แม่ปากร้ายยุค 80 - ตอนที่ 585 เถาจืออวิ๋นย้ายบ้าน
ตอนที่ 585 เถาจืออวิ๋นย้ายบ้าน
หลินม่ายจึงอาศัยความไม่รู้ของอีกฝ่าย ทดสอบความสามารถทางวิชาชีพของพนักงานขายสาวทั้งสี่ และพบว่าพวกหล่อนมีความสามารถไม่เลวเลย
หลังจากนั้นก็เปิดเผยตัวตนของเธอด้วยรอยยิ้ม ทันใดนั้นพนักงานขายสาวทั้งสี่ก็เริ่มประหม่า
ถึงหลินม่ายจะอายุยังน้อย แต่เธอก็มีราศีของความเป็นเจ้าคนนายคนที่เห็นได้ชัด ซึ่งทำให้พวกหล่อนรู้สึกกดดันมากโดยสัญชาตญาณ
หลินม่ายสอบถามถึงสถานการณ์เสนอขายบ้านล่าสุด
พนักงานขายและหัวหน้าต่างส่ายหน้าด้วยความรู้สึกผิด แจ้งว่าเปอร์เซ็นต์ยอดขายยังคงเป็นศูนย์
หลินม่ายไม่ได้แสดงท่าทางกระวนกระวายใจ ถามกลับว่าซุนอวิ้นหงได้ว่าจ้างคนมาถ่ายทำโฆษณาตามที่เธอขอแล้วหรือยัง
หัวหน้าฝ่ายขายบอกว่า “ตอนนี้กำลังถ่ายทำอยู่พอดีเลยค่ะ คุณอยากให้ฉันพาไปดูที่การถ่ายทำไหมคะ?”
หลินม่ายพยักหน้า
ชั่วพริบตาต่อมา ทั้งสองก็มาถึงสถานที่สำหรับใช้ในการถ่ายทำ
ฉากถ่ายทำเป็นห้องชุดแบบสองห้องนอนซึ่งได้รับการตกแต่งปรับปรุงใหม่ทั้งหมด
ถึงแม้รูปแบบการตกแต่งและการจัดวางเครื่องเรือนของห้องชุดนี้ไม่ถึงขั้นหรูหรา แต่ก็เต็มไปด้วยความอบอุ่นและสบายตา
นี่คือสไตล์ที่หลินม่ายต้องการ
เป็นเวลาหนึ่งปีถึงสองปีแล้วนับตั้งแต่มีการปฏิรูปและเปิดประเทศ วิถีชีวิตของชาวเมืองเจียงเฉิงอยู่ในระดับที่ดีขึ้นกว่าเดิม แต่บางส่วนก็ยังยากจน
ขืนตกแต่งที่พักอาศัยจนหรูหราสวยงามเกินไป คนทั่วไปอาจรู้สึกว่ามันจับต้องได้ยาก ทำให้โฆษณาส่งอิทธิพลกับคนไม่กี่กลุ่ม
บ้านที่มีลักษณะเรียบง่าย สะอาดสะอ้าน เต็มไปด้วยความโอบอ้อมอารีและอบอุ่น ทั้งยังสะดวกสบาย แบบนี้คนธรรมดาจะรู้สึกว่าตัวเองยังคงเป็นเจ้าของมันได้ ตราบใดที่พวกเขาทำงานอย่างหนัก
เช่นเดียวกับโฆษณาในยุคหลัง ๆ นั่นแหละ ทำไมมันถึงได้รับการยอมรับจากสาธารณชนเมื่อถูกออกอากาศล่ะ ก็เพราะมันเข้าถึงคนทุกเพศทุกวัยไม่ใช่หรือ?
แน่นอนว่าการตกแต่งและจัดวางเครื่องเรือนของบ้านไม่มีปัญหา แต่นักแสดงที่สวมบทบาทเป็นพ่อแม่ลูกดูแต่งตัวมากเกินไปหน่อยไหม?
ไหนจะต่างหูทอง แหวนทองบนนิ้ว รสนิยมเหล่านี้ช่างไม่เหมาะสมกับเป้าหมายทางการตลาดเลย
หลินม่ายไม่ค่อยพอใจกับบทบาทนักแสดง ดังนั้นจึงเดินเข้าไปแล้วสั่งเบรกการถ่ายทำทันที
ผู้กำกับการถ่ายทำโฆษณาเป็นชายวัยกลางคนอายุประมาณสี่สิบ เขาหันมองเธอด้วยความไม่พอใจ “คุณเป็นใคร มีสิทธิ์อะไรมาชี้นิ้วสั่งผม ออกไป!”
หัวหน้าฝ่ายขายแนะนำด้วยสีหน้าเย็นชา “หล่อนคือประธานหลินของบริษัทพวกเรา คุณนั่นแหละกล้าดียังไงถึงไล่หล่อนออกไป!”
ผู้กำกับคนนั้นได้ยินก็ตกตะลึงจนหน้าเสีย
หลินม่ายให้คำแนะนำอย่างตรงจุด
หนึ่ง ถอดเครื่องประดับทองของนักแสดงที่รับบทเป็นแม่ออก สอง เปลี่ยนการแต่งกายให้หล่อนสวมเสื้อสเวตเตอร์หนา ๆ ใส่ผ้ากันเปื้อน รวบผมเป็นหางม้าต่ำ โพกผ้าสามเหลี่ยมไว้เหนือศีรษะ และเจียวไข่อยู่ในครัว
ค่อยสมจริงขึ้นมาหน่อย ดูจับต้องได้มากขึ้น
นอกจากนี้ยังเปลี่ยนบทใหม่ด้วย
โฆษณาเริ่มต้นจากเด็กคนหนึ่งตื่นนอนในตอนเช้าด้วยความสดใส หันมองดูรอบห้องเล็ก ๆ ของตัวเอง จากนั้นก็เข้าห้องน้ำไปแปรงฟันและล้างหน้า แล้วเดินมาหาแม่ของเขาที่ทำอาหารเช้าอยู่ในครัว หลังจากนั้นทุกคนในครอบครัวก็กินอาหารเช้าร่วมกัน ก่อนจะแยกย้ายไปทำงานและไปโรงเรียน
ระหว่างที่เหตุการณ์ดำเนินไป ให้ใช้เวลานี้อย่างชาญฉลาดเพื่อแสดงสภาพแวดล้อมทั้งหมดในบ้าน ตั้งแต่ห้องนอน ห้องนั่งเล่น ห้องน้ำ ไปจนถึงห้องครัว
ตบท้ายด้วยเสียงพากย์ของหญิงสาวที่ดังขึ้น : บ้านของฉัน แสนอบอุ่นและสวยงาม
หลินม่ายเชื่อว่าเนื้อหาในโฆษณาดังกล่าวเพียงพอที่จะปลุกเร้าผู้คนให้โหยหาบ้าน เป็นไปไม่ได้ที่มันจะไม่มีอิทธิพลอะไรกับหัวใจคนดูเลย
หลังจากถ่ายทำโฆษณาเสร็จ ทีมงานก็เก็บของและจากไป หลินม่ายก็กำลังจะออกไปเช่นกัน แต่พอหันหลังกลับมาก็เจอเข้ากับเถาจืออวิ๋น
เถาจืออวิ๋นก็เห็นเธอเช่นกัน ทักทายด้วยความยินดีว่า “ม่ายจื่อ กลับมาแล้วเหรอ? กลับมาตั้งแต่เมื่อไหร่?”
“บ่ายวันนี้เอง”
เถาจืออวิ๋นถอนหายใจ “เธอทำงานหนักเกินไปแล้ว ทันทีที่กลับมาถึงก็ตระเวนตรวจงานเลยเหรอ”
“ฉันอยู่เฉย ๆ ไม่ได้น่ะ” หลินม่ายถามด้วยความแปลกใจ “พี่มาที่นี่ทำไม?”
ขณะที่ถามแบบนั้นก็เอื้อมมือไปช่วยถือถุงใบใหญ่และใบเล็กจากมืออีกฝ่าย
เถาจืออวิ๋นตอบ “ลืมแล้วเหรอว่านี่คือบ้านโบนัสของฉัน!”
หลินม่ายเพิ่งจะนึกขึ้นได้เหมือนกัน “มิน่าล่ะการตกแต่งและจัดวางเครื่องเรือนในห้องนี้ถึงได้มีสไตล์เป็นพิเศษ ที่แท้ก็เป็นบ้านของพี่นี่เอง”
เมื่อเห็นว่าภายในบ้านค่อนข้างยุ่งเหยิงเพราะการถ่ายทำโฆษณา เธอจึงขอให้หัวหน้าฝ่ายขายไปจัดหาแม่บ้านมาทำความสะอาดให้หน่อย
เถาจืออวิ๋นอุตส่าห์ยินดีให้พวกเขายืมบ้านเพื่อถ่ายทำโฆษณาทั้งที ถ้าไม่แม้แต่จะทำความสะอาดเป็นการตอบแทน นั่นก็คงจะมากเกินไป
เถาจืออวิ๋นโบกมือ “ฉันทำความสะอาดเองได้ ไม่ต้องไปเรียกแม่บ้านมาให้ยุ่งยากหรอก”
หัวหน้าฝ่ายขายมองไปทางหลินม่าย หลินม่ายจึงโบกมือให้เป็นเชิงว่าตามนั้น
เธอช่วยเถาจืออวิ๋นหิ้วถุงใบใหญ่และใบเล็กที่ซื้อกลับมาจากข้างนอกเข้ามาในครัว “ทำไมถึงซื้อวัตถุดิบกลับมามากมายแบบนี้ล่ะ มีทั้งปลา เนื้อ สาหร่ายทะเล และอีกสารพัดอย่าง พี่กลัวว่าตลาดของฉันจะปิดทำการในช่วงปีใหม่หรือไงกัน ตลาดของฉันไม่ได้ปิดเจ็ดวันเหมือนหน่วยงานอื่น ๆ ซะหน่อย ยังเปิดขายทุกวัน”
เถาจืออวิ๋นอธิบาย “ของพวกนี้เป็นสวัสดิการวันหยุดช่วงปีใหม่จากโรงงานทั้งนั้น ฉันไม่ได้ซื้อเองซะหน่อย”
หลินม่ายมองดูของเหล่านั้น พอเห็นว่าไม่มีผลไม้เลยจึงถามว่า “ทำไมไม่มีผลไม้เลยสักอย่าง?”
“มีสิ แต่ของเยอะเกินไป ฉันถือกลับมาคนเดียวไม่ไหว ก็เลยฝากผลไม้ไว้ที่ห้องทำงานก่อน วันพรุ่งนี้ค่อยไปขนมาอีกรอบ”
หลังจากเก็บข้าวของเข้าที่แล้ว ทั้งสองก็ช่วยกันทำความสะอาดบ้าน จากนั้นหลินม่ายก็ขอตัวกลับ
เมื่อเห็นว่าเถาจืออวิ๋นตั้งท่าจะเดินออกไปด้วยกัน เธอก็พูดดักไว้ก่อน “เราต่างก็คุ้นเคยกันดี ไม่ต้องออกไปส่งฉันหรอก”
เถาจืออวิ๋นหัวเราะ “ฉันไม่ได้จะออกไปส่งเธอ ฉันจะกลับบ้าน”
หลินม่ายชี้ไปที่ห้องชุดด้านหลัง “นั่นไม่ใช่บ้านของพี่หรือไง?”
เถาจืออวิ๋นตอบ “ฉันหมายถึงบ้านหลังเก่าในเขตชุมชนโรงงานตัดเสื้อชุนเหล่ยต่างหาก”
“พี่ยังไม่ได้ย้ายมาที่นี่อย่างเป็นทางการหรอกเหรอ?”
“ยังหรอก พรุ่งนี้เป็นวันอาทิตย์พอดี ฉันตั้งใจจะย้ายข้าวของมาที่นี่อย่างเป็นทางการในวันพรุ่งนี้ แล้วจัดงานเลี้ยงขึ้นบ้านใหม่กันตอนเที่ยง เธออย่าลืมพาครอบครัวมากินเลี้ยงด้วยกันล่ะ”
หลินม่ายคิดอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะพยักหน้าเห็นด้วย แต่พูดเสริมว่า “จั๋วหรานอาจจะติดงานจนไม่ว่างมานะคะ”
เมื่อกลับมาถึงบ้าน หลินม่ายก็เริ่มทำอาหารเย็น
ฟางจั๋วเยวี่ยกลับมาที่วิลล่าหลังจากเลิกงานพอดี เขามีความสุขมากเมื่อเห็นเนื้อแกะผัดยี่หร่าและยำเนื้อวัวบนโต๊ะอาหารค่ำ
เขาปรี่เข้ามานั่งลงตรงโต๊ะอาหาร หยิบตะเกียบคีบยำเนื้อวัวเข้าปากสามชิ้น ก่อนจะพูดด้วยสีหน้าพึงพอใจ “เยี่ยมไปเลย พี่สะใภ้กลับมาทั้งที ผมจะได้กินอาหารฝีมือคุณทุกวันเช้าเย็น”
หลินม่ายชำเลืองมองเขาแวบหนึ่ง จากนั้นก็ไม่สนใจเขาอีก
เธอบอกทุกคนว่าเถาจืออวิ๋นจะจัดงานเลี้ยงขึ้นบ้านใหม่ในวันพรุ่งนี้ และได้เชิญให้ทั้งครอบครัวไปร่วมงานเลี้ยง
คุณปู่ฟางและคุณย่าฟางรับปากว่าจะไป
เป็นไปตามที่หลินม่ายคาดไว้ ฟางจั๋วหรานมีงานติดพันจนไม่ว่างไปร่วม
พอถึงวันอาทิตย์ หลินม่ายก็แวะไปที่บ้านเก่าของเถาจืออวิ๋นในเขตชุมชนโรงงานตัดเสื้อชุนเหล่ยหลังจากกินอาหารมื้ออาหารเช้าที่บ้านเสร็จ
พี่ชายและพี่สะใภ้ต่างก็มาช่วยเธอเก็บข้าวของเช่นกัน เพื่อที่จะได้ขนย้ายออกไปง่าย ๆ ในภายหลัง
เถาจืออวิ๋นต่อว่าหลินม่าย “ใช่ว่าฉันไม่มีกำลังคนพอจะย้ายบ้านซะหน่อย เธอมาที่นี่ทำไมกัน ไปเจอกันที่บ้านใหม่เพื่อกินอาหารกลางวันร่วมกันก็พอแล้ว”
หลินม่ายพูดยิ้ม ๆ “ฉันเบื่อจะอยู่บ้านเต็มทีแล้ว”
ในขณะที่กลุ่มคนกำลังยุ่งอยู่กับการเก็บข้าวของ หลิวหย่งเจียงก็ตามมาสมทบ
เถาจืออวิ๋นถึงกับก่ายหน้าผาก “คุณก็ด้วยเหรอ? สมาชิกในครอบครัวฉันมีกันตั้งหลายคน ของในบ้านก็ไม่ได้มีมากมายอะไรขนาดนั้น ไม่เห็นต้องแห่มาช่วยกันเยอะแยะเลย”
หลิวหย่งเจียงพูดกลั้วหัวเราะ “คนมาถึงที่นี่แล้ว คุณยังคิดจะไล่ผมไปอีกเหรอ? อีกอย่าง คุณเพิ่งจะปล่อยเช่าบ้านหลังนี้ให้ผมนี่นา คิดซะว่าผมมาที่นี่ล่วงหน้าเพื่อทำความคุ้นเคยกับสภาพแวดล้อมก็แล้วกัน”
เขาหยิบยกเหตุผลมาอ้างเก่งมาก ทำให้เถาจืออวิ๋นเถียงอะไรไม่ได้
หลินม่ายแอบชำเลืองมองเถาจืออวิ๋นกับหลิวหย่งเจียง อดรู้สึกไม่ได้ว่าพวกเขาทั้งสองค่อนข้างสนิทกันในระดับหนึ่ง
ของทุกอย่างถูกเก็บเรียบร้อยแล้ว ในขณะที่ทุกคนกำลังจะขนของออกมา หัวหน้าหลูก็เดินมาดักรอ
หัวหน้าหลูเฝ้าดูทุกการเคลื่อนไหวของเถาจืออวิ๋นมาโดยตลอด
เมื่อรู้ว่าโรงงานตัดเสื้อจิ่นซิ่วที่หล่อนทำงานอยู่มอบรางวัลให้เป็นอะพาร์ตเมนต์แบบสองห้องนอน เขาก็แทบจะน้ำลายไหลด้วยความอิจฉา
ความมุ่งมั่นของเขายิ่งแรงกล้า ไม่ว่าอย่างไรก็ต้องแต่งงานกับเถาจืออวิ๋นให้ได้
ตราบใดที่เขาและหล่อนแต่งงานกัน สภาพทางการเงินภายในครอบครัวก็จะดีขึ้น ไม่ต้องพูดถึงสภาพที่อยู่อาศัยที่สะดวกสบายขึ้นเช่นเดียวกัน
จากนั้นเขากับเถาจืออวิ๋นก็จะพาฉีฉี และลูกสาวสองคนของเขาไปอาศัยอยู่ในบ้านใหม่ที่มีสองห้องนอนหนึ่งห้องนั่งเล่น
ส่วนบ้านของเถาจืออวิ๋นและบ้านของเขาในเขตชุมชนโรงงานชุนเหล่ย ก็จะสงวนไว้ให้ลูกชายอีกสองคนและพ่อแม่ของเขาแทน
เขารู้ข่าวตั้งแต่สองวันก่อนแล้วว่าเถาจืออวิ๋นจะเก็บข้าวของย้ายบ้านในวันนี้
แต่เขาทำเพียงคอยดูลาดเลาอยู่เป็นเวลานาน เนื่องจากกลัวว่าตัวเองอาจเสนอหน้าเร็วเกินไป แล้วเถาจืออวิ๋นจะหาเหตุผลมาขับไล่เขาไปให้ได้ ถึงเวลานั้นคงน่าอายมากหากพยายามจะยัดเยียดตัวเอง
ดังนั้นเขาจึงจงใจเลือกเวลาที่เถาจืออวิ๋นและคนอื่น ๆ กำลังทำความสะอาด แล้วค่อยโผล่หน้าไปปรากฏตัว
เมื่อเห็นหัวหน้าหลู เถาจืออวิ๋นก็ขมวดคิ้วด้วยความขยะแขยง พูดอย่างไร้เยื่อใย “หัวหน้าหลู คุณยังต้องการอะไรจากฉันอีก?”
หัวหน้าหลูมองไปทางหลิวหย่งเจียงแวบหนึ่ง ก่อนจะแสดงท่าทางซื่อสัตย์จริงใจ “ผมได้ยินมาว่าวันนี้คุณจะย้ายบ้าน ก็เลยแวะมาช่วย”
พูดจบ เขาก็ไม่รอให้เถาจืออวิ๋นปริปาก อุ้มกล่องไม้ขึ้นมาแล้วเดินจากไป
บ้านใหม่ของเถาจืออวิ๋นมีครบทุกอย่าง ยกเว้นอุปกรณ์เครื่องครัว ชุดเครื่องนอน เสื้อผ้า รองเท้า และถุงเท้าสำหรับสองแม่ลูก
คราวนี้หล่อนจึงย้ายเฉพาะสิ่งของที่จำเป็นไปที่บ้านใหม่ ไม่ขนเฟอร์นิเจอร์ใด ๆ ไปด้วย มีแค่กล่องไม้กล่องเดียว
กล่องไม้กล่องนี้ทำจากไม้มะฮอกกานี และเถาจืออวิ๋นวางมันไว้หน้าประตูบ้าน เตรียมขนย้ายมันไปที่บ้านใหม่
แน่นอนว่ามันมีน้ำหนักมากที่สุดในบรรดาสิ่งของที่ต้องขนย้าย
เถาจืออวิ๋นไม่ต้องการเกี่ยวข้องกับหัวหน้าหลู จึงคิดจะห้ามปรามการกระทำของเขา แต่ก็ยังสายเกินไป จึงทำอะไรไม่ได้นอกจากยืนโกรธ
พี่สะใภ้ใหญ่เถาพูดอย่างเฉยเมย “ในเมื่อเขาอยากเป็นกรรมกรแบกหามนักก็ปล่อยเขาทำไปเถอะ รอให้เขาย้ายของลงไปข้างล่างแล้ว เราค่อยไปขอบคุณน้ำใจเขา เท่านี้ก็ไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกันอีก”
หลินม่ายไม่ได้มองโลกในแง่ดีเหมือนพี่สะใภ้ใหญ่เถา
หัวหน้าหลูคนนี้มีจุดประสงค์แอบแฝงอันแรงกล้า เขาหรือจะยอมเป็นกรรมกรแบกหามให้เถาจืออวิ๋นด้วยความเต็มใจ? ไม่ว่าจะคิดอย่างไรก็เป็นไปไม่ได้
เธอเพิ่งจะคิดแบบนั้นไปหยก ๆ ทันใดนั้นก็ได้ยินเสียงบางอย่างกลิ้งตกลงไปจากทางบันไดด้านนอก ตามด้วยเสียงกรีดร้องด้วยความเจ็บปวดของหัวหน้าหลู
…………………………………………………………………………………………………………………………
สารจากผู้แปล
ใครก็ได้เอาแมงดาตัวนี้ไปตำน้ำพริกทีค่ะ มาวอแวกับจืออวิ๋นอยู่ได้ไม่จบสิ้น
ไหหม่า(海馬)