แม่ปากร้ายยุค 80 - ตอนที่ 562 คำขอร้องของหลิวเหม่ยชิ่ง
ตอนที่ 562 คำขอร้องของหลิวเหม่ยชิ่ง
สองวันต่อมา สินค้าชิ้นใหญ่ที่หลินม่ายกับฟางจั๋วหรานซื้อมาจากอเมริกาก็มาถึงทั้งหมด
แม้หลินม่ายจะขับรถได้แล้ว แต่ก็ยังแสร้งทำเป็นขับรถไม่เป็น และขอให้ฟางจั๋วเยวี่ยช่วยขับรถเบนซ์กลับบ้านให้เธอ
เมื่อได้ยินว่ามีรถขับ แถมยังเป็นรถหรูอีกด้วย ฟางจั๋วเยวี่ยก็ดีใจจนแม้แต่งานก็ไม่ทำแล้ว และวิ่งไปช่วยหลินม่ายขับรถ
ไม่เพียงต้องขับรถเบนซ์กลับบ้านเท่านั้น แต่ยังต้องขนเครื่องทำน้ำอุ่นกับเสื้อผ้าเครื่องแต่งกายอะไรพวกนั้นที่พวกเขาซื้อให้คุณปู่คุณย่าฟางจากอเมริกาที่กลับไปเหมือนกัน
หลินม่ายให้จ้าวเลี่ยงส่งรถบรรทุกมาหนึ่งคัน เพื่อขนสิ่งของทั้งหมดกลับไปที่วิลล่า
คุณปู่ฟางและคุณย่าฟางรับหน้าที่มุงดู
ส่วนฟางจั๋วเยวี่ยได้รับมอบหมายให้ติดตั้งเครื่องทำน้ำอุ่น
ใครใช้ให้เขาเรียนวิศวกรรมเครื่องไฟฟ้ามากันล่ะ งานแบบนี้ไม่ให้เขาทำ หรือจะให้ฟางจั๋วหรานที่ถือมีดผ่าตัดทำกันล่ะ?
ฟางจั๋วเยวี่ยจึงยื่นเงื่อนไข หากจะให้เขาติดตั้งเครื่องทำน้ำอุ่นก็ย่อมได้ แต่จะต้องตกลงกับเขา ว่าจะให้เขายืมขับรถเบนซ์อาทิตย์ละสองครั้งด้วย
หลินม่ายพูดอย่างลำบากใจ “รถเบนซ์นี้ซื้อมาให้พี่ชายของนาย ฉันตัดสินใจแทนเขาไม่ได้หรอก”
เธอครุ่นคิดเล็กน้อย “เอาอย่างนี้ก็แล้วกัน ฉันจะให้มอเตอร์ไซค์หนึ่งคันกับนาย”
ฟางจั๋วเยวี่ยก็รู้สึกดีใจขึ้นมาในตอนแรก ก่อนจะโบกมือไปมาอย่างหมดกำลังใจ “ช่างมันเถอะ ถ้าผมรับของแพงขนาดนั้นจากคุณ พี่ชายคงอัดผมยับเยินแน่ ผมจะติดตั้งเครื่องทำน้ำอุ่นให้คุณฟรีๆ ก็แล้วกัน”
พูดจบ เขาก็ขึ้นไปติดตั้งเครื่องทำน้ำอุ่นที่ห้องน้ำชั้นสอง
หลินม่ายเองก็ขึ้นชั้นสาม เข้าไปเรียนหนังสืออยู่ในห้องตัวเองด้วยเช่นกัน
เหลืออีกเดือนสองเดือนก็จะถึงการสอบปลายภาคแล้ว ในเมื่อวางแผนที่เตรียมข้ามชั้นเอาไว้แล้ว ดังนั้นในสองเดือนนี้ก็จะหย่อนยานไม่ได้ ต้องพยายามทำให้คะแนนการสอบเทียบออกมาดี
ยังไม่ทันที่เธอจะเปิดประตูห้อง คุณย่าฟางก็ตะโกนขึ้นมาจากชั้นล่างให้เธอลงไปรับโทรศัพท์
หลินม่ายจึงได้แต่เดินลงไปรับโทรศัพท์
เจ้าของสายนั้นคือตัวแทนว่าความของทังชุ่นอิงนั่นเอง บอกว่าโจทก์ของเขาต้องการพบเธอสักครั้ง และถามว่าเธอต้องการจะพบหล่อนหรือเปล่า
หลินม่ายค่อนข้างแปลกใจที่ทังชุ่นอิงนึกอยากจะพบเธอขึ้นมา
เธอพยักหน้าเล็กน้อยที่อีกฝั่งของสาย “พบกันสักครั้งก็ได้ค่ะ แต่ว่าฉันว่างแค่วันนี้เท่านั้นนะคะ”
เฉิงปิงพูด “ผมสามารถจัดการให้คุณกับทังชุ่นอิงพบกันได้ตอนนี้เลยครับ”
หลินม่ายขี่จักรยานไปที่เรือนจำ
ตั้งแต่คดีของทังชุ่นอิงถูกตัดสินลงมา หล่อนก็ย้ายไปอยู่ที่เรือนจำและเริ่มรับโทษจำคุกอย่างเป็นทางการ
เดิมทีทังชุ่นอิงก็มีรูปร่างผอมอยู่แล้ว พออยู่ในคุกมาช่วงหนึ่งก็ยิ่งซูบผอมลงไปอีก สภาพดูไปแล้วน่าเวทนาอย่างยิ่ง
แต่หลินม่ายนั้นใจแข็งราวกับหิน เธอไม่มีความสงสารเห็นใจต่อหล่อนเลยแม้แต่น้อย
หลินม่ายนั่งลงตรงข้ามกับทังชุ่นอิง แล้วถามขึ้นอย่างตรงไปตรงมา “ทำไมคุณถึงอยากเจอฉันเหรอคะ?”
ทังชุ่นอิงเองก็ไม่อ้อมค้อม “ฉันแค่อยากรู้ว่า เธอเป็นคนวางตะขอล่อให้ฉันไปติดเบ็ดใช่ไหม?”
หลินม่ายหัวเราะอย่างเหยียดหยาม “ฉันวางตะขอล่อคุณติดเบ็ดงั้นเหรอ? พูดง่ายๆ ก็คือ ฉันบังคับให้คุณไปวางเพลิงเผาโรงงานของฉัน และก็เป็นฉันด้วยเหมือนกันที่บังคับให้คุณมุ่งหมายจะเผาฉันทั้งเป็น คุณทำเรื่องชั่วอะไรก็เพราะฉันบังคับให้ทำทุกอย่าง ฉันเป็นคนผิด คุณไม่มีความผิดอะไรเลย!”
ทังชุ่นอิงพูดอย่างโกรธเกรี้ยว “เธออย่ามาทำไม่ยอมรับเลย! ฉันไม่เชื่อหรอกว่ามันจะบังเอิญขนาดนั้น ตอนที่ฉันคิดจะไปวางเพลิง สุนัขพันธุ์ใหญ่สองตัวในโรงงานก็ถูกเธอย้ายออกไปหมด”
ตั้งแต่ถูกจับมา ทังชุ่นอิงก็ครุ่นคิดอยู่ตลอด ว่าตนเองถูกจับได้เพราะโชคไม่ดี หรือว่าตกหลุมพรางของหลินม่ายเสียแล้ว
หล่อนยิ่งคิดก็ยิ่งรู้สึกว่าตนหลงกลของหลินม่ายเข้าแล้ว
หากไม่ใช่เพราะหลินม่ายย้ายสุนัขพันธุ์ใหญ่สองตัวนั้นออกไปหมด หล่อนก็คงไม่ยอมเสี่ยงเข้าไปวางเพลิงหรอก
เพราะการที่หล่อนจะไปวางเพลิง อุปสรรคใหญ่ที่สุดก็คือสุนัขพันธุ์ใหญ่สองตัวนั้น
และก็เพราะสุนัขพันธุ์ใหญ่สองตัวนั้นนั่นแหละ หล่อนถึงเอาแต่ประวิงเวลาไม่ยอมลงมือ
กระทั่งสุนัขพวกนั้นถูกย้ายออกไปแล้ว หล่อนถึงได้กล้าวางเพลิง
ความจริงแล้วหลินม่ายวางหลุมพรางให้ทังชุ่นอิงกระโดดลงไปจริงๆ
ดั่งคำกล่าวที่ว่า อย่ากลัวโจรขโมยของ ให้กลัวโจรที่คอยเพ่งเล็งอยู่ตลอดเสียดีกว่า
หากไม่ล่องูพิษที่คอยหลบอยู่ในมุมมืดตัวนี้อย่างทังชุ่นอิงออกมา หล่อนก็จะยังเป็นอันตรายแฝงเร้นอยู่วันยังค่ำ
นอกจากนี้เธอก็ยิ่งอยากจะลากกวนหย่งหัวอสรพิษตัวเป้งนั่นมาลงหลุมผ่านทังชุ่นอิงงูพิษเล็กๆ ตัวนี้ กวาดเรียบไม่ให้เหลือ
ดังนั้นความจริงแล้วจึงเป็นเธอนั่นเองที่จงใจย้ายสุนัขใหญ่สองตัวนั้นออกไป ให้ไปอยู่ที่ร้านค้าขายส่งบนถนนฮั่นเจิ้ง พูดให้สวยหรูคือ เพื่อให้ไปเฝ้าคุ้มครองที่ร้านค้าขายส่ง
แต่ที่จริงแล้วก็คือเพื่อกำจัดอุปสรรคในการวางเพลิงของทังชุ่นอิงออกไป
เมื่อเห็นว่ามีผู้คุมเรือนจำตั้งหลายคนอยู่ในห้อง หลินม่ายจะไปยอมรับได้อย่างไร?
หรือต่อให้ไม่มีผู้คุมอยู่ เธอก็ไม่ยอมรับเหมือนเดิม
เธอไม่ใช่คนโง่ที่จะปล่อยให้ทังชุ่นอิงจับจุดอ่อนได้เสียหน่อย
เธอตอบโต้อย่างเย็นชา “บังเอิญอะไรของคุณ? ถนนฮั่นเจิ้งวุ่นวายเสียขนาดนั้น ฉันย้ายสุนัขใหญ่สองตัวไปเฝ้าร้านค้าขายส่ง เรื่องแบบนี้ก็ยังถูกคุณสงสัยว่าแผนการร้ายได้ด้วยเหรอ? คนที่จิตใจมืดมิดมองอะไรก็เป็นเล่ห์เพทุบายไปหมดทุกอย่างจริงๆ !”
พูดจบเธอก็ลุกขึ้นยืน คร้านที่จะเสวนากับทังชุ่นอิงต่อไป
ต่อให้ตนวางกับดักไว้แล้วมันอย่างไรกันล่ะ? ถ้าทังชุ่นอิงไม่ได้มีจิตคิดชั่ว จะตกหลุมพรางได้เหรอ?
จนถึงตอนนี้ก็ยังไม่รู้จักสำนึกตัว ยังคิดเพียงจะโยนความผิดให้ตนอื่นท่าเดียว
หลินม่ายรู้สึกว่าที่ตนไม่ยกเลิกการเรียกค่าเสียหายนั้นเป็นสิ่งที่ถูกต้องอย่างยิ่งแล้ว เพราะทังชุ่นอิงไม่สมควรต่อการให้อภัยเลยแม้แต่น้อย
แม้ทังชุ่นอิงจะหาเงินชดใช้พวกนั้นมาไม่ได้ แต่มันก็คงเหมือนกับภูเขาลูกใหญ่ที่ทับถมอยู่ในใจของหล่อน จนทำให้หล่อนหายใจได้ไม่ทั่วท้องอย่างแน่นอน
ทังชุ่นอิงลุกขึ้นอยู่ด้านหลังหลินม่าย พลันตะโกนใส่เธอ “ฉันก็เป็นนักโทษติดตารางแล้ว เธอจะพูดความจริงกับฉันไม่ได้เลยงั้นเหรอ?”
หลินม่ายหัวเราะฮ่าๆ อย่างเย็นชาภายในใจ
ทังชุ่นอิงประเมินIQของตัวหล่อนเองสูงเกินไป แล้วเห็นคนอื่นเป็นคนโง่หรืออย่างไร?
คิดว่าขายความน่าเวทนาแล้ว ตนจะติดกับหล่อนแล้วพูดความจริงออกมางั้นเหรอ?
นอกจากนี้ยังเป็นสถานการณ์ที่ผู้คุมเรือนจำก็อยู่ตรงนี้ด้วย
นี่มันคือโอกาสที่หล่อนจะตอบโต้เลยไม่ใช่เหรอ?
อย่าแม้แต่จะคิดเลย!
หลินม่ายพูดอย่างเย็นชา “สิ่งที่ฉันพูดก็คือความจริง!”
ทังชุ่นอิงมองแผ่นหลังที่เดินจากไปของเธอ แล้วนั่งลงด้วยความแค้นใจ ในดวงตาเต็มไปด้วยประกายอำมหิต
โอกาสสุดท้ายที่จะพลิกกลับมามีชัยสลายไปโดยสมบูรณ์แล้ว
หลินม่ายกลับมาถึงบ้าน ยังไม่ทันจะเปลี่ยนรองเท้าเสร็จดี คุณย่าฟางก็บอกเธอว่าเสิ่นเสี่ยวผิงโทรมาหาเธอ
หลินม่ายเปลี่ยนรองเท้าเสร็จก็เดินไปนั่งที่โซฟา แล้วต่อสายโทรศัพท์กลับไป
คนที่รับสายบังเอิญเป็นเสิ่นเสี่ยวผิงพอดี
หล่อนบอกกับหลินม่ายว่าเมื่อครึ่งชั่วโมงก่อน หลิวเหม่ยชิ่งโทรศัพท์มาอีกครั้ง แต่เธอก็ไม่อยู่อีกแล้ว
ด้วยเหตุนี้หลิวเหม่ยชิ่งก็เลยทิ้งหมายเลขโทรศัพท์เอาไว้ให้เสิ่นเสี่ยวผิง และกำชับให้เสิ่นเสี่ยวผิงเอาหมายเลขโทรศัพท์นี้ให้หลินม่ายด้วย ไม่ว่าอย่างไรก็ต้องให้หลินม่ายโทรหาหล่อนภายในวันนี้ เพราะมีเรื่องสำคัญต้องคุยกับเธอ
หลินม่ายรู้สึกประหลาดใจ เธอกับหลินเหม่ยชิ่งก็ไม่ได้มีจุดร่วมอะไรกันเสียหน่อย แล้วมีเรื่องสำคัญอะไรต้องหาเธอกัน
ทว่าหลินม่ายก็ยังเตรียมที่จะโทรหาหลิวเหม่ยชิ่ง
บางทีเจ้าหล่อนอาจจะมีเรื่องด่วนที่จำเป็นต้องให้เธอช่วยจริงๆ ก็ได้ อย่างนั้นเธอก็คงจะทำให้คนอื่นเสียเรื่องไม่ได้
แต่ในขณะที่เธอเพิ่งเตรียมที่จะกดหมายเลข ในห้องครั้วก็มีเสียงผัดกับข้าวของน้าหวงดังขึ้นมา
หลินม่ายวางหูโทรศัพท์กลับไป แล้วไปใช้โทรศัพท์เครื่องพ่วงให้ห้องของฟางจั๋วหรานโทรหาหลิวเหม่ยชิ่งแทน
ไม่ใช่เพราะน้าหวงคนนี้ไว้ใจไม่ได้ แต่หลินม่ายไม่อยากให้คนที่ไม่เกี่ยวข้องได้ยินตอนที่เธอคุยโทรศัพท์
ดูท่าแล้ว คงต้องติดตั้งโทรศัพท์เอาไว้ในห้องของตัวเองสักเครื่องแล้วสิ
ถึงอย่างไรตอนนี้โทรศัพท์ส่วนบุคคลก็ติดตั้งง่าย แค่มีเงินก็ติดตั้งได้แล้ว ไม่ต้องหาเส้นสายเพื่อจะติดตั้งโทรศัพท์เหมือนอย่างแต่ก่อนอีกต่อไป
เมื่อมาถึงห้องของฟางจั๋วหรานแล้ว หลินม่ายก็โทรหาหลิวเหม่ยชิ่งทันที
หลิวเหม่ยชิ่งบอกเธอว่า รางวัลไก่ทองคำ(1)สมัยแรกของประเทศจีนกำลังจะจัดขึ้นในวันที่ 1 มกราคมแล้ว
หล่อนอยากจะขอให้เสื้อผ้าจิ่นซิ่วสนับสนุนเสื้อผ้าสองสามชุดเพื่อเข้าร่วมงานมอบรางวัลไก่ทองคำให้กับหล่อน
ทันทีที่หลินม่ายได้ยิน ก็รู้ว่าโอกาสมาถึงแล้ว
เธอพูดกับหลิวเหม่ยชิ่ง “ในตอนนี้สินค้าที่วางจำหน่ายของเสื้อผ้าจิ่นซิ่วทั้งหมดล้วนเป็นคอลเลคชั่นฤดูหนาว คงจะไม่เหมาะจะใช้เข้าร่วมในโอกาสสำคัญแบบนี้……”
เธอยังพูดไม่ทันจบ หลิวเหม่ยชิ่งก็นึกว่าเธอไม่เต็มใจที่จะผู้สนับสนุนเครื่องแต่งกายให้หล่อน จึงพลันรีบพูดขึ้นมาอย่างทนรอไม่ไหว “ถึงจะเป็นคอลแลคชั่นฤดูหนาว แต่สูทขนผ้าทอสัตว์แล้วก็โค้ทผ้าสักหลาดของคุณต่างก็ทันสมัยมาก ฉันขอยืมไปสักสองสามชุดก็ได้แล้วล่ะค่ะ เหมาะสมหรือไม่ฉันเองทราบดี”
หล่อนหยุดไปเล็กน้อยแล้วจึงพูดต่อ “ฉันสวมเสื้อจิ่นซิ่วของพวกคุณไปร่วมงานไก่ทองคำ ก็ยังสามารถเรียกกระแสให้พวกคุณได้ด้วย พวกคุณจะไม่เสียเปรียบหรอกค่ะ”
หลิวเหม่ยชิ่งนั้นไม่ต่างจากชาติที่แล้ว ทั้งฝีปากฉะฉาน เฉลียวฉลาด แถมยังมีออร่าความกดดันแผ่ออกมา
หลินม่ายพูดด้วยรอยยิ้ม “ฉันย่อมรู้ดีอยู่แล้วค่ะ ขอเพียงเสื้อผ้าจิ่นซิ่วของพวกเราถูกคุณหลิวใส่ไปแล้ว มูลค่าในตัวมันเองก็จะเพิ่มขึ้นอย่างแน่นอน ดังนั้นเรื่องการสนับสนุนก็ย่อมสนับสนุนแน่นอน แต่ฉันอยากจะตัดชุดราตรีสำหรับคุณหลิวโดยเฉพาะเลย คุณคิดว่าจะได้ไหมคะ?”
หลิรม่ายกลับชาติมาเกิดจากชาติที่แล้ว เธอรู้ว่าแบรนด์หรูทุกแบรนด์ต่างมีเสื้อผ้าไฮเอนด์รุ่นลิมิเต็ดของตัวเองทั้งนั้น
เมื่อดาราหญิงเดินงานพรมแดง พวกหล่อนจะยืมเสื้อผ้าเกรดสูงลิมิเต็ดอิดิชั่นจากแบรนด์หรูเหล่านี้
แต่ใช่ว่าคุณอยากจะยืมก็สามารถยืมได้ ยังต้องมีสถานะในวงการสูงพอ แบรนด์หรูต่างๆ ถึงยินดีที่จะให้ยืม
หลินม่ายอยากทำให้เสื้อผ้าจิ่นซิ่วของตนกลายเป็นแบรนด์ระดับไฮเอนด์ ก็ต้องมีชุดราตรีโอต์กูตูร์ของตัวเอง
และด้วยสถานะในวงการของหลิวเหม่ยชิ่ง ก็เพียงพอที่จะสามารถรับกับโอต์กูตูร์ของเสื้อผ้าจิ่นซิ่วได้
หลิวเหม่ยชิ่งอีกฝั่งของสายตื่นเต้นดีใจแทบอดใจไม่ไหว พลันเอ่ยสวนขึ้นมาทันที “ได้แน่นอนค่ะ!”
ใช่ว่าเธอจะไม่เคยเห็นดาราใต้หวันฮ่องกงเดินพรมแดงเสียหน่อย พวกหล่อนทุกคนต่างก็สวมชุดราตรีทั้งนั้น
แต่ตอนนี้ระดับเศรษฐกิจของแผ่นดินใหญ่ก็เป็นเสียเช่นนี้ และก็ด้วยปัจจัยเงื่อนไขนี้ สตูดิโอภาพยนตร์จึงทำได้เพียงเอาชุดราตรีล้าสมัยออกมาให้นักแสดงสาวเหล่านี้สวมใส่
ชุดราตรีล้าสมัยแบบนั้นไม่ใส่เสียยังดีกว่า น่าเกลียดจะตายชัก!
เดิมทีหลิวเหม่ยชิ่งแค่อยากจะให้หลินม่ายสนับสนุนชุดที่ทันสมัยให้หล่อนไม่กี่ชุดก็พึงพอใจแล้ว
ไม่นึกเลยว่าหลินม่ายจะยึดหลักคุณธรรมนี้ ถึงกับจะสั่งตัดชุดราตรีให้หล่อนโดยเฉพาะ
แต่เมื่อดีใจไปแล้ว หล่อนก็เกิดความเคลือบแคลงขึ้นมาอีก “พวกคุณมีความสามารถที่จะทำชุดราตรีได้หรือเปล่า?”
หลินม่ายรู้ว่า หล่อนกลัวว่าชุดราตรีที่สั่งตัดให้หล่อนนั้นจะไม่งดงามพอ
หลินม่ายจึงพูดอย่างมั่นใจเต็มที่ “โปรดวางใจเถอะค่ะ ความสามารถแค่นี้เรามีอยู่แล้ว”
หลิวเหม่ยชิ่งเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง พูดว่า “ก่อนที่จะทำ ขอฉันดูภาพร่างก่อนได้ไหมคะ?”
ความจริงแล้วจะให้หล่อนดูกระดาษภาพร่างก่อนก็ไม่เป็นไรหรอก แต่การที่หล่อนสงสัยในความสามารถของโรงงานเสื้อผ้าจิ่นซิ่วเมื่อครู่นั้น ทำให้หลินม่ายเกิดความไม่พอใจอยู่บ้าง ด้วยเหตุนี้เธอจึงหาข้ออ้างมาปฏิเสธ
ในสาย หลิวเหม่ยชิ่งนิ่งเงียบไปพักใหญ่ ก่อนพูดขึ้น “หากฉันไม่ชอบชุดราตรีที่พวกคุณเสนอ ฉันขอเปลี่ยนเป็นยืมเสื้อผ้าแฟชั่นของพวกคุณชั่วคราวได้ไหม?”
หลินม่ายพยักหน้า “ได้สิคะ”
หลังจากคุยโทรศัพท์กับหลิวเหม่ยชิ่งเสร็จ หลินม่ายก็โทรหาสำนักงานโทรคมนาคมอีก ให้พวกเขาติดตั้งโทรศัพท์ไว้ในห้องของเธอเครื่องหนึ่ง
แม้ตอนนี้จะอนุญาตให้ติดตั้งโทรศัพท์ส่วนบุคคลได้แล้ว แต่ด้วยค่าติดตั้งที่สูงเกินไป จึงมีผู้แจ้งขอใช้งานโทรศัพท์ไม่มาก
สำนักงานโทรคมนาคมจึงบอกว่า สามารถติดตั้งโทรศัพท์เครื่องพ่วงให้เธอเสร็จสิ้นได้เลยในช่วงบ่าย
(1)รางวัลไก่ทองคำ (Golden Rooster Awards) เปรียบเหมือนรางวัลออสการ์ รางวัลเกียรติยศแห่งวงการภาพยนตร์จีน
สารจากผู้แปล
แผนการของม่ายจื่อช่างลึกล้ำ ตกหลุมพรางเขาแล้วยัยทังชุ่นอิง
จะออกแบบชุดราตรีแบบไหนให้ดาราดังไปใส่น้า
ไหหม่า(海馬)