แม่ปากร้ายยุค 80 - ตอนที่ 600 ความวุ่นวายที่สนามสอบ
ตอนที่ 600 ความวุ่นวายที่สนามสอบ
สนามสอบที่หลินม่ายสอบนั้นห่างไกลมากจากโรงเรียนมัธยมปลายที่พวกเธอเรียน เพื่อนนักเรียนในห้องสอบเดียวกันของเธอจึงแทบกลับไปกินอาหารกลางวันที่บ้านไม่ได้เลย
เพื่อนนักเรียนจึงวางแผนว่าจะซื้ออะไรสักอย่างที่ร้านกินเล่นประทังหิวไปก่อนสักมื้อ
สภาพสุขอนามัยของร้านกินเล่นนั้นน่าเป็นกังวล หากกินแล้วท้องเสียจนกระทบต่อการสอบ อย่างนั้นคงแย่แน่
หลินม่ายจึงขอให้พวกเพื่อนๆ รอสักเดี๋ยว แล้วเธอก็ไปโทรศัพท์ที่ตู้โทรศัพท์สาธารณะ
ไม่นานนัก ก็มีพนักงานที่สวมยูนิฟอร์มของร้านเปาห่าวชือมาส่งของนึ่งต่างๆ เช่น ซาลาเปาร้อนๆ เกี๊ยว และขนมจีบ
ทั้งยังมีซอสพริกและซุปขนมหวานอีกหลายอย่าง ให้เพื่อนนักเรียนในห้องสอบเดียวกันกับเธอกินกัน
ที่เธอเตรียมซอสพริกมาด้วยนั้น ก็เพราะว่าอากาศร้อนเกินไป หลินม่ายกลัวว่าเพื่อนนักเรียนบางคนจะไม่อยากอาหาร หากกินซาลาเปาเกี๊ยวแล้วจิ้มกับน้ำพริกสักหน่อย ก็จะเจริญอาหารขึ้นได้
พวกเพื่อนๆ ต่างหยิบของนึ่งที่ตัวเองชอบกินใส่ในจาน บ้างก็นั่งยองๆ บ้างก็ยืนกินกัน
เพื่อนนักเรียนที่ชอบกินซอสพริกล้วนชมว่าซอสพริกของร้านหลินม่ายอร่อยมาก เพียงแต่พอถึงหน้าร้อนแล้วคงซื้อทีละมากๆ ไม่ได้
หลินม่ายถามอย่างประหลาดใจ “ทำไมถึงซื้อเยอะๆ ในหน้าร้อนไม่ได้เหรอ?”
เพื่อนนักเรียนคนหนึ่งเอาเกี๊ยวจิ้วซอสพริกไปพลาง พูดไปพลาง “อากาศร้อนเกินไป ถ้าซื้อมาเยอะเกิน กินไม่หมดก็จะเสียเอาได้น่ะ คราวก่อนแม่ฉันไปซื้อซอสพริกแค่ครึ่งถ้วยเล็กที่ตลาดสดของเธอ ข้ามคืนไปก็เสียแล้ว”
หลินม่ายพูด “นั่นเพราะพวกเธอไม่ปิดผนึกให้แน่น ทุกครั้งที่กินซอสพริกแล้ว จะต้องปิดฝาให้แน่น แล้วตอนกินก็ต้องใช้ช้อนที่สะอาดตักซอสพริกนะ ห้ามใช้ช้อนหรือตะเกียบที่ใช้กินไปแล้วตักซอสพริก แบบนั้นจะทำให้เชื้อแบคทีเรียเข้าไปได้ง่ายมาก ซอสพริกก็จะเสียง่าย”
ที่จริงแล้วถ้ามีตู้เย็น แล้วเอาไปแช่ในตู้เย็นก็ไม่เป็นอะไรแล้ว ติดที่ในยุคนี้ตู้เย็นยังไม่แพร่หลายเลยน่ะสิ
เพื่อนนักเรียนคนหนึ่งพูดขึ้น “ไม่ใช่ว่าพวกเราไม่ปิดให้แน่นนะ ตอนที่เราซื้อมาก็เป็นแบบแบ่งขายแล้ว ปิดผนึกไม่ได้เลยน่ะ”
ซอสพริกกับผักดองต่างๆ นั้นถูกวางขายมาเป็นเวลากว่าครึ่งปีแล้ว เพราะรสชาติอร่อย จึงค่อยๆ มีเสียงวิจารณ์ในทางที่ดีเพิ่มขึ้น มา ยอดขายในตลาดสดทั้งสองแห่งต่างก็ไม่เลว
แต่ในระยะนี้หลินม่ายกลับยังไม่มีแผนที่จะปรับเปลี่ยนโรงทำซอสพริกเป็นโรงงานเลย
ตอนนี้เพิ่งจะปี 1983 ถึงแม้ว่าประชาชนทั่วไปจะมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นบ้างแล้ว แต่ก็ยังยากจนอยู่
ยิ่งเป็นยุคที่ยากจน แม่บ้านในครอบครัวก็ยิ่งมีความสามารถ 80% ของแม่บ้านต่างก็ดองผักดองเป็น ทำซอสพริกเป็นทั้งนั้น
แม้ว่าผักดองที่พวกหล่อนดองและซอสพริกที่ทำจะไม่ได้อร่อยเท่ากับของที่โจวฉายอวิ๋นทำออกมา แต่เพื่อประหยัดเงิน แม่บ้านในครอบครัวส่วนมากจึงไม่ซื้อผักดองกับซอสพริก
และด้วยเรื่องนี้เองจึงเป็นเหตุผลที่แม้ซอสพริกและผักดองของโจวฉายวิ๋นจะมีเสียงตอบรับที่ไม่เลว แต่ยอดขายกลับไม่ได้น่าทึ่งนัก ฉะนั้นหลินม่ายจึงไม่กล้าตั้งโรงงานง่ายๆ
แต่เมื่อได้ฟังคำพูดของเพื่อนนักเรียนสองสามคนแล้ว เธอก็เริ่มใจกระตุกขึ้นมา
ในเมื่อคนที่ชอบซอสพริกของร้านพวกเธอมีมากขนาดนี้ หากเปิดโรงงาน ทำให้ซอสพริกมีบรรจุภัณฑ์เป็นที่เป็นทาง มันก็คงไม่เสียง่ายๆ แล้ว ยอดขายจะดีขึ้นสักหน่อยไหมนะ?
แม้ว่าแม่บ้านที่ทำซอสพริก ดองผักดองเป็นจะมีไม่น้อย แต่ก็เป็นเหล่าแม่บ้านที่อายุสามสิบกว่าปีขึ้นไปแล้ว
คนที่อายุต่ำกว่าสามสิบปีลงไป ก็มีคนที่ดองผักดองทำซอสพริกเป็นไม่มากนัก
ผู้หญิงประเภทนี้เป็นผู้หญิงยุคใหม่ ซึ่งผู้หญิงยุคใหม่นั้นเป็นประเภทที่ไม่ใส่ใจจะเรียนรู้สิ่งเหล่านี้
หากตั้งเป้าหมายที่กลุ่มผู้บริโภคประเภทนี้ ซอสพริกก็มีตลาดแล้ว
ส่วนผักดองนั้น คอยดูไปอีกสักช่วงหนึ่งแล้วค่อยว่ากัน
เมื่อกินมื้อเที่ยงง่ายๆ เสร็จแล้ว เหล่าเพื่อนนักเรียนจึงจับกลุ่มหาที่ร่มๆ ปูหนังสือพิมพ์ที่พื้นและนั่งพักผ่อนกัน
นักเรียนในยุคนี้ต่างก็ลำบากทุกข์ยากมาก
ทว่าในตอนเที่ยงหลินม่ายกลับอยู่อย่างสุขสบายยิ่ง เพราะฟางจั๋วหรานได้จองห้องที่โรงแรมใกล้ๆ เอาไว้ให้เธอแล้ว
ในตอนเที่ยงเธอไม่เพียงได้นอนหลับอย่างสบายเต็มอิ่มเท่านั้น ยังมีฟางจั๋วหรานที่นวดให้เธออีกด้วย สบายจนแทบขึ้นสวรรค์เลยจริงๆ
ช่วงบ่ายสอบวิชาคณิตศาสตร์ เมื่อได้กระดาษข้อสอบ หลินม่ายก็ไม่ได้รู้สึกประหลาดใจนัก นอกเสียจากกระดาษข้อสอบแบบที่เป็นข้อสอบปรนัย
ปกติแล้วกระดาษข้อสอบวิชาคณิตศาสตร์จะไม่มีข้อสอบปรนัย
แต่เรื่องนี้ไม่ได้มีผลกระทบกับเธอ แค่ทำอย่างจริงจังก็เสร็จแล้ว
แม้ข้อสอบปรนัยจะไม่ถือว่าง่าย แต่ก็ไม่ได้ยากเช่นกัน
หลินม่ายทำเสร็จอย่างรวดเร็ว นอกจากนี้ยังตรวจสอบอย่างละเอียดแล้วสองครั้ง จากนั้นจึงส่งกระดาษข้อสอบล่วงหน้า 20 นาทีแล้วออกไป
หากไม่ใช่เพราะมีกฎว่าสามารถส่งกระดาษข้อสอบได้ล่วงหน้าเพียงครึ่งชั่วโมงเท่านั้น หลินม่ายก็คงส่งไปนานแล้ว
ในขณะที่เธอถืออุปกรณ์เครื่องเขียนและกระดาษทดในมือออกจากโรงเรียน ที่ประตูโรงเรียนนั้นไม่มีใครเลยแม้แต่คนเดียว นอกจากรปภ.ของโรงเรียน
อากาศร้อนเกินไปแล้ว ร้อนจนแม้แต่จักจั่นก็ยังขี้เกียจส่งเสียงร้อง
ดวงอาทิตย์อันร้อนแรงสาดแสงเสียจนดวงตาลืมไม่ขึ้น
นักข่าวที่รับผิดชอบสัมภาษณ์การสอบเอนทรานซ์พวกนั้นคิดว่าเร็วขนาดนี้ไม่มีทางที่จะมีคนส่งกระดาษข้อสอบแน่ จึงไปพักร้อนกันหมด วางแผนว่าค่อยโผล่มาก่อนการสอบจะเสร็จสิ้นสักสองสามนาที
หลินม่ายนั้นกำลังไม่อยากให้สัมภาษณ์นักข่าวอยู่พอดี พวกเขาหลบไปได้ก็ตรงใจเธอทีเดียว
เธอเพิ่งจะเดินออกมาจากประตูโรงเรียน ฟางจั๋วหรานก็เดินออกจากซอกมุมไหนก็ไม่รู้
มือข้างหนึ่งถือร่มคันใหญ่เอาไว้ อีกข้างหนึ่งถือพัดใบปาล์มและไอศกรีมแท่งหนึ่ง
เขายื่นไอศกรีมให้หลินม่าย จากนั้นก็พัดวีให้เธอ
หลินม่ายรู้สึกว่า นับวันเขาก็ยิ่งเหมือนคุณพ่อแก่ๆ ขึ้นเรื่อยๆ แล้ว
ฟางจั๋วหรานถาม “ทำไมถึงออกมาเร็วขนาดนี้ล่ะ?”
“มันง่ายน่ะ” หลินม่ายพูดอย่างภูมิใจ
วันถัดมาไปที่สนามสอบในตอนเช้า พวกเพื่อนนักเรียนแต่ละคนต่างก็มีท่าทางซังกะตาย
หลินม่ายจึงถามขึ้นอย่างประหลาดใจ “พวกเธอเป็นอะไรไปน่ะ?”
เพื่อนนักเรียนคนหนึ่งพูดด้วยท่าทางเซื่องซึม “วิชาคณิตศาสตร์เมื่อวานยากแทบล้มประดาตาย เธอเองก็ทำไม่ได้เหมือนกันใช่ไหม? ฉันเห็นไม่ทันไรเธอก็ส่งกระดาษข้อสอบแล้ว”
หลินม่ายไม่กล้าพูดอะไรไปชั่วขณะ ความยากของข้อสอบวิชาคณิตเมื่อวาน สำหรับเธอแล้วก็แค่กลางๆ เท่านั้นเอง
แต่ถ้าเธอพูดตามความจริง จะถูกรุมทึ้งหรือเปล่า?
เพื่อนนักเรียนอีกคนหนึ่งให้กำลังใจทุกคน “สอบก็สอบผ่านไปแล้ว ไม่ต้องไปคิดถึงมันแล้วล่ะ พวกเธอยังไม่เห็นหนังสือพิมพ์ของวันนี้สินะ วิชาคณิตศาสตร์ปีนี้เป็นสมัยที่กลับมายากที่สุดในการสอบเกาเข่าอีกครั้ง พวกเราสอบได้ไม่ดี คนอื่นๆ เองก็ไม่ได้ดีไปกว่าเราเท่าไหร่หรอก ไม่ต้องกลัวนะ พวกเรากับผู้เข้าสอบคนอื่นยังอยู่ในระดับเดียวกันอยู่”
หลินม่ายฟังพวกเพื่อนๆ วิพากษ์วิจารณ์ข้อสอบวิชาคณิตศาสตร์เมื่อวานกันอื้ออึง ก็จำขึ้นมาได้ในฉับพลัน ว่าในปี 1983 การสอบวิชาคณิตศาสตร์นั้นยากเกินไป จนมีบันทึกสถิติคะแนนเฉลี่ยต่ำกว่า 50 คะแนน และในทุกมณฑลก็มีนักเรียนน้อยมากเพียงไม่กี่คนเท่านั้นที่ได้คะแนนเกิน 100 คะแนน
หลินม่ายแอบดีใจอยู่ในใจอย่างลับๆ ตัวเองสอบวิชาคณิตศาสตร์ได้ดีขนาดนี้ ก็คงมีที่นั่งมั่นคงในมหาวิทยาลัยปักกิ่งหรือมหาวิทยาลัยชิงหวาแล้วล่ะ
แม้ในใจจะปิติยินดี แต่เธอก็ไม่สามารถแสดงสีหน้าออกมาได้แม้แต่นิดเดียว ด้วยกลัวว่าจะไปซ้ำเติมบาดแผลของเพื่อนนักเรียนเข้า
ในที่สุดสามวันแห่งการสอบก็สิ้นสุดลงอย่างรวดเร็ว
ข้อสอบวิชาสุดท้ายคือวิชาภาษาอังกฤษ สำหรับหลินม่ายแล้ว แค่มีมือก็สามารถสอบผ่านได้แล้ว
เธอทำข้อสอบเสร็จด้วยความรวดเร็ว ทั้งตรวจทานอีกสองครั้ง แต่เวลาเพิ่งจะผ่านไปครึ่งหนึ่งเท่านั้นเอง
เร็วขนาดนี้ก็ส่งข้อสอบไม่ได้อีกต่างหาก เธอจึงควงปากกาเล่นอย่างไม่มีอะไรทำ
ทุกๆ ห้องสอบมีอาจารย์คุมสอบประจำห้องสองคน ห้องสอบของหลินม่ายเองก็ไม่ต่างกัน คนหนึ่งเป็นอาจารย์ผู้ชาย อีกคนเป็นอาจารย์ผู้หญิง
อาจารย์คุมสอบชายคนนั้นเห็นหลินม่ายกำลังเล่น ก็นึกว่าเธอเป็นเด็กเรียนแย่ ทำข้อสอบภาษาอังกฤษไม่ได้
แต่ถึงจะทำไม่ได้ก็ต้องเติมให้ครบทุกข้อสิ ไม่แน่ว่าอาจจะได้สักสองสามคะแนนก็ได้
อาจารย์คุมสอบชายเดินเข้ามา คิดจะเตือนสติหลินม่าย ให้เห็นคุณค่าของการสอบเกาเข่าและตั้งใจทำข้อสอบ
ผลสุดท้ายก็ได้เห็นว่าเจ้าหล่อนทำข้อสอบเสร็จหมดแล้ว
คำพูดที่อาจารย์คุมสอบคนนั้นจะพูดก็ถูกกลืนลงไปจนหมด ก่อนจะเดินผ่านข้างกายเธอไปอย่างเงียบๆ
ในเวลานั้นเอง ก้อนกระดาษขยำเล็กๆ ก้อนหนึ่งก็กระทบกับศีรษะของหลินม่าย และตกลงบนโต๊ะของเธอ
อาจารย์คุมสอบหญิงหน้าเหวี่ยงที่อายุประมาณ 30 ปีตรงแท่นเวทีหน้าห้องมีสายตาฉับไวรวดเร็วราวกับลูกธนู ตวัดมองหลินม่ายในพริบตา
ในขณะที่หลินม่ายไม่ทันตอบสนอง หล่อนก็หยิบก้อนกระดาษก้อนนั้นขึ้น
อาจารย์คุมสอบหญิงเปิดกระดาษแผ่นนั้นออกอ่านเล็กน้อย แล้วจึงเก็บไว้
หล่อนเอื้อมมือเก็บกระดาษข้อสอบของหลินม่าย “เธอต้องสงสัยว่าทุจริตข้อสอบ ในการสอบวิชานี้จะนับเป็นศูนย์คะแนน”
หลินม่ายโมโหขึ้นมาทันใด พลันปัดมืออาจารย์คุมสอบหญิงที่หยิบกระดาษข้อสอบของเธอออกอย่างแรง แล้วตบโต๊ะยืนขึ้น “คุณบอกว่าฉันโกงข้อสอบก็หมายความว่าฉันโกงข้อสอบเหรอ ไหนล่ะหลักฐาน?”
อาจารย์คุมสอบคนนั้นคงไม่ได้คาดคิดว่าหลินม่ายจะดุดันขนาดนี้ ไม่เกรงกลัวใครแม้แต่น้อย
ถ้าเป็นสถานการณ์ปกติ ผู้เข้าสอบเจอกับปัญหาแบบนี้จะต้องตกใจกลัวจนเซ่อซ่าหรือร้องไห้ไปเลยไม่ใช่หรือไง?
แต่เธอกลับท้าทายหล่อนเสียนี่!
สีหน้าของอาจารย์คุมสอบหญิงดำทะมึนลงทันใด หล่อนเขย่าก้อนกระดาษในมือนั่นไปมา “นี่ไม่ใช่หลักฐานหรือยังไง?”
………………………………………………………………………………………………………………………….
สารจากผู้แปล
มีพี่หมอคอยดูแลดีขนาดนี้ สภาพอารมณ์ก็ดีนำคนอื่นไปแล้ว
ใครวางแผนสร้างสถานการณ์ให้ม่ายจื่อโดนสงสัยว่าทุจริตกันนะ?
ไหหม่า(海馬)