แม่ปากร้ายยุค 80 - ตอนที่ 565 ที่เหลือฉันจัดการเอง
ตอนที่ 565 ที่เหลือฉันจัดการเอง
หลินม่ายนับถือเคอจื่อฉิงเป็นอย่างมาก
เมื่อครู่ก่อนยังตื่นเต้นจนนอนไม่หลับอยู่เลย แต่ตอนนี้หล่อนกินพื้นที่ส่วนใหญ่ของเตียงไปแล้ว นอนจนไม่ต้องพูดถึงเลยว่าหลับสบายขนาดไหน
ต่อให้เอามีดแทงหล่อนสักสองสามแผล ก็คงจะไม่มีการตอบสนองอะไรแล้ว
ในใจหลินม่ายหมดคำจะพูดอย่างยิ่ง
ในบ้านมีห้องตั้งมากมายขนาดนี้ ยัยนี่ดันจะนอนกับเธอให้ได้
จะนอนด้วยกันก็ไม่ใช่ว่าไม่ได้ แต่อย่าว่าเลยนะเจ๊ อย่างน้อยเธอก็เหลือที่ให้ฉันนอนบ้างสิยะ
หลินม่ายยัดแขนขาวอ่อนนุ่มที่โผล่ออกมาข้างนอกของเคอจื่อฉิงเข้าไปในผ้าห่ม และขณะที่ตนกำลังจะนอนลงนั้น เสียงโทรศัพท์ที่หัวเตียงก็พลันดังขึ้น
หลินม่ายกลัวว่าเคอจื่อฉิงจะตื่นขึ้นมาแล้วจะเอะอะโวยวายไม่หยุดอีก
เธอกลัวมากจนรีบวิ่งเข้าไปหยิบหูโทรศัพท์ขึ้นมา แล้วเอ่ยฮัลโหลเบาๆ
ในนั้นมีเสียงของเฉินเฟิงดังออกมา “เสี่ยวเคอกลับมาแล้วหรือยัง?”
หลินม่ายโมโหขึ้นมาทันใด เธอกดเสียงเบาเอ่ยตำหนิ “นี่มันเวลานานเท่าไหร่แล้ว นายเพิ่งจะนึกขึ้นได้ว่าหล่อนกลับบ้านหรือยัง นายทำเกินไปแล้วนะ!”
อีกฝั่งของสาย เฉินเฟิงพูดขึ้นอย่างบริสุทธิ์ใจ “เรื่องนี้จะโทษฉันไม่ได้นะ หล่อนวิ่งเร็วเกินไป พอฉันตั้งสติได้ หล่อนก็วิ่งหายวับไปไม่เหลือเงาแล้ว ฉันขี่มอเตอร์ไซค์ตามหาหล่อนตามถนนซอกซอย หามาจนถึงตอนนี้ ฉันแทบจะแข็งตายอยู่แล้ว”
หลินม่ายได้ยินเช่นนั้นก็ไม่โกรธอีกต่อไป และบอกเขาว่าเคอจื่อฉิงอยู่สบายดีกับเธอตรงนี้
เฉินเฟิงพูด “อย่างนั้นก็ดีแล้ว”
เขาบอกราตรีสวัสดิ์หลินม่าย และกำลังจะวางหูโทรศัพท์
หลินม่ายรีบพูดขึ้น “รอเดี๋ยว!…นายรู้สึกสนใจจื่อฉิงขึ้นมาบ้างไหม?”
อีกฝั่งของสายเงียบไปเป็นเวลานาน
หลินม่ายถอนหายใจเบาๆ ดูเหมือนว่าระหว่างเคอจื่อฉิงกับเฉินเฟิงคงจะแห้วเสียแล้ว
แต่ในขณะที่เธอเตรียมจะวางสายนั้นเอง ก็ได้ยินเฉินเฟิงพูดมา “ยัยเด็กคนนั้นเริ่มก้าวที่หนึ่งออกมาอย่างกล้าหาญแล้ว งั้นที่เหลืออีก 99 ก้าวฉันจะจัดการให้สมบูรณ์เอง”
ตอนแรกหลินม่ายยังไม่เข้าใจความหมายของคำพูดของเขา แต่พอตั้งสติได้แล้ว ก็พลันตื้นตันอย่างสุดซึ้ง
ในเวลาเดียวกันก็รู้สึกว่าเฉินเฟิงเป็นปรมาจารย์ในการจีบสาว ช่างพูดคำหวานๆ พวกนี้ออกมาได้ไพเราะเหลือเกิน!
เธอวิ่งไปที่ห้องของฟางจั๋วหรานด้วยอารมณ์ตื่นเต้น
ฟางจั๋วหรานในตอนนั้นเพิ่งจะล้มตัวนอน ก็ได้ยินเสียงประตูห้องถูกเปิดออกอย่างเบามือ ตามด้วยไฟที่สว่างขึ้น
หลินม่ายในชุดนอนเดินมาทางเขา ในสายตาของเขาดูราวกับเทพธิดาน้อยที่เดินออกมาจากแสงเรืองรองอย่างนั้น
ทว่าต่อให้เป็นเทพธิดาน้อยอย่างไร ในอุณหภูมิยามค่ำคืนที่เกือบจะติดลบแบบนี้เธอก็คงหนาวแย่เหมือนกัน
ฟางจั๋วหรานดีดตัวราวกับปลาคาร์พและลุกขึ้นมาจากเตียงไปอุ้มหลินม่ายขึ้นมาราวกับสายฟ้าแลบจนไม่ทันกระพริบตา แล้วยัดเข้าไปในผ้าห่มอันอบอุ่นของเขาอย่างง่ายดาย
ก่อนเอ่ยที่ข้างหูของเธอ “ทำไมไม่คลุมเสื้อนวมสักตัวแล้วค่อยมาล่ะ?”
หลินม่ายพูดด้วยความตื่นเต้นในอ้อมกอด “ฉันอยากรีบมาบอกเรื่องน่าประทับใจสุดๆ เรื่องหนึ่งกับคุณไงล่ะ”
ฟางจั๋วหรานก้มหน้ามองสิ่งล้ำค่าตัวน้อยในอ้อมกอดอย่างอ่อนโยน “เรื่องอะไรเหรอ?”
หลินม่ายพูดทวนสิ่งที่เฉินเฟิงพูดเมื่อกี้นี้ให้เขาฟังอีกครั้ง แล้วพูดด้วยดวงตาเปล่งประกาย “คุณดูสิ เขาโรแมนติกเกินไปแล้ว!!”
ฟางจั๋วหรานทำหน้าดูแคลน “งั้นเหรอ? คุณลืมไปแล้วเหรอ ว่าตอนแรกทั้งหนึ่งร้อยก้าวผมเป็นคนก้าวไปเองน่ะ! นอกจากนี้ผมยังวางแผนว่าชีวิตนี้ชาตินี้หรือชาติหน้า ก็จะเดินไปกับคุณตลอดไปชั่วนิรันดร์”
หลินม่ายพลันไม่รู้สึกประทับใจคำหวานของเฉินเฟิงอีก
เธอคล้องคอของฟางจั๋วหรานแล้วจูบทีหนึ่ง “ต่อไปในวันข้างหน้า เราจะเดินไปด้วยกันนะคะ”
หลินม่ายอ้อยอิ่งอยู่ในอ้อมแขนของฟางจั๋วหรานครู่หนึ่ง ก็ต้องการกลับไปที่ห้องของตัวเอง
แต่เพียงเธอขยับตัว ก็ถูกฟางจั๋วหรานกอดรัดแน่นยิ่งขึ้น เสียงอ่อนโยนดังขึ้นข้างหูของเธอ “อย่าขยับ ระวังลมหนาวพัดเข้ามาเดี๋ยวจะหนาวจนจับไข้เอา”
เสียงนั้นไพเราะราวกับเพลงร้องบรรเลงในยามราตรี พาให้คนเคลิบเคลิ้ม
หลินม่ายเองก็ไม่อยากจะจากอ้อมกอดอบอุ่นของฟางจั๋วหรานไป แต่มันก็ดึกมากแล้ว เธอจำเป็นต้องไป
เธอผลักเขาออกเล็กน้อย “ฉันต้องกลับไปนอนที่ห้องค่ะ”
ฟางจั๋วหรานใช้คางถูไปมาบนกระหม่อมของเธอ “มาแล้วห้ามออกไป คืนนี้นอนอยู่อ้อมกอดของผมนี่แหละ”
“ไม่เอา!”
หลินม่ายไม่กล้าอยู่ต่อ หญิงหม้ายชายโสด ยังเป็นว่าที่สามีภรรยากันอยู่เลย เธอกลัวว่าเขาจะทำปืนลั่น
เธอดิ้นขัดขืนขึ้นมาในอ้อมแขนของเขา
แต่อ้อมกอดของเขานั้นราวกับกรงขังแสนหวานที่เธอไม่อาจหลบหนีได้
สุดท้ายเธอก็เหนื่อยจนหอบหายใจพูด “คุณห้ามทำเรื่องเกินเลยกับฉันเชียวนะ”
ฟางจั๋วหรานแตะริมฝีปากของเธอ “ปิดปากเถอะ รีบนอนได้แล้ว ดึกมากแล้วนะ”
หลินม่ายเอ่ยอย่างซุกซน “ฉันฟันเหยิน ปิดไม่ได้น่ะ”
“ไม่เป็นไร ต่อให้คุณมีเขี้ยวงอกออกมา ผมก็ยังชอบอยู่ดี” จู่ๆ เขาก็ก้มหน้าลงมา จูบลงบนริมฝีปากของเธอ……
ตลอดทั้งคืน หลินม่ายถูกฟางจั๋วหรานดูแลเป็นอย่างดี
ถึงจะนอนอยู่ก็ยังจูบที่หน้าผากของเธอเป็นครั้งคราว และยังตบตัวเธอเบาๆ เหมือนกับกล่อมเด็กน้อยนอนหลับอย่างนั้น
ค่ำคืนนี้ช่างหวานล้ำเหลือเกิน ยามที่หลินม่ายตื่นขึ้นมาในตอนเช้าจึงสดชื่นสบายตัว
แต่เมื่อเธอลืมตาขึ้นมานั้น ก็พบว่าตนไม่ได้อยู่ในห้องของตัวเอง หากแต่อยู่ในอ้อมกอดของฟางจั๋วหราน ใบหน้าก็พลันแดงเห่อขึ้นมา
เมื่อคืนทำไมตนถึงได้เคลิบเคลิ้ม จนถึงกับนอนอยู่ที่นี่กันนะ!
เธอลุกขึ้นจากเตียงอย่างรวดเร็วราวกับสายฟ้าฟาดผ่าน และหนีกลับไปที่ห้องของตัวเอง
ฟางจั๋วหรานยังไม่ทันรู้สึกตัว สุดที่รักตัวน้อยในอ้อมแขนก็หนีไปเสียแล้ว สิ่งที่เหลือทิ้งไว้ให้มีเพียงกลิ่นกายหอมกรุ่นที่ทำให้เขาหลงใหลเท่านั้น
หลินม่ายหนีกลับไปที่ห้องของตัวเอง ก็เห็นว่าเคอจื่อฉิงยังไม่ตื่นนอน จึงถอนหายใจเฮือกใหญ่ออกมาในที่สุด
คราวนี้เคอจื่อฉิงมาพักอยู่ที่บ้านหลินม่ายเป็นเวลาสามวัน ภายในสามวันนี้เฉินเฟิงก็พาหล่อนออกไปเที่ยวไม่เว้นวัน
ครั้งก่อนหล่อนยังไม่ได้เดินชมทิวทัศน์ ครั้งนี้เฉินเฟิงก็พาหล่อนเที่ยวชมไปหมดทุกแห่ง
ทั้งนี้เคอจื่อฉิงยังบอก “ความลับที่น่าตกใจ” อย่างหนึ่งกับหลินม่าย
ว่าวิลล่าที่เฉินเฟิงซื้อมาใหม่นั้นอยู่สุดปลายถนนเส้นเดียวกันกับวิลล่าของบ้านเธอ ห่างกันแต่ไม่กี่ร้อยเมตรเท่านั้น
หลินม่ายตื่นตะลึงอย่างมาก เธอไม่รู้เรื่องเลยสักนิด
เธอถามเคอจื่อฉิง ว่าเฉินเฟิงซื้อวิลล่าไว้ตั้งแต่เมื่อไร
เคอจื่อฉิงพูด “ก็สองสามเดือนแล้วล่ะ ได้ยินพี่เฟิงบอกว่า เป็นวิลล่าที่พ่อเลี้ยงให้เขามาน่ะ”
หลินม่ายได้ยินดังนั้นก็ตกสู่ความเงียบ
เคอจื่อฉิงตบที่แขนของเธอเบาๆ “ต่อไปฉันกับพี่เฟิงแต่งงานกันแล้ว เราก็จะเป็นเพื่อนบ้านที่ดีต่อกัน ฉันจะมาเล่นที่บ้านของเธอทุกวันเลย”
หลินม่ายงุนงง “ทำไมพอเธอแต่งงานกับเฉินเฟิงแล้วถึงเป็นแค่เพื่อนบ้านที่ดีกับฉัน ไม่ได้เป็นเพื่อนสนิทกันแล้วล่ะ?”
“เป็นทั้งหมดนั่นแหละ!”
แม้ว่าจะเที่ยวจนครบสามวันแล้ว แต่เคอจื่อฉิงก็ยังไม่ยอมกลับ และยังอยากจะอยู่กับเฉินเฟิงอีกสองวัน
สุดท้ายเฉินเฟิงก็เป็นคนบอกว่า รอผ่านวันปีใหม่ไปแล้วเขาก็ไปหาหล่อน หล่อนถึงได้ยอมขึ้นรถไฟกลับไปอย่างอาลัยอาวรณ์
ผ่านไปอีกไม่กี่วัน ในที่สุดศาลก็ได้ตัดสินคดีคดีลักขโมยทรัพย์สินโรงงานเสื้อผ้าของอู๋ซู่เฟินแล้ว
เนื่องจากอู๋ซู่เฟินและลูกชายลูกสะใภ้ของหล่อนให้การรับสารภาพแต่โดยดี และส่งมอบทรัพย์สินทั้งหมดที่ยักยอกมาตามจำนวนเดิม ในส่วนที่ขาดหายไปเองก็คิดหาวิธีมาเติมเต็มด้วยเช่นกัน
ด้วยเหตุนี้ศาลจึงตัดสินให้อู๋ซู่เฟินต้องโทษจำคุก 3 ปี ลูกชายคนโตและลูกสะใภ้ของหล่อนต้องโทษจำคุก 1 ปี ซึ่งนี่ก็เป็นโทษที่ค่อนข้างเบาแล้วในระหว่างการปราบปราม
หลังจากที่หลินม่ายได้ฟังรายงานของเสิ่นเสี่ยวผิง ก็เอาเรื่องนี้โยนไปไว้ข้างหลังก่อน
ข่าวที่ว่าเสื้อผ้าจิ่นซิ่วจัดหาชุดราตรีและเครื่องประดับให้กับนักแสดงหญิงทุกคนในงานรับรางวัลไก่ทองคำได้แพร่กระจายออกไปผ่านผู้จัดงาน จึงมีสื่อมากมายที่มาสัมภาษณ์ล่วงหน้า
ทว่าสำหรับสื่อในเจียงเฉิงนั้นเสื้อผ้าจิ่นซิ่วจะรับเฉพาะการสัมภาษณ์ข่าวหนังสือพิมพ์เท่านั้น นี่เป็นคำสั่งของหลินม่าย
เรื่องอย่างการให้สัมภาษณ์สื่อนั้นเป็นหน้าที่ของฝ่ายประชาสัมพันธ์ทั้งหมด หลินม่ายจึงไม่ได้ปรากฏตัว
หนิวลี่ลี่เป็นตัวแทนของฉู่เป้าสัมภาษณ์ซุนอวิ้นหงเสร็จแล้ว ขณะที่กำลังจะกลับ ก็ถูกหลินม่ายเรียกรั้งไว้เสียก่อน และแอบถามกับหล่อนว่าคบหากับฟางจั๋วเยวี่ยแล้วรู้สึกเป็นอย่างไรบ้าง
หนิวลี่ลี่นิ่งเงียบไปครู่หนึ่ง แล้วพูดขึ้น “บางทีเราสองคนอาจจะกำลังดูตัวกันอยู่ล่ะนะ ไม่ได้รู้สึกอะไรเป็นพิเศษหรอก แต่จั๋วเยวี่ยก็ปฏิบัติต่อฉันไม่เลวเหมือนกัน ทุกอย่างที่คู่รักควรทำเขาก็ทำหมดแล้ว และยังไร้ที่ติด้วย”
หลินม่ายหรี่ตาเหล่มองหล่อน “ทุกอย่างที่คู่รักควรทำเขาก็ทำหมดแล้วคืออะไร? พวกเธอสองคนจูบกันแล้วเหรอ?”
“เหลวไหลน่า!” หนิวลี่ลี่ดุเธอมาคำหนึ่ง ก่อนจะวิ่งหนีไปด้วยใบหน้าแดงเรื่อ
หลินม่ายหัวเราะพลางหันกลับมา แต่กลับเห็นเถาจืออวิ๋นที่ถือชาร้อนสองแก้วอยู่ในมือ และยื่นแก้วหนึ่งให้กับเธอ “น้องเขยของเธอกำลังเดทกันอยู่เหรอ?”
หลินม่ายรับชาร้อนมา ดื่มไปสองคำแล้วจึงพยักหน้า
เถาจืออวิ๋นพูดด้วยรอยยิ้ม “ทั้งสองคนเหมาะสมกันมากเลย”
ทั้งสองยืนอยู่ที่ทางเดิน รับลมหนาวพลางดื่มชาจนหมด
คนหนึ่งกลับไปยังห้องทำงาน ส่วนอีกคนก็กลับบ้าน
…………………………………………………………………………………………………………………….
สารจากผู้แปล
สำลักความหวานของคู่รักสองคู่นี้มากเลยค่ะ น้ำเปล่าต้องเข้ามาเป็นแพคแล้ว เดี๋ยวผู้แปลจะเป็นเบาหวานซะก่อน
ส่วนคู่จั๋วเยวี่ยนี่ยังไงดีน้า
ไหหม่า(海馬)