แม่ปากร้ายยุค 80 - ตอนที่ 564 ฉันบังคับจูบเขา
ตอนที่ 564 ฉันบังคับจูบเขา
ฝ่ายประชาสัมพันธ์ของซุนอวิ๋นหงใช้เวลาเพียงแค่สองวันก็ได้สัดส่วนของดารานักแสดงหญิงทั้งหมดที่เข้าร่วมงานรับรางวัลไก่ทองคำสมัยแรกมาแล้ว ประสิทธิภาพในการทำงานไม่เบาเลยทีเดียว
ในสองวันนี้ หลินม่ายกับเถาจืออวิ๋นออกแบบแบบชุดราตรีด้วยกันไปไม่น้อย
หลินม่ายดูชุดราตรีที่เถาจืออวิ๋นออกแบบ ซึ่งไม่ได้ด้อยไปกว่าสไตล์ที่เธอลอกเลียนแบบของชาติที่แล้วเลย แถมยังดูเข้าท่ามากกว่าเสียอีก
เพียงแต่ชุดราตรีที่เถาจืออวิ๋นออกแบบนั้นค่อนข้างเป็นแบบอนุรักษ์นิยม หล่อนไม่กล้าออกแบบรายละเอียดชุดที่เปิดหน้าอกหรือแผ่นหลังมากๆ เลยแม้แต่น้อย
เมื่อทั้งสองคนร่วมกันเลือกชุดราตรีที่เหมาะสมกับดารานักแสดงหญิงผู้ร่วมงานรับรางวัลไก่ทองคำให้กับพวกหล่อนเสร็จแล้ว เถาจืออวิ๋นก็เริ่มทำแพทเทิร์นตามสัดส่วนของพวกหล่อน
หลินม่ายเองก็ไม่ได้อยู่ว่างๆ เธอส่งคนไปที่เครื่องประดับไป๋เหอ เพื่อเอากระดาษภาพร่างชุดราตรีที่ออกแบบให้ดาราหญิงเหล่านั้นไปมอบให้กับเหมิงตานชุดหนึ่ง
ให้เหมิงตานออกแบบเครื่องประดับที่เข้ากันกับสไตล์ของชุดราตรีพวกนี้
เธอไม่เพียงให้เหมิงตานออกแบบเครื่องประดับเท่านั้น ตัวเธอเองก็วาดแบบเครื่องประดับจิวเวลรี่แบรนด์ดังที่เคยเห็นมาในชาติที่แล้วออกมาด้วย พยายามออกแบบเครื่องประดับที่สวยที่สุดให้กับเหล่าดารานักแสดงหญิง
จุดมุ่งหมายที่เธอทำถึงขนาดนี้นั้น คือต้องการให้เครื่องประดับไป๋เหอโด่งดังเป็นพลุแตก และเดินไปบนเส้นทางแห่งความหรูหราตั้งแต่นั้นไป
เมื่องานยุ่งวุ่นวายขึ้นมา เวลาก็มักจะผ่านไปอย่างรวดเร็ว เพียงพริบตาก็ถึงเวลาเลิกงานเสียแล้ว
หลินม่ายเก็บข้าวของ บิดหมุนคอที่ปวดเมื่อยเล็กน้อยจากการก้มหน้าทำงานเป็นเวลานาน แล้วเดินกลับด้วยกันกับเถาจืออวิ๋น
เถาจืออวิ๋นถามหลินม่ายด้วยความเป็นห่วงว่าสองวันมานี้เธอเอาแต่วิ่งมาที่โรงงาน มันจะไม่กระทบการเรียนหนังสือหรือ
หลินม่ายเริ่มทำข้อสอบปลายภาคของชั้นปีที่สองแล้ว นอกจากนี้ยังทำไปหลายชุดแล้วด้วย ทั้งคะแนนออกมาค่อนข้างน่าพอใจ ดังนั้นคงจะไม่มีปัญหาใหญ่โตอะไรกับการข้ามชั้นในตอนปลายภาคเรียน
เธอส่ายหน้า “ไม่กระทบหรอก อย่างน้อยในตอนกลางวันฉันก็รักษาเวลาเรียนไว้ครึ่งวันแล้ว ตอนกลางคืนก็ยังเรียนอีกสองสามชั่วโมง
เถาจืออวิ๋นอุทาน “เธอนี่ไม่ธรรมดาจริงๆ ไหนจะต้องดูแลธุรกิจ ไหนจะต้องเรียนหนังสืออีก”
หลินม่ายถามอย่างเป็นห่วง “อย่าว่าแต่ฉันเลย หม่าเทายังโผล่มาอีกหรือเปล่า?”
เมื่อพูดถึงหม่าเทาขึ้นมา สีหน้าของเถาจืออวิ๋นก็ดูไม่สู้ดีทันที “ก็ไม่ได้โผล่มาสักพักแล้ว ใครจะไปรู้ว่าเขาจะกระโดดออกมากัดคนตอนไหน!”
ทั้งสองต่างพากันเงียบงันไปชั่วขณะ
ถ้าไม่มีวิธีดีๆ ที่จะทุบหม่าเทาให้กลายเป็นปลาเค็มตากแห้งไปเลย เขาก็จะเป็นอันตรายที่แฝงเร้นอยู่ไปตลอดกาล
ในตอนนั้นเอง ก็มีคนตะโกนเรียกชื่อของหลินม่าย
หลินม่ายและเถาจืออวิ๋นเงยหน้ามองไปยังทิศทางของเสียงพร้อมกัน เห็นเพียงเคอจื่อฉิงที่ในมือถือถุงผ้าใบเล็กที่ป่องนูนใบหนึ่ง วิ่งเข้ามาหาพวกเธออย่างร่าเริงลิงโลด
หลินม่ายพูดอย่างประหลาดใจระคนดีใจ “ก่อนจะมาเธอก็ไม่โทรหาฉันเลยสักสาย ฉันจะได้ไปรับเธอ!”
“รับอะไรกันเล่า? ฉันไม่ใช่เด็กสามขวบเสียหน่อย!”
เถาจืออวิ๋นทักทายเคอจื่อฉิงด้วยรอยยิ้มก่อนจะขอตัวไปก่อน เหลือแค่หลินม่ายและเคอจื่อฉิงพูดคุยกันออกรสราวกับนกขมิ้นสองตัวส่งเสียงเจื้อยแจ้วอยู่บนต้นหลิว
เคอจื่อฉิงส่งถุงผ้าในมือให้หลินม่าย “เอ้า เมล็ดพันธุ์ผักกาดแก้วที่เธออยากได้”
หลินม่ายชั่งน้ำหนักด้วยมือ “เยอะขนาดนี้เชียว!”
เธอต้องการแค่ชั่งสองชั่งเท่านั้น แต่ดูเหมือนว่าเคอจื่อฉิงจะหามาให้เธอราวๆ สิบชั่งเลย
เคอจื่อฉิงพูด “เหลือดีกว่าขาดน่า ถ้าน้อยไปเดี๋ยวจะเสียงานเอา”
ทั้งสองขี่จักรยานไปที่ตลาดสดฝูตัวตัว แล้วมอบเมล็ดผักกาดให้แก่จ้าวเลี่ยง ให้เขาแนะแนวเกษตรกรเพาะปลูก ตามคู่มือการปลูกเมล็ดผักกาดแก้วที่เคอจื่อสิงเขียนเองกับมือ
เคอจื่อฉิงเห็นผักนอกฤดูหลากหลายละลานตาที่ตลาดสดแล้วก็ตื่นตะลึงอย่างมาก
หลินม่ายซื้อวัตถุดิบทำอาหารไปไม่น้อย แล้วจึงพาเคอจื่อฉิงกลับไปที่บ้าน
ตลอดทาง เคอจื่อฉิงเอาแต่สืบถามถึงสถานการณ์ของเฉินเฟิงอย่างอ้อมๆ อยู่ตลอด
หลินม่ายไม่ใช่ผู้หญิงประมาทเลินเล่อเช่นกัน ในทางกลับกัน เธอละเอียดอ่อนรอบคอบมาก ไม่นานก็สังเกตได้ถึงความผิดปกติ
เธอพูดอย่างขวานผ่าซาก “เธอถูกใจเฉินเฟิงเหรอ?”
ทั้งสองคนนั่งจักรยานคันเดียวกัน ซึ่งเคอจื่อฉิงเป็นคนบรรทุกหลินม่าย
ต่อให้เคอจื่อฉิงจะหนังหนาไม่ยี่หระอะไรแค่ไหน แต่เวลานี้หล่อนเองก็หน้าแดงฉ่าขึ้นมาเหมือนกัน เพียงแต่หลินม่ายนั่งอยู่ข้างหลังจึงมองไม่เห็น
หล่อนส่งเสียงอืมออกมาอย่างเขินอาย
หลินม่ายตบหลังของหล่อนเบาๆ “ที่เธอดึงดันจะเอาเมล็ดผักกาดแก้วมาให้ฉันด้วยตัวเอง และจุดประสงค์ที่เธอดื่มสุราไม่ได้มุ่งเสพรสเมามาย มันอยู่ที่ตัวเฉินเฟิง เพราะอยากจะเจอเขาสักครั้งสินะ”
เมื่อถูกแทงใจดำ เคอจื่อฉิงตอบอืมอีกครั้งด้วยความเก้อเขินอย่างยิ่ง
หลินม่ายถามอย่างประหลาดใจ “เธอถูกใจเฉินเฟิงตั้งแต่เมื่อไหร่เหรอ?”
เคอจื่อฉิงพูดเสียงงุ้งงิ้ง “ฉันชอบเขาตั้งแต่แรกพบน่ะ…”
หลินม่ายงงงัน “ในเมื่อเธอชอบเขา อย่างนั้นตอนที่เขาชนหน้าอกของเธอโดยไม่ระวังครั้งก่อน เธอยังทั้งเตะทั้งต่อยเขาอยู่เลย”
เคอจื่อฉิงพูดอย่างมั่นใจในเหตุผล “ใครใช้ให้เขาไม่เข้าใจความรู้สึกที่ฉันมีต่อเขาแม้แต่นิดเดียวกัน ไม่ตีเขาจะให้ตีใครล่ะ?”
หลินม่ายหมดคำจะพูดไปชั่วขณะ
ผ่านไปครู่หนึ่งจึงพูดขึ้น “เธอคิดจะจีบเฉินเฟิงอย่างนั้นใช่ไหม?”
เคอจื่อฉิงพูดอย่างตะกุกตะกัก “เกลียดชะมัดเลย รู้แล้วก็ยังจะจงใจถามอีก”
หลินม่ายหัวเราะลั่น “งั้นฉันจะช่วยเตี๊ยมให้เธอเอง”
ทั้งสองคนกลับมาถึงบ้าน เคอจื่อฉิงก็ได้รับการต้อนรับอย่างอบอุ่นจากพวกคุณปู่คุณย่าฟาง
หลินม่ายทำอาหารเลิศรสเลี้ยงต้อนรับหล่อนมากมายเต็มโต๊ะ
ผลสุดท้ายแขกยังกินได้ไม่เท่าใด ฟางจั๋วเยวี่ยกลับกินอย่างตะกละตะกลาม ได้ผลประโยชน์ไปเต็มๆ
หลังจากกินอาหารเย็นเสร็จ หลินม่ายก็ฉวยโอกาสตอนที่เคอจื่อฉิงไปอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้า โทรศัพท์หาเฉินเฟิง
บอกเขาว่าเคอจื่อฉิงมาแล้ว อยากจะไปเดินตลาดกลางคืน แต่เธอไม่มีเวลา จึงอยากขอให้เขาไปเดินตลาดกลางคืนเป็นเพื่อนเคอจื่อฉิงหน่อย
เฉินเฟิงพูด “เธอไม่มีเวลา ก็ให้จั๋วเยวี่ยไปเดินตลาดกลางคืนเป็นเพื่อนเคอจื่อฉิงก็ได้นี่”
“น้องเขยของฉันมีแฟนสาวแล้ว ให้เขาไปเดินตลาดกลางคืนเป็นเพื่อนเคอจื่อฉิง ถ้าแฟนเขารู้ขึ้นมาแล้วจะอธิบายยังไงล่ะ?”
“งั้นก็ให้ศาสตราจารย์ของเธอไปเดินเป็นเพื่อนเคอจื่อฉิงสิ ยังไงพวกเธอก็เชื่อใจกันและกัน คงจะไม่เกิดเรื่องเข้าใจผิดหรอก”
หลินม่ายเท้าสะเอวด้วยความโมโห “นี่มันความคิดไม่เข้าท่าอะไรของนาย? คนอื่นมีแต่ให้ป้องกันไฟไหม้ป้องกันขโมยป้องกันเพื่อนสนิท ฉันจะส่งแกะเข้าปากเสือไปได้ยังไง?”
หลังจากโต้คารมกันมาหนึ่งยก เฉินเฟิงก็จำต้องตกลงที่จะไปเดินตลาดกลางคืนเป็นเพื่อนเคอจื่อฉิง
และไม่วายที่เขาจะถามขึ้น “นี่เธอคิดจะจับคู่ฉันกับเคอจื่อฉิงหรือเปล่า?”
หลินม่ายรีบปฏิเสธ “ไม่ใช่ๆ ฉันเปล่านะ แต่เคอจื่อฉิงต่างหากที่ถูกใจนาย ฉันก็แค่ช่วยเชื่อมด้ายแดงให้หล่อน ให้พวกนายสองดูกันให้ถี่ถ้วน บางทีอาจจะถูกตาต้องใจกันก็ได้นี่นา”
เฉินเฟิงนิ่งเงียบไม่พูดจา
หลินม่ายเองก็ไม่กล้าถามอะไรมาก
ไม่นานนัก เฉินเฟิงก็ขี่รถมอเตอร์ไซค์มารับเคอจื่อฉิง
เคอจื่อฉิงมาจากกว่างโจว ใส่แค่เสื้อสเวตเตอร์ตัวหนึ่ง คู่กับชุดฤดูใบไม้ร่วงตัวหนึ่งเท่านั้น
แม้หล่อนจะบอกว่าร่างกายแข็งแรง แต่ก็ต้านทานอุณหภูมิต่ำในคืนฤดูหนาวของเจียงเฉิงไม่ไหว มีเสื้อผ้าแค่ชั้นสองชั้นก็ยังหนาวเปียกชื้นอยู่ดี
หลินม่ายยอมฝืนตัดใจ เอาเสื้อขนเป็ดยาวปานกลางสีขาวนวลดั่งขนหงส์ที่ตัวเองซื้อมาและยังไม่เคยใส่มาสวมให้บนร่างของหล่อน ก่อนจะพันผ้าพันคอสีชมพูให้หล่อนอีกผืน แล้วจึงปล่อยให้หล่อนไปกับเฉินเฟิง
เคอจื่อฉิงออกจากบ้านไปด้วยความลิงโลด และกลับมาด้วยใบหน้าแดงแจ๋
ไม่ว่าใครก็คงดูออก ว่าคืนนี้ความสัมพันธ์ของเคอจื่อฉิงกับเฉินเฟิงคงจะคืบหน้ากันไปได้ไม่เลว
ฟางจั๋วเยวี่ยแอบกำมือด้วยความตื่นเต้น
ไม่เสียทีที่ตอนแรกอุตส่าห์พยายามผลักเคอจื่อฉิงใส่เฉินเฟิง ไม่นึกว่าจะทำให้พวกเขาติดไฟกันขึ้นมาจริงๆ
ตอนนี้คนดีผู้เชี่ยวชาญในการแก้ปัญหาตลอดชีวิตให้คนอื่นแบบฟรีๆ อย่างเขาไม่ได้มีมากนักหรอกนะ
ทันทีที่เคอจื่อฉิงกลับมา หล่อนก็ดึงมือของหลินม่ายแล้วลากเข้าไปในห้องของเธอทันที
หลินม่ายถามด้วยรอยยิ้ม “เดตกับเฉินเฟิงแล้วรู้สึกเป็นยังไงบ้าง?”
เคอจื่อฉิงพูดอย่างตื่นเต้นดีใจ “ฉันบังคับจูบเขาแล้ว!”
หลินม่ายพลันตะลึงงันไปชั่วขณะ
เธอรู้ว่าเคอจื่อฉิงเป็นคนกล้าหาญ แต่ก็ไม่นึกว่าหล่อนจะใจกล้าขนาดนี้ ถึงกับกล้าบังคับจูบผู้ชาย แถมผู้ชายคนนี้ยังเป็นเฉินเฟิงอีกต่างหาก!
นี่มันยุค80นะ เคอจื่อฉิงอาจหาญเกินไปแล้ว!
ต่อให้ไม่ใช่ยุค80ที่เป็นอนุรักษ์นิยม แต่ถ้าเกิดว่าเฉินเฟิงอายจนเกิดโมโหขึ้นมา ผลักหล่อนลงกับพื้นแล้วทุบตีอย่างโหดร้ายล่ะ?
“เธอถึงกับกล้าบังคับจูบเขาเลยเหรอ? เธอนี่ใจกล้าจริงๆ!” หลินม่ายเอ่ยอย่างยกย่องด้วยใจจริง
เคอจื่อฉิงเอ่ยกระบิดกระบวน “ก็ไม่ถึงกับบังคับจูบหรอก พวกเราแค่กล้าพนันกล้ายอมรับผล ใครชนะก็จูบคนนั้น”
หลินม่ายพูดอย่างตื่นตระหนก “พวกเธอต่อสู้กันอีกแล้วเหรอ? เธอคงจะไม่ได้รับบาดเจ็บใช่ไหม?”
พูดดังนั้น เธอก็กำลังจะตรวจดูว่าเคอจื่อฉิงได้รับบาดเจ็บตามร่างกายหรือเปล่า
“ฉันไม่ได้บาดเจ็บ” เคอจื่อฉิงปัดมือหลินม่ายออก “ฉันกับพี่เฟิงไม่ได้ต่อสู้กัน ก็แค่ประมือแลกเปลี่ยนความรู้กันเท่านั้น”
หลินม่ายเบะปาก พูดไปพูดมาก็ต่อสู้กันอยู่ดี แต่กลับอยากจะปกปิดเสียให้ได้
“ใครชนะก็จูบคนนั้น?” หลินม่ายไม่อยากจะเชื่อ “เฉินเฟิงคงไม่แพ้เธอหรอกน่า เขาต้องออมมือให้เธอแน่ๆ ไม่อย่างนั้นเธอก็ไม่มีทางชนะหรอก”
เคอจื่อฉิงยกมือประคองใบหน้า พูดอย่างขวยเขิน “เขาไม่ได้ออมมือให้ฉัน เขาทุ่มฉันลงพื้นเลยล่ะ ฉันฉวยโอกาสตอนที่เขาพยุงฉันจูบเขาไปทีหนึ่ง ไม่อย่างนั้นจะเรียกว่าบังคับจูบได้ยังไงล่ะ?”
หลินม่ายตะลึงอ้าปากค้าง “แล้ว…บังคับจูบมันรู้สึกยังไงเหรอ?”
เคอจื่อฉิงซุกหัวเข้าไปในผ้าห่มเหมือนกับนกกระจอกเทศ ก้นน้อยๆ นั้นแทบจะกระดกไปถึงเพดานห้องอยู่แล้ว
เสียงอู้อี้ดังออกมาจากในผ้าห่ม “เร็วเกินไป ไม่ได้รู้สึกอะไรเป็นพิเศษหรอก โธ่เอ๊ย! ตอนนั้นฉันตื่นเต้น กลัวเขาจะตีฉัน พอจุ๊บๆ เขาเสร็จแล้วก็วิ่งเลย”
หลินม่ายไม่อยากจะเชื่อ “นี่เธออย่าบอกฉันนะ ว่าเธอวิ่งกลับมาตลอดทาง โดยที่ไม่แม้แต่จะบอกลาเฉินเฟิงเลยน่ะ”
เคอจื่อฉิงพลิกตัวขึ้นมา นอนหันหน้าเข้าหาเพดาน แล้วพยักหน้าให้เธอ “ก็อย่างที่เธอพูดมานั่นแหละ”
หลินม่ายแสดงสีหน้ายอมแพ้ให้กับหล่อน
เคอจื่อฉิงใช้เท้าสะกิดก้นของเธอ แล้วพูดอย่างไม่สะทกสะท้าน “ม่ายจื่อ เธอถามพี่เฟิงให้หน่อยสิ ว่าเขาสนใจฉันบ้างหรือเปล่า?”
หลินม่ายตีเท้าที่กำลังทำเรื่องชั่วร้ายของหล่อนทีหนึ่ง “ดึกขนาดนี้แล้ว ไม่มีทางติดต่อเฉินเฟิงได้หรอก รอพรุ่งนี้เถอะ”
เคอจื่อฉิงเบิกตากว้าง ทำท่าทางเหลือเชื่อ “เธอไม่รู้เบอร์โทรศัพท์ที่บ้านเขาเหรอ?”
หลินม่ายพูดอ้ำอึ้ง “เขาน่าจะยังไม่มีโทรศัพท์บ้านนะ”
“น่าจะ? แสดงว่าเธอยังไม่รู้แน่ชัดนี่!” เคอจื่อฉิงทำเสียงจุ๊ปาก “พวกเธอเป็นเพื่อนสนิทกันยังไง แม้แต่ที่บ้านอีกฝ่ายมีโทรศัพท์หรือไม่กันแน่ก็ยังไม่รู้เลย”
หลินม่ายหัวเราะ
เฉินเฟิงเคยคิดเกินเลยกับเธอมาก่อน เธอละอายใจเกินไป แล้วจะกล้าถามอย่างละเอียดว่าเขามีโทรศัพท์บ้านหรือเปล่าได้ยังไงเล่า!
ใต้ต้นมะเดื่อซึ่งอยู่ไม่ไกลจากวิลล่าบ้านหลินม่าย ปรากฏร่างสูงโปร่งของเฉินเฟิงยืนตระหง่านอยู่ สายตาของเขามองไปยังเงาร่างของสาวน้อยทั้งสองที่สะท้อนภาพผ่านม่านหน้าต่างบางๆ บนชั้นสามของบ้าน
ภาพเงาทั้งสองนั้นร่างหนึ่งนิ่งสงบ อีกหนึ่งลิงโลดอยู่ไม่สุข
เงาที่อยู่ไม่สุขนั้นดูเหมือนจะตีลังกาบนเตียงไปแล้วสองรอบ และตอนนี้กำลังเอาหัวปักพื้นขาชี้ฟ้า
เขาไม่เคยเห็นเด็กสาวที่นิสัยทำอะไรตามอำเภอใจเหมือนเปลวไฟและสายลมเช่นนี้มาก่อน
เฉินเฟิงเอื้อมมือมาสัมผัสริมฝีปากที่เพิ่งถูกเคอจื่อฉิงบังคับจูบมาเมื่อครู่นี้ มุมปากก็อดยกขึ้นไม่ได้
แม่สาวน้อย ยอดเยี่ยมมาก!
………………………………………………………………………………………………………………………….
สารจากผู้แปล
เออ คู่นี้ก็เข้ากันดีนะ ฝ่ายหญิงใจกล้าห้าวหาญดี อยู่กันยืดแน่นอน
ไหหม่า(海馬)