แม่ปากร้ายยุค 80 - ตอนที่ 596 พี่สาวน้องสาวร่วมสายเลือดคู่หนึ่ง
ตอนที่ 596 พี่สาวน้องสาวร่วมสายเลือดคู่หนึ่ง
นักเรียนชั้นมัธยมปลายปีที่สามมีเรื่องเยอะอยู่สามอย่าง คือการบ้าน เยอะ การสอบเยอะ เรียนเสริมเองก็เยอะเช่นกัน ไม่มีวันหยุดเทศกาลเลยตลอดทั้งปี ไม่ได้ผ่อนเบาไปกว่าจับกังเลย
เพิ่งจะเริ่มเปิดภาคเรียนได้ไม่ถึงครึ่งเดือน ก็มีการจำลองการสอบจริงมาแล้วรอบหนึ่ง
ไป๋ซวงสอบผ่านอย่างยุ่งเหยิงวุ่นวายไปหมด
เวลาเลิกเรียนในตอนบ่าย เธอไม่อยากสนใจใครทั้งนั้น และเข็นจักรยานสำหรับผู้หญิงรุ่นใหม่ล่าสุดเดินออกมาจากโรงเรียนคนเดียวด้วยความห่อเหี่ยว
หล่อนไม่ชอบเรียนหนังสือ แต่จะให้คะแนนแย่เกินไปก็ไม่ได้
คุณปู่คุณย่า คุณตาคุณยาย ทั้งคุณพ่อคุณแม่ล้วนเป็นปัญญาชน พี่ชายพี่สาวต่างก็เป็นนักศึกษามหาวิทยาลัยทั้งนั้น
ถ้าในอนาคตหล่อนสอบไม่ติดแม้แต่ระดับอนุปริญญา ก็ไม่รู้ว่าพ่อแม่จะทอดทิ้งหรือเปล่า
ไป๋เซี่ยพี่ชายเพียงคนเดียวนั้นเกลียดชังหล่อนอย่างมาก ตั้งแต่ที่เขารู้ว่าหล่อนไม่มีความสัมพันธ์ทางสายเลือดกับพวกเขา ก็ไม่แม้แต่จะพูดคุยกับหล่อนด้วยซ้ำ
หากหล่อนสอบไม่ติดแม้แต่ระดับอนุปริญญา ทั้งยังไม่ใช่พี่น้องแท้ๆ อีก ต่อให้พ่อแม่จะไม่ทอดทิ้งหล่อน ก็คงไม่เห็นหล่อนเป็นลูกสาวหัวแก้วหัวแหวนเหมือนแต่ก่อนอีก
ไป๋ซวงถอนหายใจอย่างกลัดกลุ้มหนักใจ ขึ้นจักรยานแล้วขี่ไปที่บ้านด้วยจิตใจหนักอึ้ง
เพิ่งจะขี่มาถึงทางเลี้ยวหนึ่ง ก็มีใครบางคนวิ่งออกมาตัดหน้า ไป๋ซวงตอบสนองไม่ทัน จึงจับมือจับจักรยานได้ไม่มั่นคง หล่อนกรีดร้องก่อนจะล้มลงกับพื้นพร้อมจักรยาน
การล้มครั้งนี้รุนแรงมาก จนแทบจะทำให้ลอยกระเด็นออกมาเลยทีเดียว
ไป๋ซวงถูกเลี้ยงแบบตามใจมาตั้งแต่เด็ก จึงมีนิสัยเย่อหยิ่งเอาแต่ใจ
เพียงแต่หล่อนค้นพบตั้งแต่ยังเด็ก ว่าการตะโกนร้องเอะอะนั้นไม่เป็นที่ยอมรับในตระกูลไป๋
ทุกคนทั้งเด็กแก่ในตระกูลไป๋นั้นล้วนชอบเด็กหญิงผู้สงบเสงี่ยมมารยาทดี ดังนั้นต่อหน้าคนตระกูลไป๋และญาติพี่น้องสกุลไป๋ หล่อนจะแสดงบุคลิกเป็นเด็กสาวที่สง่างามและอ่อนปวกเปียกอยู่ตลอด
แต่ต่อหน้าคนแปลกหน้าแล้ว หล่อนกลับมีบุคลิกหัวร้อนฉุนเฉียวง่าย
ตัวหล่อนเองยังไม่ทันลุกขึ้นมาจากพื้น ก็ด่าสาดเสียเทเสียใส่คนร้ายที่ทำให้หล่อนหกล้ม และยังให้หล่อนชดใช้ค่าจักรยานของตนด้วย ไม่อย่างนั้นจะให้หล่อนได้เห็นดีกัน
ผู้ร้ายที่ทำให้ไป๋ซวงล้มนั้นก็คือหลินเพ่ยนั่นเอง หล่อนมองไป๋ซวงที่พ่นคำพูดหยาบคายต่างๆ นานาออกมาเป็นชุดอย่างเยาะเย้ย ในใจนึกดูถูกอย่างถึงที่สุด
นี่มันคุณหนูบ้านรวยที่โตมาในครอบครัวข้าราชการระดับสูงงั้นเหรอ? อย่างกับหญิงปากร้ายขี้โวยวายไม่มีผิด
ในตอนที่ไป๋ซวงชี้หน้าหล่อนและจะให้ชดใช้จักรยานที่ล้มจนพังไปนั้น หลินเพ่ยก็ตบหน้าไป๋ซวงเพียะหนึ่งด้วยความเหลืออด
พลันพูดอย่างโมโห “เธอมันก็แค่ของปลอมที่ทำตัวเป็นกาเหว่าในรังนกกา ยังคิดว่าตัวเองเป็นคุณหนูลูกเศรษฐีจริงๆ งั้นเหรอ? ถึงกับมาผยองอวดดีต่อหน้าฉันแบบนี้ ฉันจะตบหน้าตาทุเรศๆ นั่นของเธอให้ยับเลย!”
ในใจไป๋ซวงทั้งกลัวทั้งโกรธ
ที่กลัวคือ หญิงสาวตรงหน้าผู้นี้ดูเหมือนจะรู้ชาติกำเนิดของหล่อน
ส่วนที่โกรธคือ นังสารเลวนี่กล้าบอกว่าตนหน้าตาทุเรศ
คนที่หน้าตาดาดๆ น่ะมันหล่อนมากกว่า
ตราบใดที่มีใครบอกว่าตนหน้าตาขี้เหร่ หล่อนก็จะรู้สึกเหมือนกำลังถูกตบหน้าทันที
นังสารเลวนี่รนหาที่ตายนักรึไง!
แววตาของไป๋ซวงกลายเป็นมืดทะมึน มองพินิจหลินเพ่ยตั้งแต่หัวจรดเท้า แล้วถามเสียงต่ำ “เธอเป็นใคร?”
หลินเพ่ยหัวเราะเบาๆ สองสามคำ ก่อนเอื้อมมือมาเชยคางของหล่อน “นี่เธอแกล้งโง่ หรือว่าโง่จริงๆ กันแน่ ดูไม่ออกเหรอว่าพวกเราสองคนหน้าตาคล้ายกันมาก ยังจะมาถามว่าฉันเป็นใครอีก?”
ขณะที่ไป๋ซวงเห็นหลินเพ่ยเป็นครั้งแรก ก็รู้สึกว่าหล่อนหน้าตาคุ้นๆ แต่ก็นึกไม่ออกว่าตนเคยเห็นหล่อนที่ไหนมาก่อน
เมื่อได้ยินคำพูดของหลินเพ่ย หล่อนก็สะดุ้งได้สติขึ้นมาในฉับพลัน ผู้หญิงตรงหน้าคนนี้…หน้าตาคล้ายกับหล่อนมากจริงๆ
หรือว่าผู้หญิงคนนี้จะเป็นญาติที่แท้จริงของตนกัน?
เมื่อนึกถึงความเป็นไปได้นี้แล้ว ในใจของไป๋ซวงก็รู้สึกตื่นตระหนกขึ้นมา
หล่อนพลันสะบัดหัวเล็กน้อย สลัดมือที่เชยคางอยู่ของหลินเพ่ยทิ้ง แล้วมองหล่อนอย่างหวาดระแวง
หลินเพ่ยหัวเราะเสียงเย็น “ตอนนี้คงจะรู้แล้วสินะว่าฉันเป็นใคร”
ไป๋ซวงปิดปากแน่นไม่ยอมพูด
หลินเพ่ยเอื้อมไปเชิดคางของหล่อนขึ้นอีกครั้ง “ฉันเป็นพี่สาวของเธอ!”
ไป๋ซวงปัดมือของหล่อนทิ้งอย่างขยะแขยงเต็มทน พูดอย่างเย็นชา “อย่ามาแตะฉัน!”
หลินเพ่ยที่ชั่วขณะก่อนหน้านี้ยังยิ้มแย้มราวกับดอกไม้ พลันเผยโฉมหน้าอันดุร้าย แล้วตบหน้าไป๋ซวงอีกหลายครั้งด้วยหลังมือ “แกกล้าดียังไง ถึงกล้ามาทำตัวหยาบช้ากับพี่สาวแท้ๆ ของแก!”
ไป๋ซวงกุมใบหน้าครึ่งหนึ่งที่ถูกตบ แล้วพูดอย่างเจ็บปวด “เธอไม่ใช่พี่สาวของฉันเสียหน่อย พี่สาวของฉันคือไป๋เหยียนกับไป๋ลู่ เป็นบ้าอะไรของเธอ อยากเป็นพี่สาวของฉันด้วยหรือไง? น้ำหน้าอย่างเธอมันไม่คู่ควรหรอก!”
แม้จะเติบโตมาในสภาพแวดล้อมที่ดีตั้งแต่เด็ก แต่แก่นรากความหยาบคายของตระกูลหลินนั้นแข็งแกร่งเกินไปจริงๆ
หล่อนเรียนรู้จนช่ำชองด้วยตนเอง ด่าทอคนอื่นได้เป็นชุดๆ
หลินเพ่ยถูกไป๋ซวงด่าจนโมโหขึ้นมา จึงตบหน้าหล่อนไปอีกหลายครั้ง ตบตีจนหล่อนล้มลงกับพื้นก็ยังเตะซ้ำอีกหนึ่งที
“เป็นแค่ตัวปลอมยังกล้าด่าฉัน! คอยดูเถอะฉันจะเอาชาติกำเนิดของเธอไปบอกพ่อแม่บุญธรรมของเธอ ว่าเธอถูกแม่แท้ๆ ของเราสับเปลี่ยนตัวด้วยเจตนาร้าย เธอว่า…พ่อแม่บุญธรรมของเธอจะทำยังไงกับเธอกันล่ะ?”
เมืองเจียงเฉิงในเดือนสามตามปฏิทินสากล ใบหญ้าอ่อนต่างก็แตกหน่อออกมาแล้ว ต้นหลิวเองก็ผลิใบอ่อนแล้วเช่นกัน
แต่ที่เมืองหลวงยังคงหนาวเหน็บ อุณหภูมิยังติดลบอยู่เป็นครั้งคราว
ในสภาพอากาศหนาวเย็นที่เมื่อเอ่ยคำพูดก็ยังมีกลุ่มควันขาวลอยพ่นออกมานั้น ไป๋ซวงกลับผุดเหงื่อเย็นออกมาทั่วร่าง ทำให้ชุดฤดูใบไม้ผลิข้างในเปียกชุ่มไปหมด
หล่อนคิดมาตลอดว่าตนกลายมาเป็นลูกสาวของตระกูลไป๋ด้วยความผิดพลาดโดยไม่ตั้งใจของโรงพยาบาล แต่กลับไม่คิดเลยแม้แต่น้อยว่า ตนเองจะถูกแม่แท้ๆ สลับตัวมาอยู่ตระกูลไป๋ด้วยเจตนาร้าย
หากเป็นความผิดพลาดของโรงพยาบาล พ่อไป๋แม่ไป๋ก็คงไม่โกรธเคืองเธอ
แต่หากเป็นเพราะเจตนาร้าย พ่อไป๋แม่ไป๋ย่อมโกรธหล่อนเป็นแน่
แม้ว่าหล่อนจะไม่มีความผิด แต่ใครจะรับประกันได้ล่ะว่าเปลวเพลิงแห่งความแค้นเคืองนั้นจะไม่ลามมาถึงตัวหล่อน
ไป๋ซวงหายใจเข้าออกลึกๆ อยู่หลายครั้ง
คิดในใจว่าตนจะถูกนังสารเลวนี่ข่มขู่บังคับไม่ได้เด็ดขาด ไม่อย่างนั้นต่อไปคงต้องถูกหล่อนควบคุมแน่
หล่อนลุกขึ้นมาจากพื้นอย่างเชื่องช้า เช็ดเลือดที่มุมปากออก แล้วพูดกวนประสาทกลับ “ถ้าเธออยากจะไปบอกกับพ่อแม่ฉันนัก งั้นก็รีบไปบอกเสียสิ ชาติกำเนิดของฉันน่ะทั้งพ่อแม่ของฉัน คุณปู่คุณย่ากับคุณตาคุณยาย อีกทั้งพี่สาวพี่ชายของฉันต่างก็รู้กันหมดแล้ว พวกเขาไม่เพียงไม่สนใจ แต่ยังรู้สึกสงสารฉันที่เป็นเด็กที่ถูกแม่แท้ๆ ทอดทิ้ง และโอ๋ฉันยิ่งกว่าเมื่อก่อนเสียอีก ถ้าเธอไม่เชื่อ ก็ไปสืบถามจากเพื่อนบ้านของเราดูเอาเอง”
หลินเพ่ยตะลึงงันไปชั่วขณะ
หล่อนไม่นึกมาก่อนเลย ว่าพ่อแม่บุญธรรมของไป๋ซวงจะรู้ชาติกำเนิดของหล่อนอยู่แล้ว
ทว่าหล่อนยังเคลือบแคลงในคำพูดของไป๋ซวงอยู่เล็กน้อย
ใครจะไปใจกว้างขนาดนั้น รู้ทั้งรู้ว่าลูกตัวเองถูกคนอื่นเปลี่ยนตัวไปด้วยเจตนาร้าย ยังรักทะนุถนอมลูกสาวของศัตรูได้มากขึ้นอีก!
ไม่ต้องไปพูดถึงใครที่ไหนไกล พูดถึงซุนกุ้ยเซียงแม่ของหล่อนนี่แหละ
หลินม่ายนังสารเลวนั้นเป็นคนที่ถูกหล่อนสับเปลี่ยนตัวมา ว่าตามหลักการแล้ว หากรู้สึกผิดต่อหลินม่าย ก็ควรปฏิบัติต่อหล่อนอย่างดีสิ
แต่ซุนกุ้ยเซียงกลับใจดำอำมหิต ปฏิบัติราวกับหลินม่ายเป็นศัตรูมาสิบชาติก็ไม่ปาน
ในชาติที่แล้วหล่อนบีบคั้นหลินม่ายไปสู่ความตายเชียวนะ
ต่อมา เมื่อความสัมพันธ์ส่วนตัวของหล่อนกับอู๋เสี่ยวเจี๋ยนถูกเปิดเผย นังสารเลวนั่นก็โอนย้ายทรัพย์สินไปด้วยความโกรธแค้น แต่ถูกหล่อนกับอู๋เสี่ยวเจี๋ยนตามราวีจนถึงที่สุด และสร้างสถานการณ์ให้หล่อนประสบอุบัติเหตุทางรถยนต์เสียชีวิต
แต่นังสารเลวนั่นก็ไม่ได้ตายคาที่ กลับยังมีโอกาสรอดอยู่อีกน้อยนิด
ตอนที่ผู้ช่วยนังสารเลวนั่นต้องการจะเอาเงินมาช่วยชีวิตหล่อน ซุนกุ้ยเซียงนั่นเองที่ให้ตายก็ไม่ยอมให้แม้แต่เศษเงินเพื่อไปช่วยชีวิตนังสารเลวนั่น นังนั่นถึงได้ลงยมโลกไป
ซุนกุ้ยเซียงทำเรื่องที่ผิดต่อหลินม่ายลงไป ก็ยังสามารถตัดเส้นทางการมีชีวิตหล่อนได้ลง
นับประสาอะไรกับไป๋ซวงนังสารเลวนี่ที่เป็นเด็กที่ซุนกุ้ยเซียงสับเปลี่ยนตัวด้วยเจตนาร้ายไปให้ตระกูลไป๋ ตระกูลไป๋จะทำดีกับหล่อนได้เหรอ?
คำโกหกที่ดูไม่น่าเชื่อถือขนาดนี้ใครจะไปเชื่อ?
หลินเพ่ยยิ้มเย็นชา “งั้นเหรอ? งั้นฉันจะไปบอกความจริงกับพ่อแม่บุญธรรมของเธอเดี๋ยวนี้ และจะบอกพวกเขาด้วย ว่าลูกสาวแท้ๆ ของพวกเขาตกระกำลำบากอยู่ที่บ้านของพวกเรายังไง”
พูดจบ หล่อนก็หมุนตัวเดินไปทันที
ไป๋ซวงตะลึงไปชั่วขณะ ก่อนพูดขึ้นไล่หลังหล่อน “เธอคิดจะทำอะไรกันแน่?”
หลินเพ่ยยิ้มอย่างลำพองใจ หมุนตัวกลับมามองไป๋ซวง “ก็ไม่ได้คิดจะทำอะไรนะ ฉันแค่อยากจะทำความรู้จักกับพวกเขาแทนที่ลูกสาวคนเล็กตัวจริงของตระกูลไป๋เท่านั้นเอง”
ไป๋ซวงพูดตะกุกตะกัก “ถ้าเธอ…เธอทำความรู้จักกับพ่อแม่ของฉันแทนที่ลูกสาวคนเล็กตัวจริงของตระกูลไป๋ แล้วฉัน…ฉัน…ฉันจะทำยังไงล่ะ?”
“โง่เง่า!” หลินเพ่ยตบหน้าของหล่อน “พอฉันเข้าไปในตระกูลไป๋แล้วก็ต้องช่วยเธออยู่แล้ว ไม่ปล่อยให้พ่อแม่บุญธรรมของเธอไล่เธอออกจากบ้านหรอกน่า ถ้าให้น้องสาวคนเล็กที่แท้จริงของตระกูลไป๋ได้รู้จักกับตระกูลไป๋แล้วล่ะก็ เธอคิดว่าเธอจะมีที่ยืนอยู่ในตระกูลไป๋อีกหรือไง? หรือต่อให้พ่อแม่บุญธรรมของเธอยังอยากจะเก็บเธอไว้ ลูกสาวคนเล็กของพวกเขาก็ยอมรับเธอไม่ได้หรอกน่า!”
ไป๋ซวงกัดริมฝีปาก “ฉันจะเชื่อได้ยังไงว่าเธอจะไม่เฉดฉันออกจากบ้าน?”
หลินเพ่ยหัวเราะเบาๆ “เรื่องการเป็นตัวปลอม ความลับใหญ่หลวงขนาดนี้อยู่ในมือของเธอ เธอคิดว่าฉันจะจัดการเธอหรือไง? ฉันกับเธอ มีแต่ต้องลงเรือลำเดียวกันเท่านั้น”
ไป๋ซวงโบกมือไปมา แล้วพูดขึ้น “ต่อให้ฉันเชื่อเธอ เธอก็ไม่มีทางสวมรอยเป็นลูกสาวคนเล็กของตระกูลไป๋ได้อยู่ดี”
หลินเพ่ยถาม “ทำไมล่ะ?”
“เพราะว่า พี่สาวทั้งสองคนของฉันรู้จักลูกสาวคนเล็กแท้ๆ ของพ่อแม่ฉัน ถ้าเธอสวมรอยเข้าไป ก็จะถูกเปิดเผยทันที”
หลินเพ่ยค่อนข้างตกตะลึงอย่างลับๆ “เธอหลอกฉันล่ะสิ?”
“ฉันหลอกเธอ?” ไป๋ซวงแค่นหัวเราะเย็นชา “ลูกสาวคนเล็กแท้ๆ ของพ่อแม่ฉันอยู่ที่บ้านของพวกเธอชื่อว่าหลินม่ายใช่ไหมล่ะ?”
หล่อนหัวเราะเยาะเย้ย แล้วเล่าเรื่องที่ไป๋ลู่รู้จักหลินม่ายได้อย่างไร และตระกูลไป๋ตามหาหลินม่ายอย่างไรให้หลินเพ่ยฟังอย่างไม่ขาดตกบกพร่อง
ทว่าก็ปิดบังเรื่องที่ตระกูลไป๋พบว่าหล่อนไม่ใช่ลูกแท้ๆ ของตระกูลไป๋ได้อย่างไรเอาไว้เรื่องหนึ่ง
ไป๋ซวงรู้สึกได้ลางๆ ว่าหากปิดบังเรื่องนี้เอาไว้ จะต้องเป็นประโยชน์ต่อหล่อนในอนาคตแน่นอน
แม้ว่าหลินเพ่ยจะไม่ได้พูดอะไร แต่ภายในใจนั้นกำลังตกตะลึง
ที่แท้ตระกูลไป๋รู้ชาติกำเนิดของไป๋ซวงแล้วจริงๆ ไม่นึกว่าจะยังสามารถดีต่อหล่อนได้ขนาดนี้ ช่างเป็นแม่พระกันทั้งตระกูลเสียจริง!
………………………………………………………………………………………………………………………
สารจากผู้แปล
พี่น้องคู่นี้ร่วมมือกันแล้วจะรอดเหรอ ดูท่าจะหยุมกันกลางทางก่อนน่ะสิ
ไหหม่า(海馬)