แม่ปากร้ายยุค 80 - ตอนที่ 547 ฟางเว่ยกั๋วตาสว่าง
ตอนที่ 547 ฟางเว่ยกั๋วตาสว่าง
ฟางเว่ยกั๋วดึงตัวเองกลับมาจากความทรงจำในอดีต เงยหน้ามองแม่ผู้ชราของตัวเอง ก่อนจะแสดงสีหน้าประหลาดใจไปชั่วขณะ
เส้นผมของแม่เปลี่ยนเป็นสีเทาตั้งแต่เมื่อใด?
ภาพจำของผู้เป็นแม่สำหรับเขายังอยู่ตั้งแต่ตอนที่นางอายุประมาณสี่สิบเศษ
ถึงตอนนั้นแม่ของเขาจะเริ่มมีอายุแล้ว แต่นางก็ยังอยู่ในช่วงรุ่งโรจน์ที่สุดของชีวิต ทำงานอย่างหนักด้วยความกระฉับกระเฉง
เขาหันไปมองผู้เป็นพ่อ
พ่อของเขาก็แก่ลงไปมาก ไม่มีราศีในการขับเคลื่อนและชี้นำประเทศอย่างเช่นในอดีตอีกต่อไป
แล้วในตลอดหลายปีที่ผ่านมา เขาปฏิบัติต่อพ่อแม่ตัวเองอย่างไรบ้าง?
เพื่อที่จะไต่เต้าด้านอาชีพการงานให้สูงขึ้น เขาเอาแต่กดดันให้พ่อช่วยใช้เส้นสายเปิดทางให้
แต่ชายชรากลับปฏิเสธครั้งแล้วครั้งเล่า ดังนั้นเขาจึงไม่เห็นแก่หน้าของพ่อแม่อีก
เขามันไม่ได้เรื่อง แถมยังอกตัญญู!
ก่อนหน้านี้ถึงแม้เขาจะมีความทะเยอทะยานอย่างแรงกล้าในการไต่เต้าด้านอาชีพการงาน แต่เมื่อเห็นว่าสหายร่วมรบของผู้เป็นพ่อ หรือแม้แต่ลูกหลานของอดีตผู้ใต้บังคับบัญชาต่างก็ขึ้นไปอยู่ในตำแหน่งที่สูงกว่า เขาจึงรู้สึกถึงความไม่สมดุล
ลูกหลานของอดีตผู้บังคับบัญชาเหล่านั้น ส่วนใหญ่ไม่มีความสามารถเท่าเขาด้วยซ้ำ แต่พวกเขากลับได้ดำรงตำแหน่งสูง ๆ เพราะอาศัยอำนาจของพ่อแม่!
พ่อแม่คนอื่นต่างก็ช่วยให้ลูกหลานได้ดิบได้ดีกันทั้งนั้น ในขณะที่พ่อแม่ของเขากลับไม่ยอมทำ!
เขาต้องจำยอมเป็นผู้ใต้บังคับบัญชาของคนที่มีความสามารถด้อยกว่า แล้วจะไม่ให้เขาโกรธได้อย่างไร?
แต่อาเฉียนมักปลอบโยนเขาราวกับสายฝนโปรยปราย ปัดเป่าความขุ่นเคืองใจข้อนี้ไปได้เสมอ
จนกระทั่งเขาแต่งงานใหม่กับหวังเหวินฟาง หวังเหวินฟางถึงชักนำเอาปีศาจภายในจิตใจของเขาออกมา
หวังเหวินฟางเคยบอกว่า ถึงแม้คุณปู่ฟางและคุณย่าฟางจะเป็นถึงนักปฏิวัติ แต่พวกเขากลับปฏิบัติกับเขาและพี่น้องอย่างเลวร้าย
เพื่อความคล่องตัวในการปฏิวัติ พวกเขาส่งพี่น้องของเขาให้ไปอยู่ในชนบท จนพี่น้องของเขาเกือบถูกพวกผู้ไม่ประสงค์ดีลอบฆ่าหลายครั้ง
ฟางเว่ยตั่งกับฟางเว่ยหมินไม่เป็นอะไรมาก พวกเขาแค่หวาดกลัว
แต่ฟางเว่ยกั๋วและฟางเสียนจิ้งน้องสาวของเขาค่อนข้างแย่
เมื่อครั้งยังเป็นวัยรุ่นตอนที่ถูกศัตรูไล่ล่าจนต้องหนีหัวซุกหัวซุน พวกเขาก็โดนคนพวกนั้นจับได้
ฟางเว่ยกั๋วถูกทำร้ายร่างกายสารพัด ฟางเสียนจิ้งก็เกือบโดนกระทำย่ำยีให้เสื่อมเกียรติ
โชคดีที่กองกำลังรุดมาช่วยพวกเขาได้ทันเวลา ไม่อย่างนั้นผลที่ตามมาคงเลวร้ายเกินอธิบาย
ในฐานะที่เป็นลูกของนักปฏิวัติ พวกเขาต้องเผชิญหน้ากับอันตรายเหล่านี้ตามลำพัง
ลูกของนักปฏิวัติบางคนถูกศัตรูลอบฆ่าตั้งแต่อายุแค่ไม่กี่ขวบ ฟางเว่ยกั๋วและพี่น้องยังนับว่าโชคดี อย่างน้อยพวกเขาก็สามารถรอดชีวิตมาได้
แต่หวังเหวินฟางก็พยายามปั่นหัวเขามาโดยตลอด โดยหยิบยกเอาเรื่องความทุกข์ทรมานที่เขาและพี่น้องต้องประสบตั้งแต่เด็กจนถึงวัยรุ่น
หล่อนอ้างว่าเรื่องทั้งหมดเป็นเพราะพ่อแม่ของเขา ดังนั้นพวกเขาควรชดเชยในสิ่งที่ตัวเองทำลงไป โดยการช่วยให้เขาได้ดำรงตำแหน่งสูง ๆ ในองค์กร
ความคับแค้นที่ฟางเว่ยกั๋วมีต่อพ่อแม่ถูกกดเก็บไว้ตรงส่วนลึกของหัวใจ แต่หลังจากถูกหวังเหวินฟางล้างสมอง ปีศาจในใจเขาก็ถูกปลดปล่อย ทั้งชีวิตเขารู้แค่ตัวเองต้องกดดันพ่อและแม่ทุกวิถีทาง ไม่หลงเหลือความกตัญญูอีกต่อไป
นับตั้งแต่เขาหย่าขาดกับหวังเหวินฟาง ฟางเว่ยกั๋วก็เริ่มเข้าใจทุกสิ่งที่ก่อนหน้านี้เขาไม่เคยเข้าใจ
หวังเหวินฟางไม่เคยเป็นภรรยาที่ดี แต่อาเฉียนเป็น
แต่เขา… กลับทำให้หล่อนตรอมใจตาย…
ฟางเว่ยกั๋วตอบกลับด้วยเสียงต่ำอย่างใจเย็น “แยกกันแล้ว ผมแยกออกมาอยู่คนเดียวตั้งแต่สองวันก่อน”
วันนั้นหวังเหวินฟางขอร้องให้ลูกชายคนเล็กของเขาเป็นคนเชื่อมสัมพันธ์ พยายามรักษาสถานะสมรสไว้ แต่ก็ล้มเหลว
พอเขาไม่ยอมคืนดี หวังเหวินฟางก็เดินหน้าง้อด้วยตัวเอง ตามรบกวนเขาอยู่หลายวัน
ประเดี๋ยวก็ยอมรับผิดอย่างจริงใจ ประเดี๋ยวก็ข่มขู่
แต่ฟางเว่ยกั๋วไม่กลัวหล่อนเลยแม้แต่น้อย คำข่มขู่ของหล่อนจะทำอะไรเขาได้
หวังเหวินฟางขู่ว่าหล่อนจะประจานให้สาธารณชนรู้ว่าเขาแอบนอกใจไปมีหญิงอื่น
ในเมื่ออยากประจานนักก็ทำไป
เขานอกใจไปมีหญิงอื่นจริงไหม เขาจะไม่รู้ตัวเองเชียวหรือ?
ถึงแม้เขาจะดูดีและมีความเป็นสุภาพบุรุษ อีกทั้งยังเป็นที่นิยมในหมู่เพื่อนร่วมงานผู้หญิง สาว ๆ หลายคนชอบแวะเวียนมาพูดคุยกับเขาก็จริง แต่นั่นก็เป็นแค่บทสนทนาไม่กี่ประโยค
ถึงยังไงเขาก็เป็นคนที่รักเดียวใจเดียว สมัยที่เขาอยู่กับอาเฉียน เขาจะไม่แม้แต่จะละสายตาไปมองผู้หญิงคนอื่น
อาจเป็นเพราะความรู้สึกเดียวดายในใจเขา เมื่อคิดว่าอาเฉียนกับม้าไม้ไผ่ของหล่อนแอบติดต่อกันทางจดหมาย เขาก็ถึงกับสูญเสียตัวตน และทำร้ายจิตใจหล่อนครั้งแล้วครั้งเล่า
ด้วยนิสัยรักเดียวใจเดียวของเขา หลังจากที่เขาแต่งงานใหม่กับหวังเหวินฟาง ถึงแม้เขาจะไม่ได้รักหล่อนมากขนาดนั้น แต่เขาก็ยังหลงใหลในตัวหล่อนแค่คนเดียว
แต่หวังเหวินฟางกลับไม่รู้จักตัวตนของเขาเลยสักนิด พาลคิดไปว่าเขาแอบซุกหญิงอื่นไว้นอกบ้าน!
เป็นเวลานานกว่าหวังเหวินฟางจะรู้ตัวว่า ไม่ว่าหล่อนจะใช้ไม้อ่อนหรือไม้แข็งอย่างไรก็ตาม ก็ไม่สามารถทำให้ฟางเว่ยกั๋วเปลี่ยนใจได้
ในทางตรงกันข้าม ฟางเว่ยกั๋วก็ถูกหล่อนบีบบังคับให้ต้องเคลื่อนไหวปกป้องชื่อเสียงของตัวเอง ด้วยการเผยแพร่รูปถ่ายตอนที่หล่อนแอบนอกกายเขาสู่สาธารณะ
และท้ายที่สุดเขาก็แยกตัวออกมาอยู่คนเดียว
คุณย่าฟางนิ่งเงียบไปนานหลังจากได้ยินคำตอบของฟางเว่ยกั๋ว
ตอนแรกนางอยากเกลี้ยกล่อมฟางเว่ยกั๋วว่าตอนนี้เขาอายุไม่ใช่น้อย ๆ แล้ว เขาควรปล่อยวางปัญหาทุกอย่าง และใช่ชีวิตคู่กับหวังเหวินฟางให้นานที่สุดเท่าที่จะทำได้
แต่ในเมื่อทั้งสองหย่าขาดจากกันแล้ว ต่อให้เกลี้ยกล่อมไปก็ไร้ประโยชน์
นางจะไม่โน้มน้าวให้ลูกชายคนโตกลับไปแต่งงานกับหวังเหวินฟางเป็นครั้งที่สองเด็ดขาด อย่างน้อยก็ไม่ใช่ในชาตินี้
นางไม่เคยชอบหวังเหวินฟางมาตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้ว เพราะมองออกว่าผู้หญิงคนนี้มีเจตนาร้ายกาจ
ไม่ใช่แค่หล่อนคนเดียวที่มีเจตนาร้าย สมาชิกคนอื่น ๆ ในครอบครัวหล่อนต่างก็ไม่มีใครเลยที่มีจิตใจชอบธรรม
ลูกชายและลูกสะใภ้ทั้งสามของฟางเว่ยกั๋วต่างก็ยืนอยู่ข้างการหย่าร้างระหว่างเขากับหวังเหวินฟาง พวกเขาไม่ตอบสนองแม้แต่น้อย
หลังอาหารเช้า ทั้งครอบครัวเดินทางไปเยี่ยมหลุมศพแม่ของฟางจั๋วหราน
ฟางเว่ยกั๋วเชื้อเชิญให้คุณปู่ฟางและภรรยานั่งรถของเขา
รถยนต์นั่งสบายกว่ารถจี๊ปมาก การขึ้นรถและลงจากรถก็สะดวกสำหรับผู้สูงอายุมากกว่า เนื่องจากรถจี๊ปถูกยกสูง ผู้สูงอายุต้องลำบากปีนขึ้นปีนลง
ฟางจั๋วเยวี่ยตะโกนเสียงดังว่าเขาอยากขับรถจี๊ปของฟางจั๋วหราน จากนั้นฟางจั๋วหรานก็เดินตามเขาไป
สามคนจึงปีนขึ้นไปนั่งอยู่ตรงเบาะหลัง
โต้วโต้วมองออกไปนอกหน้าต่าง เห็นอาหวงยืนตาละห้อยมองดูพวกเขาอยู่ตัวเดียว หล่อนคิดว่ามันน่าสงสารเกินไป จึงเรียกร้องอยากพามันไปด้วย
ในที่สุดอาหวงก็ถูกพาขึ้นรถไปด้วยกัน สมาชิกทุกคนในครอบครัวถึงได้ฤกษ์ออกเดินทาง
แม่ของฟางจั๋วหรานถูกฝังอยู่ในสุสานจิ่วเฟิงซาน
ทัศนียภาพของที่นั่นสวยงาม มีภูเขาและน้ำทะเลที่ใสสะอาด ข้อเสียคืออยู่ไกลจากตัวเมืองมาก ขนาดอยู่ในยุคที่การจราจรยังไม่ติดขัดแบบทุกวันนี้ ยังต้องใช้เวลาขับรถถึงสองชั่วโมงเต็ม ๆ
รถขับขึ้นไปถึงแค่บริเวณตีนเขา ไปไกลกว่านั้นไม่ได้แล้ว
ฟางเว่ยกั๋วและลูกชายจึงจอดรถ ก่อนที่ทุกคนจะทยอยลงจากรถ
ฟางจั๋วหรานเดินนำทางไปพร้อมกับโต้วโต้วและหลินม่าย
คนอื่น ๆ เดินตามหลัง
หลินม่ายเห็นว่าแถวนั้นมีดอกเบญจมาศสีเหลืองและสีม่วงดอกเล็ก ๆ ผลิบานสะพรั่งทั่วทั้งเนินเขาและที่ราบ ระหว่างเดินจึงเด็ดติดมือมาด้วย ตั้งใจว่าจะนำไปปัดกวาดหลุมศพ
ยุคสมัยนี้ผู้คนยังไม่นิยมใช้ดอกเบญจมาศในการปัดกวาดหลุมศพ ดังนั้นถึงแม้คุณปู่ฟางและคุณย่าฟางจะปลูกดอกเบญจมาศเอาไว้มากมาย แต่ก่อนจะออกจากบ้านก็ไม่มีใครเด็ดดอกเบญจมาศติดมาด้วยสักหนึ่งกำมือ
โชคดีที่รอบสุสานมีดอกเบญจมาศป่าขึ้นเป็นจำนวนมาก
ถนนบนภูเขาสูงชัน หลินม่ายเริ่มหอบหายใจ ขาสั้น ๆ ของโต้วโต้วก็อ่อนล้า ฟางจั๋วหรานจึงคอยช่วยประคองพวกเธอตลอดทาง
คุณปู่ฟางและคุณย่าฟางที่อายุมากแล้ว มีฟางเว่ยกั๋วและฟางจั๋วเยวี่ยช่วยประคองอยู่ไม่ห่าง
ระหว่างทาง ฟางเว่ยกั๋วและฟางจั๋วเยวี่ยอาสาว่าจะแบกคุณปู่ฟางกับคุณย่าฟางขึ้นหลัง แต่ถูกสองสามีภรรยาชราปฏิเสธทันควัน
พวกเขาบอกว่าตัวเองไม่ได้แก่หง่อมเสียจนเดินเองไม่ได้
ตอนนั้นหลินม่ายแอบหน้าแดงด้วยความอับอายเมื่อได้ยินคำพูดของสองสามีภรรยาชรา
เพราะก่อนหน้านี้มีแวบหนึ่งที่เธอนึกอยากขี่หลังฟางจั๋วหราน…
ดูเหมือนว่าสมรรถภาพทางกายของเธอจะยังไม่แข็งแรงพอ เป็นรองแม้กระทั่งคุณปู่ฟางและคุณย่าฟาง
หลังจากนี้เธอคงต้องออกกำลังกายให้มากขึ้น
เธอเคยรับปากเคอจื่อฉิงไว้ว่าจะเชิญครูมาสอนทักษะการป้องกันตัว แต่หลังจากช่วงเทศกาลผ่านไป พอเจองานยุ่ง ๆ ก็พลอยลืมไปเสียสนิท
สงสัยเธอคงต้องจ้างครูมาสอนศิลปะการต่อสู้จริง ๆ แล้ว นอกจากจะทำให้สามารถป้องกันตัวได้ ยังได้ออกกำลังกายไปในตัวด้วย
หลุมฝังศพของแม่ฟางจั๋วหรานซ่อนอยู่ท่ามกลางทุ่งดอกเบญจมาศป่า ราวกับถูกจัดวางอย่างตั้งใจ
ถึงอย่างนั้นสุสานกลับดูสะอาดตากว่าที่คิด ดูเหมือนมีคนแวะเวียนมาทำความสะอาดอยู่บ่อย ๆ
คนคนนั้นคือใครกัน?
ฟางจั๋วหรานหรือว่าฟางเว่ยกั๋ว?
สายตาหลินม่ายกวาดมองไปทั่วใบหน้าของสองพ่อลูก จากนั้นก็คุกเข่าลง วางดอกเบญจมาศป่าในมือลงตรงหน้าหลุมฝังศพ
บนหลุมศพมีรูปถ่ายสีขาวดำของแม่ฟางจั๋วหรานอยู่ด้วย หล่อนเป็นผู้หญิงที่สวยงามและอ่อนโยนมาก
หลินม่ายแอบคิดในใจ มิน่าล่ะฟางจั๋วหรานถึงได้หน้าตาดีขนาดนี้ ที่แท้ก็เป็นเพราะแม่ของเขาสวยมากนั่นเอง
เธอกวักมือเรียกโต้วโต้วที่ยืนอยู่ข้าง ๆ และกำลังมองดูหลุมฝังศพด้วยความอยากรู้อยากเห็น “มา มาไหว้คุณย่าเร็ว”
โต้วโต้วคุกเข่าลงตามหลินม่ายอย่างเชื่อฟัง ทำความเคารพอย่างจริงจังสามครั้ง
ฟางเว่ยกั๋วไม่เคยชอบหลินม่ายเลย เพราะเธอเป็นสาวบ้านนอกที่มีลูกติด แถมยังประกอบอาชีพอิสระ ไม่สิ ตอนนี้เขาควรเรียกเธอว่าเจ้าของบริษัทเอกชนต่างหาก
แต่ต่อให้เธอจะเป็นถึงเจ้าของบริษัทเอกชน เธอก็ยังไม่คู่ควรกับลูกชายคนโตผู้มากความสามารถของเขาอยู่ดี
แต่เมื่อเห็นว่าเธอให้ความเคารพต่อภรรยาผู้ล่วงลับของเขา ความประทับใจที่เขามีต่อเธอก็ดีขึ้นเล็กน้อย
ฟางจั๋วหรานคุกเข่าลงตรงหน้าหลุมฝังศพของผู้เป็นแม่ พูดกับรูปถ่ายบนหลุมฝังศพ “แม่ครับ วันนี้ผมพาคู่หมั้นของผมมาด้วย เธอชื่อม่ายจื่อ ในอนาคตผมจะมีคู่ครองที่สามารถใช้ชีวิตร่วมกันไปจนแก่เฒ่าแล้ว แม่ไม่ต้องกังวลเรื่องผมอีกแล้วนะครับ”
คุณปู่ฟางและคุณย่าฟางยังพูดเสริมด้วยว่า “ม่ายจื่อเป็นเด็กดี จั๋วหรานจะต้องมีความสุขอย่างแน่นอน”
หลังจากที่ทุกคนเคารพหลุมฝังศพกันเสร็จแล้ว ฟางจั๋วหรานก็ช่วยพยุงหลินม่ายกับโต้วโต้วให้ลุกยืนขึ้น แล้วเดินเลี่ยงออกไปด้านข้างเพื่อหลีกทางให้ฟางเว่ยกั๋ว
ฟางเว่ยกั๋วทรุดตัวลงนั่งยอง ๆ อยู่หน้าหลุมศพของภรรยาผู้ล่วงลับ เอื้อมมือไปลูบป้ายหลุมศพตรงหน้า
หลังจากนั่งสำนึกผิดอยู่เงียบ ๆ เป็นเวลานาน เขาแอบตั้งคำถามขึ้นในใจ “อาเฉียน คุณชอบลูกสะใภ้ที่ลูกชายเราพามาเจอหรือเปล่า ถ้าชอบ ให้ลมพัดไปทางซ้าย ถ้าไม่ชอบ ให้ลมพัดไปทางขวา”
ทันทีที่เขาพูดจบ สายลมโกรกบนภูเขาก็เปลี่ยนทิศทาง พัดดอกเบญจมาศทั้งหมดที่หลินม่ายนำมาวางหน้าหลุมศพไปทางซ้าย
จนกระทั่งฟางจั๋วหรานเดินจากไปไกลแล้ว สายลมก็ยังคงไม่เปลี่ยนทิศทาง
หลังจากปัดกวาดสุสาน ทุกคนก็วางแผนว่าจะปิกนิกนอกสถานที่กันตรงนี้เลย
หลินม่ายเตรียมอาหารไว้มากมายสำหรับการมาปิกนิกในครั้งนี้
เธอทำขาหมูตุ๋นเครื่องเทศไว้ตั้งแต่เมื่อคืน รวมถึงโข่วสุ่ยจี ผลไม้ต่าง ๆ และซูชิแบบจีน
ทำไมถึงต้องเรียกว่าซูชิแบบจีน ก็เพราะว่าเมื่อเปรียบเทียบมันกับซูชิของญี่ปุ่นแล้ว ถึงแม้รูปร่างหน้าตาภายนอกอาจดูเหมือนกัน แต่รสชาติกลับแตกต่างกันมาก
ส่วนตัวหลินม่ายไม่ค่อยชอบกินซูชิแบบญี่ปุ่น ดังนั้นจึงดัดแปลงมันเสียใหม่ จนมันกลายเป็นซูชิแบบจีน
หลินม่ายคิดว่ามันอร่อยและประณีตกว่าซูชิของญี่ปุ่นหลายเท่า
นอกจากนี้เธอยังเตรียมวัตถุดิบสำหรับทำบาร์บีคิวเอาไว้มากมาย
ถึงกับข้าวที่เตรียมมาจะมีมากมายหลายอย่าง แต่หลินม่ายก็ไม่กังวลว่ามันจะเหลือ เพราะฟางจั๋วเยวี่ยเป็นคนกินเก่ง น่ากลัวว่าอาจกินได้แม้กระทั่งวัวทั้งตัว
ก่อนปิกนิกจะต้องรวบรวมฟืนสำหรับเตาย่าง
ทุกคนจึงแยกย้ายกันไปเก็บฟืน
ช่วงนี้โต้วโต้วติดหนึบกับฟางจั๋วเยวี่ยเป็นพิเศษ หล่อนพาอาหวงวิ่งจากไปพร้อมกับฟางจั๋วเยวี่ย
ขณะที่หลินม่ายกำลังก้มเก็บฟืนตามลำพัง ก็ได้ยินเสียงฝีเท้าดังขึ้นมาจากข้างหลัง
ตอนแรกเธอคิดว่าเป็นฟางจั๋วหราน แต่เมื่อหันกลับมาถึงรู้ว่าเป็นฟางเว่ยกั๋ว
เธอยิ้มให้เขาอย่างสุภาพด้วยความรู้สึกเคอะเขินอยู่บ้าง
ฟางเว่ยกั๋วยิ้มตอบ ก่อนจะเดินมาอยู่เคียงข้างเธอ
หลินม่ายแอบชำเลืองมองเขาด้วยความสงสัย บ่นพึมพำในใจว่าผู้ชายคนนี้นี่แปลกจริง ๆ จู่ ๆ มาเดินตามฉันทำไมกัน?
ฟางเว่ยกั๋วไม่ทันสังเกตเห็นสายตาแปลก ๆ ของเธอเลย ในขณะที่ก้มลงเก็บกิ่งไม้แห้งจากพื้นเป็นครั้งคราว เขาก็พูดขึ้นว่า “เสี่ยวหลิน เธอคิดถูกแล้วล่ะที่เลือกจั๋วหราน ผู้ชายในตระกูลฟางของเราทุกคนต่างก็เป็นคนรักเดียวใจเดียว เธอก็คงเห็นตัวอย่างจากพ่อแม่ฉันแล้ว นอกเหนือจากพวกเขาก็มีอารองที่ตายไป ถึงภรรยาเขาจะเสียชีวิตไปหลายปี แต่เขาก็ไม่เคยแต่งงานใหม่ ยังมีลูกพี่ลูกน้องของฉันอีกคน หลังจากภรรยาเขาลาจากโลกนี้ไป เขาก็ครองโสดตัวคนเดียวมาจนถึงทุกวันนี้”
เขาหยิบยกผู้ชายตัวอย่างในตระกูลฟางของเขามาถ่ายทอดให้เธอฟังในชั่วอึดใจเดียว
จากนั้นเขาก็สรุปว่า “ในอนาคตถ้าเธอกับจั๋วหรานแต่งงานกันแล้ว เธอแทบไม่ต้องกังวลเลยว่าเขาจะเปลี่ยนใจ”
หลังจากที่หลินม่ายนิ่งฟังเขาอยู่เงียบ ๆ เธอก็ครุ่นคิดในใจ ช่างเป็นความรักที่ยิ่งใหญ่เสียจริง!
ถึงอย่างนั้นเธอก็อยากถามออกไปเหลือเกินว่าสะใภ้ตระกูลฟางจำเป็นต้องมีโรคประจำตัวกันทุกคนหรือไง?
เท่าที่ฟังมา สะใภ้ตระกูลฟางหลายคนต่างก็สิ้นอายุขัยกันตั้งแต่อายุยังน้อยทั้งนั้น
เมื่อเห็นว่าฟางเว่ยกั๋วกับหลินม่ายอยู่ด้วยกัน ฟางจั๋วหรานก็กลัวว่าผู้เป็นพ่ออาจสร้างความลำบากใจให้หลินม่ายด้วยการพูดอะไรที่ไม่สมควร
เขาก้าวขายาว ๆ เข้าไปหาทันที พลางจ้องเขม็งมองไปทางฟางเว่ยกั๋ว
ฟางเว่ยกั๋วคลี่ยิ้มให้ลูกชายอย่างเชื่องช้า ก่อนจะเดินจากไป
ฟางจั๋วหรานรีบถามหลินม่าย “เขาพูดอะไรกับคุณบ้าง?”
“เขาบอกว่า ผู้ชายทุกคนในตระกูลฟางต่างก็รักเดียวใจเดียวกันทั้งนั้น ฉันเลือกคู่ชีวิตถูกต้องแล้ว”
ฟางจั๋วหรานถอนหายใจออกด้วยความโล่งอกเมื่อได้ยินแบบนั้น
เขาคิดว่าฟางเว่ยกั๋วจะถือโอกาสใช้อำนาจเข้าข่ม พูดเกลี้ยกล่อมให้หลินม่ายเลิกกับเขาเสียอีก
เพราะก่อนหน้านี้ฟางเว่ยกั๋วเคยแสดงออกชัดว่าเขาไม่ปลื้มหลินม่าย
ในขณะที่ฟางจั๋วหรานกำลังงงงวยกับทัศนคติที่เปลี่ยนไปจากหน้ามือเป็นหลังมือของฟางเว่ยกั๋ว เขาก็ได้ยินหลินม่ายพูดขึ้นว่า “จั๋วหราน คุณต้องรักษาตัวให้อายุยืนเข้าไว้นะคะ”
ฟางจั๋วหรานสับสนอีกครั้ง ถามกลับ “ทำไมถึงพูดแบบนี้ล่ะ?”
หลินม่ายซบศีรษะลงบนไหล่เขา “เพราะฉันอยากใช้ชีวิตร่วมกับคุณไปจนแก่เฒ่า”
………………………………………………………………………………………………………………………….
สารจากผู้แปล
ในที่สุดก็ตาสว่างเสียที ราหูออกจากเรือนชะตาเสียทีนะคุณพ่อ
ส่วนตัวเรามีอะไรอร่อยก็กินหมดแหละค่ะ ไม่เลือกว่าเป็นอาหารชาติไหน
ไหหม่า(海馬)