แม่ปากร้ายยุค 80 - ตอนที่ 573 เคอจื่อฉิงมาหาแบบไม่ทันตั้งตัว
ตอนที่ 573 เคอจื่อฉิงมาหาแบบไม่ทันตั้งตัว
หลังจากชาวบ้านทำการปลูกเมล็ดผักกาดหอมที่เคอจื่อฉิงมอบให้ ในที่สุดผักกาดหอมชุดแรกก็สามารถเก็บเกี่ยวได้แล้ว
ถึงอย่างนั้นก็มีคนสนใจซื้อไม่มากนัก เนื่องจากมันเป็นผักสายพันธุ์ใหม่ ราคาขายก็ไม่ถูกเลย แถมยังแพงกว่าราคาผักทั่วไปถึงสองเท่า
แม่บ้านหลายคนกังวลว่าถ้าซื้อกลับไปแล้วรสชาติอาจไม่อร่อย ทำให้ต้องเสียเงินไปฟรี ๆ
ในช่วงบ่ายหลังจากการสอบ หลินม่ายแวะไปที่ตลาดสดฝูตัวตัว ลงมือทำผักกาดหอมต้ม สลัดผักกาดหอม ผัดผักกาดหอม… แล้วแจกจ่ายให้ลูกค้าลองชิม
ผักกาดหอมมีเนื้อสัมผัสกรอบนอกนุ่มใน ลูกค้าหลายคนชิมแล้วพูดเป็นเสียงเดียวกันว่าอร่อย
พอผักกาดหอมได้รับการยอมรับจากสาธารณชนแล้ว ยอดขายก็เพิ่มขึ้นอย่างช้า ๆ
หลังจากโปรโมตผักกาดหอมที่ตลาดสดแล้ว หลินม่ายก็แวะไปที่ร้านเหรินเจียนเยียนหั่วสาขาใหม่ เพื่อสาธิตวิธีการกินเซาเข่าโดยใช้ผักกาดหอมห่ออีกทีหนึ่ง
เซาเข่ามีราคาไม่ถูกเลย ยิ่งถ้าเป็นเมนูที่ทำจากเนื้อปลา แกะหัน หรืออาหารทะเลย่าง และอื่น ๆ ยิ่งราคาสูงเข้าไปใหญ่
ดังนั้นกลุ่มลุกค้าส่วนใหญ่ที่แวะมาอุดหนุนร้านเหรินเจียนเยียนหั่วจึงเป็นคนหนุ่มสาว
ผู้ใหญ่วัยกลางคนขึ้นไปมีวัฒนธรรมการกินเป็นของตัวเอง ต่อให้วันไหนพวกเขานึกครึ้มอยากกินเซาเข่า พวกเขาก็พอใจที่จะซื้อจากแผงขายริมถนนที่มีราคาถูกเท่านั้น ไม่นิยมมากินเซาเข่าที่ร้านเหรินเจียนเยียนหั่ว
คนหนุ่มสาวยอมรับสิ่งใหม่ ๆ ได้อย่างรวดเร็ว ไม่นานการกินเซาเข่าโดยห่อด้วยผักกาดหอมก็กลายเป็นที่นิยมอย่างแพร่หลาย
เป็นผลให้เจ้าของร้านเซาเข่าหลายแห่งต่างติดต่อขอซื้อผักกาดหอมจากตลาดของหลินม่าย
โชคดีที่ตอนนั้นเคอจื่อฉิงเอาเมล็ดพันธุ์ผักกาดหอมมาให้เป็นจำนวนมาก ทำให้จำนวนการเพาะพันธุ์มากตามไปด้วย ไม่อย่างนั้นคงไม่สอดคล้องกับอุปทานของตลาดแน่
นับตั้งแต่ที่แกะหันของร้านเหรินเจียนเยียนหั่วสามารถกินแกล้มกับผักกาดหอมได้ รสชาติของมันจึงไม่เลี่ยนอีกต่อไป ยอดขายแกะหันพลิกผันจากหน้ามือเป็นหลังมือ
ถึงอย่างนั้นหลินม่ายก็ยังวางแผนว่าจะรอจนกว่าคะแนนสอบปลายภาคถูกประกาศ แล้วค่อยไปเที่ยวเพื่อพักผ่อนในช่วงฤดูหนาวอย่างเป็นทางการ ปลายทางคือมองโกเลียใน จะได้ติดต่อขอซื้อแกะตามสายพันธุ์ที่ลุงคูร์บานเคยบอกไว้กลับมาทำแกะหัน
เนื่องจากเธออยากทำให้แกะหันกลายเป็นเมนูซิกเนเจอร์ของร้านเหรินเจียนเยียนหั่ว ดังนั้นไม่ควรขี้เหนียวในการเลือกสายพันธุ์แกะที่ดีที่สุดมาประกอบอาหาร
เริ่มจากการเลือกใช้เนื้อแกะที่เหมาะสมกับเมนู เพื่อให้ผลลัพธ์ออกมาดีที่สุด
นอกจากนี้เธอยังอยากหาซื้อเนื้อวัวกลับมาด้วย เพื่อเติมเต็มช่องโหว่ในตลาดที่ปราศจากเนื้อวัว
ถึงงานพวกนี้จะสามารถมอบหมายให้พนักงานรับซื้อไปจัดการกันเอง แต่เธออยากเดินทางไปด้วยตัวเองมากกว่า
ไม่กี่วันต่อมาก็ถึงพิธีจบการศึกษา และเป็นวันประกาศผลสอบปลายภาค
หลินม่ายทำคะแนนสอบได้ดีมากในการสอบปลายภาคเรียนที่สองของชั้นมัธยมศึกษาปีที่หก รั้งอันดับที่ 8 ของทั้งระดับชั้น ทำให้ทางโรงเรียนพิจารณาอนุญาตให้เธอสอบข้ามระดับได้
หลินม่ายมีความสุขมาก เธอไปตลาดผักเพื่อซื้อวัตถุดิบกลับมามากมาย จากนั้นก็ตรงกลับบ้านเพื่อเข้าครัวทำอาหารมื้อพิเศษเป็นการเฉลิมฉลอง
เมื่อเธอกลับมาถึงบ้านพร้อมวัตถุดิบ น้าหวงเพิ่งทำความสะอาดบ้านเสร็จ ส่วนคุณปู่ฟางและคุณย่าฟางไม่อยู่บ้าน
โต้วโต้วไปเที่ยวช่วงวันหยุดฤดูหนาวตั้งแต่สัปดาห์ที่แล้ว ทุก ๆ เช้าหลังมื้ออาหาร คุณปู่ฟางและคุณย่าฟางจะพาหล่อนไปฝึกไท่เก๊ก
โต้วโต้วเป็นโรคหัวใจ ได้รับการผ่าตัดเรียบร้อยแล้ว ดังนั้นหล่อนจึงไม่สามารถออกกำลังกายหนัก ๆ ได้ ออกกำลังกายได้แต่กีฬาเบา ๆ อย่างไท่เก๊ก
หลินม่ายอนุญาตให้น้าหวงเลิกงานก่อนเวลา เพื่อที่เธอจะได้ทำอาหารกลางวันด้วยตัวเอง
หลังจากทำความสะอาดและเตรียมส่วนผสมแล้ว เธอก็ได้ยินเสียงของเคอจื่อฉิงมาตะโกนเรียกอยู่นอกประตูลานบ้าน
ตอนแรกหลินม่ายคิดว่าตัวเองคงหูฝาดไป เพราะเคอจื่อฉิงควรอยู่ที่กว่างโจวนี่นา
แต่เมื่อมองออกไปทางหน้าต่าง ถึงเห็นว่าเคอจื่อฉิงมายืนเรียกอยู่นอกประตูลานบ้าน
เธอจึงทิ้งงานในมือแล้ววิ่งออกไปเปิดประตูให้เคอจื่อฉิงทันที
หลินม่ายตกตะลึงเมื่อเห็นสภาพของเคอจื่อฉิงที่อยู่ตรงหน้า
สีหน้าหล่อนดูซีดเซียว ผมเผ้ายุ่งเหยิงเล็กน้อย ใบหน้าหมองคล้ำเหมือนคนไม่ได้อาบน้ำ แถมรอบดวงตายังดำเหมือนมีแพนด้า
รองเท้าหนังคู่เล็กที่เธอสวมอยู่ค่อนข้างเยิน อดคิดไม่ได้ว่าเธอดูเหมือนเด็กสาวที่เพิ่งสูญเสียอะไรสักอย่าง
นี่เป็นครั้งที่สองแล้วที่หลินม่ายเห็นสภาพหล่อนโทรมเหมือนเด็กสาวที่เพิ่งเสียความบริสุทธิ์
หลินม่ายรีบดึงเธอเข้ามาในลานบ้าน จากนั้นก็ประคองอีกฝ่ายเดินเข้ามาในบ้านอย่างรวดเร็ว
จากนั้นก็เหลือบมองสภาพภายนอกของเคอจื่อฉิง “เธอเดินทัพยาวสองหมื่นห้าพันลี้กว่าจะมาถึงที่นี่หรือไงกัน?”
“เปล่า ฉันมาจากกว่างโจว เสี้ยวเล็ก ๆ ของการเดินทัพยาวสองร้อยห้าสิบลี้เท่านั้น”
“งั้นก็แสดงว่าหนทางไม่ได้รันทดอะไรขนาดนั้น อย่าบอกนะว่าเธอมาที่นี่โดยรถไฟ?”
“ก็ใช่น่ะสิ!”
“รถไฟทรหดจนทำให้เธอมีสภาพเป็นแบบนี้เชียวเหรอ?”
เคอจื่อฉิงเบะปากด้วยความโกรธ “ฉัน… ฉันต่อสู้กับเฉินเฟิงมาตลอดทาง เพราะว่า…”
หลินม่ายตกใจมาก “เฉินเฟิงเพิ่งจะไปหาเธอตอนปีใหม่นี่ เธอยังเล่าให้ฉันฟังอยู่เลยไม่ใช่เหรอว่าพวกเธอสองคนเข้ากันได้ดี? แล้วทำไมรอบนี้ถึงได้ต่อสู้กันอีกล่ะ ระยะทางระหว่างกว่างโจวมาเจียงเฉิงไม่ใช่ใกล้ ๆ เลยนะ”
เคอจื่อฉิงสะอื้นไห้เล็กน้อย “เขารังแกฉัน”
หลินม่ายไม่เชื่อว่าเฉินเฟิงจะรังแกเธอจริง ๆ
ถึงอย่างนั้นก็ยังถามว่า “แล้วเขารังแกเธอได้ยังไง?”
เคอจื่อฉิงกัดริมฝีปากแน่น ไม่ยอมพูดอะไรเลย
ทั้งสองเดินเข้าไปในห้องนั่งเล่น หลินม่ายบอกให้เคอจื่อฉิงไปล้างหน้า แปรงฟัน และหวีผมให้เรียบร้อย จากนั้นก็ขึ้นไปบนห้องนอนของเธอ แล้วหยิบชุดนอนผ้าฝ้ายมาให้อีกฝ่ายยืมใส่
คราวนี้พอเคอจื่อฉิงเก็บข้าวของแล้วเดินกลับลงมาชั้นล่าง พบว่าสีหน้าเธอดูดีกว่าเดิมหน่อย
หลินม่ายวางแก้วนมพาสเจอร์ไรส์ไว้ตรงหน้าแล้วถามไถ่ “พวกเธอสองคนทะเลาะกันทำไม ไหนลองเล่าให้ฟังซิ”
เคอจื่อฉิงจิบนมร้อนไปสองจิบ จากนั้นก็เล่าเหตุผลที่ตัวเองกับเฉินเฟิงทะเลาะกัน
ตั้งแต่ที่เฉินเฟิงมาหาเธอถึงที่กว่างโจวเพื่อฉลองเทศกาลปีใหม่ ความสัมพันธ์ระหว่างทั้งสองก็พัฒนาขึ้นอย่างรวดเร็ว
เคอจื่อฉิงไม่เห็นหน้าเฉินเฟิงแค่วันเดียวเหมือนผ่านไปสามฤดูสารท ดังนั้นเธอจึงขอให้เฉินเฟิงหาเวลาว่างไปเยี่ยมเธอหน่อย
เฉินเฟิงลงทุนเดินทางไปกว่างโจวเพื่อเยี่ยมหล่อนอีกครั้งเมื่อสองวันก่อน
เคอจื่อฉิงพาเขาไปเที่ยวที่บาร์แห่งหนึ่ง ทำให้สองหนุ่มสาวเมามายไม่ได้สติกันทั้งคู่
เมื่อหล่อนตื่นขึ้นในตอนเช้า หล่อนก็ต้องตกใจสุดขีดเมื่อเห็นว่าตัวเองกับเฉินเฟิงนอนอยู่บนเตียงเดียวกัน
หล่อนใช้เวลาแค่ห้านาทีในการแต่งตัว และอีกสิบห้านาทีในการทุบตีเฉินเฟิงอย่างรุนแรง
จากนั้นก็วิ่งหนีเขาไปที่สถานีรถไฟ ซื้อตั๋วอย่างรวดเร็ว แล้วมาที่เจียงเฉิงเพื่อฟ้องเรื่องนี้กับหลินม่าย
แต่หลินม่ายไม่เห็นว่าอีกฝ่ายจะแสดงสีหน้าเสียใจหรือร้องห่มร้องไห้ตรงไหน เห็นว่าเธอเอาแต่กัดฟันกรอดด้วยความโกรธเคือง
“เธอแน่ใจเหรอว่า… เธอกับเฉินเฟิงมีความสัมพันธ์เกินเลยกันจริง ๆ?”
หลินม่ายอดสงสัยประเด็นนี้ไม่ได้
เธอไม่คิดว่าเคอจื่อฉิงซึ่งมีนิสัยประหม่าและตื่นตูมง่ายจะมีสติมากพอจนสามารถแยกแยะว่าตัวเองนอนกับเฉินเฟิงจริง ๆ หรือแค่เมามากจนผล็อยหลับไปพร้อมกันกับเฉินเฟิงบนเตียงเท่านั้น
เคอจื่อฉิงทำเสียงสะอื้นพลางพยักหน้า “ฉันเสียสาวแล้วจริง ๆ… ฉันเห็นว่า… บนเตียงมีคราบเลือด แถมฉันยังหมดเรี่ยวหมดแรง ขาสองข้างยืนปกติไม่ได้ แถมยัง… เจ็บตรงนั้น…”
หล่อนถือแก้วนมพร้อมกับจ้องมองหลินม่าย “เธอคงรู้ใช่ไหมว่าเจ็บตรงนั้นคือตรงไหน”
หลินม่ายงุนงง “ฉันจะไปรู้ได้ยังไง…”
เคอจื่อฉิงมองเธอด้วยความรังเกียจ “เธอย้ายมาอยู่บ้านเดียวกันกับหมอฟางแล้วแท้ ๆ ยังมัวเสแสร้งอยู่อีก…”
หลินม่ายจนปัญญาจะอธิบายจนต้องเอามือก่ายหน้าผากตัวเอง “วกกลับไปคุยเรื่องของเธอต่อเถอะ”
เคอจื่อฉิงกะพริบตาปริบ “ฉันเสร็จเขาแล้ว”
จากนั้นหล่อนก็แผดเสียงร้องโหยหวนทันที “ฉันจะฆ่าเฉินเฟิงซะ! เขาช่างไม่เข้าใจการรักหยกถนอมบุปผา(1)เอาซะเลย!”
หลินม่ายพยายามปลอบหล่อนอยู่ครู่หนึ่ง แล้วถามว่า “แล้วเธอคิดจะทำยังไงต่อไป?”
เคอจื่อฉิงเบิกตาโพลงด้วยความประหลาดใจ “ทำไมเธอถึงถามคำถามนี้กับฉันล่ะ? นั่นควรเป็นหน้าที่ของเธอสิ ไม่งั้นฉันจะถ่อสังขารมาหาเธอถึงที่นี่ทำไมกัน?”
เป็นประโยคที่ไม่สามารถปฏิเสธได้จริง ๆ ด้วย
หลินม่ายยกมือขึ้นเการะหว่างคิ้วของตัวเองโดยไม่พูดอะไร ไม่ทันพูดอะไรต่อ ก็ได้ยินเสียงเรียกของเฉินเฟิงดังมาจากนอกประตูลานบ้าน
เธอกำลังจะไปเปิดประตูให้เขา แต่เคอจื่อฉิงกลับจับแขนเธอไว้แน่น “ห้ามเปิดประตูให้เขาเด็ดขาดนะ!”
หลินม่ายพูดอย่างหมดหนทาง “ถ้าเธอไม่ยอมให้เขาเข้ามา แล้วเธอสองคนจะแก้ปัญหานี้ยังไงล่ะ?”
เธอสลัดมือออกจากเคอจื่อฉิง แล้วเดินออกไปเปิดประตูให้เฉินเฟิง
รูปร่างหน้าตาของเฉินเฟิงดีกว่าสภาพตอนแรกของเคอจื่อฉิงมาก อย่างน้อยก็ดูเหมือนเขาล้างหน้าล้างตามาเรียบร้อยแล้ว ต่างแค่ตาข้างหนึ่งมีรอยฟกช้ำนิดหน่อย
ประโยคแรกของเฉินเฟิงคือ “จื่อฉิงมาหาเธอหรือเปล่า? หล่อนเป็นยังไงบ้าง?”
“อืม หล่อนปลอดภัยดี”
ความกังวลใจส่วนใหญ่บนใบหน้าของเฉินเฟิงพลันจางหายไป จากนั้นก็บ่นอุบ “แม่สาวน้อยพลังช้างสารคนนี้ทำฉันเกือบตาย พอลงจากรถไฟแล้วหล่อนก็หายตัวไปท่ามกลางฝูงชนซะอย่างนั้น”
หลินม่ายถามหยั่งเชิง “นายรังแกจื่อฉิงจริงหรือเปล่า?”
ใบหน้าของเฉินเฟิงเปลี่ยนเป็นแดงก่ำในทันที
เขาพยักหน้าหงอย ๆ “ฉันจะรับผิดชอบหล่อนเอง”
หลินม่ายพยักหน้า “ถ้าอย่างนั้นก็เข้าไปคุยกับหล่อนดี ๆ เถอะ”
……………………………………………………………………………………………………………….
รักหยกถนอมบุปผา เป็นสำนวนจีน หมายถึง บุรุษควรทะนุถนอมอ่อนโยนต่อสตรี
สารจากผู้แปล
เคลียร์กันดีๆ แล้วกันนะ ว่าจะเอายังไงกับชีวิตความสัมพันธ์กันต่อดี คนนอกตัดสินใจให้ไม่ได้หรอก
ไหหม่า(海馬)