ้องมองนิ่งไม่กะพริบตา จนเลือดกำเดาเกือบพุ่งพรวดออกจากจมูกอยู่แล้ว
พอฟางจั๋วหรานซักผ้าเสร็จ เขาก็หันกลับมา พร้อมกับส่งยิ้มให้เธออย่างสดใส
ทันใดนั้นกวีโบราณบทหนึ่งก็ผุดขึ้นมาในใจหลินม่าย ‘เพียงชม้ายอายสรวลแสนยวนตา แต่นั้นมาภูวไนยไม่ออกท้องพระโรง’(1)
(ปล.ผู้แต่งเขียนบทกวีโบราณผิดพลาดโดยเจตนา ส่วนเหตุผลที่เขียนผิดผู้อ่านที่น่ารักคงเข้าใจ)
ทันใดนั้นความเขินอายก็พุ่งปรี๊ดขึ้นมา ความยุ่งเหยิงสารพัดโยงใยตีกันอยู่ในหัวสมอง…
ขณะที่ใบหน้าของเธอแดงก่ำ พยายามหลบเลี่ยงสายตาที่จ้องมองตรงมาของศาสตราจารย์ เขาก็เดินเข้ามาหาเธอ
จากนั้นเขาก็หยุดกะทันหัน แล้วจ้องมองใบหน้าของเธอที่อยู่ใกล้แค่เอื้อม
ใบหน้าหลินม่ายแดงเถือกจนเหมือนลูกมะเขือเทศสุกปลั่งเพราะเขา
เธอรู้ดีว่าตั้งแต่ตัวเองผิวขาวขึ้น องค์รวมของเธอก็สวยราวกับนางฟ้า ทำให้เธอกลายเป็นจุดสนใจของทุกคนในทุกที่ที่เธอไป
ด้วยเหตุนี้เธอจึงพยายามไม่แต่งหน้า เพราะกลัวว่าถ้าตัวเองแต่งหน้าแล้วออกไปข้างนอก ผู้คนที่สัญจรผ่านอาจอุบัติเหตุบนท้องถนนได้
แต่เธอกับฟางจั๋วหรานเจอหน้ากันทุกวัน เขาคงไม่ทึ่งกับความสวยธรรมชาติของเธอขนาดนั้นหรอกมั้ง
ถึงปฏิกิริยาความคลั่งรักจนมองอย่างไม่ละสายตาออกจะจริงจังเกินไป แต่ภายในใจของหลินม่ายก็เต็มไปด้วยความสุขและมั่นใจอย่างเต็มเปี่ยม
ผู้หญิงคนไหนบ้างไม่อยากให้คู่หมั้นมองตัวเองว่าสวยอยู่ตลอดเวลา?
ถ้าคู่หมั้นสวยมากจนเขามองเห็นแต่เธอ สายตาของเขาก็จะไม่มีวันเหลียวแลผู้หญิงคนอื่นอีก
ในขณะที่หลินม่ายกำลังรู้สึกพึงพอใจอยู่นั้น ศาสตราจารย์ก็โพล่งขึ้นขัดอารมณ์ทันที “คุณเป็นใครกัน?”
ความเขินอายแทบจะม้วนตัวบนใบหน้าของหลินม่ายจางหายไปทันที ทั้งสองหมั้นกันแล้วแท้ ๆ แต่ผู้ชายคนนี้กลับพูดมาได้ว่าเขาไม่รู้จักเธอ!
ยังไม่ทันที่เธอจะหยิกเขาหรืออ้าปากต่อว่าใด ๆ จู่ ๆ ศาสตราจารย์ก็ยกมือขึ้นมาเชยคางเธอขึ้น พร้อมกับขยับใบหน้าเข้ามาใกล้
ท่าทางนั้นคลุมเครือมาก ราวกับฉากจูบจะเกิดขึ้นภายในอีกไม่กี่นาทีนี้ หลินม่ายหลับตาลงด้วยความขวยเขิน ไม่ยอมเคลื่อนไหวเป็นเวลานาน
แต่แล้วเธอก็ลืมตาขึ้นด้วยความสับสน เห็นว่าฟางจั๋วหรานยังคงจ้องมองใบหน้าเธอด้วยความสงสัยเต็มประดา ราวกับกำลังดูเซลล์ภายใต้กล้องจุลทรรศน์
ไม่นานหลังจากนั้น เขาก็ยกมุมปากขึ้นเป็นรอยยิ้ม “ที่แท้คุณก็คือม่ายจื่อตอนไม่ได้แต่งหน้านี่เอง”
หลินม่ายเพิ่งจะรู้ตัวว่าถูกฟางจั๋วหรานแกล้ง เธอรู้สึกหงุดหงิดเล็กน้อย “ถ้าคุณจำฉันไม่ได้จริง ๆ ฉันจะฆ่าคุณซะ!”
ก่อนที่กำปั้นเล็ก ๆ ของเธอจะกระทบลงบนร่างกายฟางจั๋วหราน เขาก็คว้าหมับเข้าให้
จากนั้นก็ใช้มืออีกข้างเช็ดสิ่งคัดหลั่งจากหางตาให้เธอ
(ผู้เขียนขอเลี่ยงไม่ใช้คำว่าขี้ตา เพราะกลัวว่าสองคำนี้จะทำลายภาพลักษณ์ของนางเอก 55555555)
หัวใจของหลินม่ายแทบแหลกสลายเป็นเสี่ยง ๆ
ก่อนที่เธอจะเดินออกมาจากห้องนอน ทำไมถึงไม่ยอมทำความสะอาดก้อนเล็ก ๆ ทั้งสองก้อนนั้นซะตั้งแต่แรกกันนะ
หมอเป็นอาชีพที่ใส่ใจความสะอาดเป็นหลัก ดังนั้นคงดูแย่นิดหน่อยที่ศาสตราจารย์ต้องมาเห็นเธอในสภาพนี้
ฟางจั๋วหรานไม่รู้ด้วยซ้ำว่าภายในใจหลินม่ายอัดแน่นไปด้วยเรื่องดราม่ามากมาย
เขาขมวดคิ้วเล็กน้อยก่อนจะพูดว่า “คุณล้างหน้าไม่ถูกวิธีแน่ ๆ ตรงจมูกถึงมีสิวหัวดำขึ้นประปราย มานี่เลย เดี๋ยวผมล้างหน้าให้คุณเอง”
หลังจากฟางจั๋วหรานพูดจบ เขาก็หยิบผ้าเช็ดหน้าของหลินม่ายไปแช่น้ำใต้ก๊อก จากนั้นก็บิดจนหมาด แล้วค่อย ๆ เช็ดหน้าให้เธออย่างระมัดระวังภายใต้สายตาที่เต็มไปด้วยความงุนงงของหลินม่าย
หลังจากนั้นก็ไม่ลืมบอกเธอให้ดูแลผิวหน้าให้ดี อย่าคิดว่าตัวเองสวยแบบธรรมชาติสรรค์สร้างแล้วจะละเลยการบำรุงอย่างไรก็ได้
แถมยังบอกให้เธอใช้ครีมที่เขาซื้อให้เสียบ้าง จะปล่อยทิ้งไว้จนเนื้อครีมแข็งหมดอายุไปหรืออย่างไร
หลินม่ายรับฟังคำแนะนำของเขาเงียบ ๆ รู้สึกว่าเขาแอบจู้จี้อยู่เหมือนกัน ก่อนหน้านี้เขาไม่ใช่คนพูดมาก แต่ตอนนี้กลับทำตัวราวกับเป็นพ่อแก่
ฟางจั๋วหรานเช็ดหน้าให้หลินม่ายเสร็จแล้ว เขาก็จ้องมองเธออยู่เป็นเวลานาน ยิ่งมองก็ยิ่งหลงจนอดใจไม่ไหว รวบตัวเธอเข้ามาในอ้อมแขนตัวเองทันที
ตอนนี้เขาไม่ได้สวมเสื้อ ส่วนเธอก็สวมแค่ชุดนอนสายเดี่ยวบาง ๆ
จู่ ๆ เมื่อโดนรั้งตัวเข้าไปกอดแน่น ๆ แบบนี้ ร่างกายคนหนึ่งอ่อนนุ่ม ร่างกายอีกคนแข็งแกร่ง สัมผัสความแตกต่างได้ชัดเจนเกินไป
หลินม่ายรู้สึกเขินอายขึ้นมาทันที ยังไม่ทันจะผลักไสเขาออกห่าง ริมฝีปากเขาก็กดจูบลงมาเสียแล้ว
ปฏิกิริยาแรกของหลินม่ายคือพยายามต่อต้าน
เนื่องจากปากของเธอถูกปิดผนึกโดยฟางจั๋วหราน เธอจึงทำได้แค่เปล่งเสียงอู้อี้ออกมา “ปล่อยก่อนเถอะ ฉันยังไม่ได้แปรงฟันเลย…”
การจูบควรเป็นไปอย่างหอมหวาน เธอไม่ต้องการให้เขาได้รับประสบการณ์ที่เลวร้าย
“ผมไม่รังเกียจ” ศาสตราจารย์ไม่ยอมปล่อยเธอไป
หลินม่ายพยายามดิ้นรนต่อไปอีกสองสามครั้ง แต่ก็ไร้ผล เธอจึงเลิกต่อต้าน
ริมฝีปากของศาสตราจารย์ยังคงเยือกเย็นเช่นเดิม แต่คราวนี้การโจมตีกลับรุนแรงกว่าครั้งไหน ๆ
เขาบดจูบริมฝีปากบนและล่างของเธออย่างนุ่มนวล ค่อย ๆ เปลี่ยนเป็นหนักแน่น ทันใดนั้นริมฝีปากของทั้งคู่ก็เริ่มร้อนระอุ
เขาดุนปลายลิ้นออกมา โลมเลียตั้งแต่ริมฝีปาก จากนั้นก็เลื่อนปลายลิ้นไปหยอกล้อถึงด้านใน
ความวาบหวามซาบซ่านจนเธอเกือบกัดปลายลิ้นของเขาอยู่แล้ว โชคดีที่เขาหลบเลี่ยงได้ทัน
ปลายลิ้นเขาวนเวียนหยอกล้ออยู่รอบปลายลิ้นเธอ ทำให้หัวใจยิ่งสั่นระรัว ในที่สุดก็เคลิบเคลิ้มไปตามจังหวะของเขา
ทันใดนั้นหลินม่ายก็งับริมฝีปากแน่น ขบริมฝีปากล่างตัวเองไว้ เขินอายจนไม่กล้าสบตาเขาตรง ๆ
ฟางจั๋วหรานไล้ปลายนิ้วไปตามกรอบหน้าเล็ก ๆ ของเธอพร้อมกับพูดเสียงเบา “แปรงฟันเถอะ หวีผมด้วย น่าจะอ่านหนังสือเรียนได้อีกสักพักหนึ่ง ผมจะลงไปทำอาหารเช้าเอง เสร็จแล้วค่อยขึ้นมาเรียกคุณให้ไปกินข้าวข้างล่างด้วยกัน”
หลินม่ายตอบรับอย่างเชื่อฟัง
ประมาณเจ็ดโมงเช้า โต้วโต้วก็วิ่งขึ้นมาชั้นบน เรียกหลินม่ายลงไปกินอาหารเช้าด้วยเสียงใสแจ๋ว
เมนูอาหารเช้าวันนี้ ได้แก่ โจ๊กดอกลิลลี่พุทราจีน ข้าวโพดต้ม ไข่ต้ม ผัดผักสองอย่าง และเมี่ยนปิ่ง(2)นุ่ม ๆ ดูเหมือนเป็นอาหารง่าย ๆ แต่มีคุณค่าทางโภชนาการสูง
หลินม่ายนั่งลงที่โต๊ะอาหาร จากนั้นฟางจั๋วหรานก็ยกชามโจ๊กดอกลิลลี่พุทราจีนมาเสิร์ฟให้เธอ
หลินม่ายเอื้อมมือไปรับมัน
ฟางจั๋วหรานสังเกตว่านิ้วกลางข้างซ้ายของเธอเปลือยเปล่า จึงถามว่า “ทำไมคุณไม่สวมแหวนหมั้นล่ะ?”
หลินม่ายตอบ “บังเอิญว่าเครื่องประดับสุดท้ายที่ฉันจะเลือกใส่คือแหวน ฉันมักจะรู้สึกว่ามันเกะกะเกินไป”
เธอมองไปที่นิ้วกลางข้างซ้ายของฟางจั๋วหราน เห็นว่าเขาสวมแหวนหมั้นตามเดิม ก็อดพูดไม่ได้ว่า “คุณยังใส่อยู่เหรอคะ”
ฟางจั๋วหรานตอบรับในลำคอ “เป็นไปได้ผมก็อยากใส่ทุกวัน ผู้หญิงคนอื่นจะได้ไม่พยายามเข้าหาผม”
หลินม่ายตอบกลับด้วยรอยยิ้ม “งั้นฉันก็จะใส่ทุกวันเหมือนกัน”
เธอวางตะเกียบแล้วเดินขึ้นห้อง หยิบแหวนหมั้นมาสวม แล้วก็เดินลงไปชั้นล่างเพื่อกินข้าวมื้อเช้าต่อ
หลังเสร็จสิ้นมื้ออาหาร ทุกคนในบ้านต่างก็แยกย้ายกันไปโรงเรียนและไปทำงาน
ขณะที่หลินม่ายเดินกลับขึ้นไปชั้นบนเพื่อหยิบกระเป๋าเป้ ก็เห็นว่าฟางจั๋วหรานเดินตามขึ้นมาถึงชั้นสามด้วยเหมือนกัน จึงถามด้วยความแปลกใจ “คุณตามฉันมาทำไมคะ?”
“ไม่มีอะไร ผมแค่จะขึ้นมาเอาของที่ห้องเฉย ๆ”
หลินม่ายถามด้วยความประหลาดใจ “คุณก็ย้ายขึ้นมาอยู่ชั้นสามด้วยเหรอ?”
ฟางจั๋วหรานพยักหน้า
“ทำไมล่ะ?”
ฟางจั๋วหรานลูบศีรษะน้อย ๆ ของเธอ “ก็เพราะผมอยากอยู่ใกล้ชิดกับคุณให้มากขึ้นไง เด็กโง่เอ๊ย”
……………………………………………………………………………………………………………………..
กวีถูกดัดแปลงมาจากลำนำโศกนิรันดร์ ‘เพียงชม้ายอายสรวลแสนยวนยล สาววิมลหกวังในไร้สิรี’
เมี่ยนปิ่ง คือขนมปังแบบจีน เป็นแป้งผสมเครื่องปรุง เช่น ต้นหอมซอย แล้วเอาไปจี่ในกระทะให้แบน ๆ
สารจากผู้แปล
ยัยไป๋ซวงร้ายกาจ เชื้อไม่ทิ้งแถวจริงๆ แต่ถ้ามองในมุมนาง นางก็คงคิดว่าสิ่งที่ทำไปมันเป็นการรักษาจุดยืนของตัวเองอะแหละ
พี่หมอนี่ดูแลตัวเองดีกว่าม่ายจื่อไปอีก
ไหหม่า(海馬)