แม่ปากร้ายยุค 80 - ตอนที่ 607 ส่งหลินเพ่ยเข้าคุก
ตอนที่ 607 ส่งหลินเพ่ยเข้าคุก
เมื่อเห็นว่าพ่อไป๋มีท่าทางอ่อนลง หลินเพ่ยก็รู้สึกโล่งใจ จึงเลิกคิ้วและเจรจาโน้มน้าว
“ฉันไม่ต้องการอะไรมาก แค่อยากให้คุณปล่อยฉัน แล้วให้เงินฉันเพื่อหลบหนี นับจากนี้ทุกคนจะปลอดภัย และฉันจะไม่เปิดโปงเรื่องอื้อฉาวของไป๋ซวงอย่างแน่นอน”
เมื่อได้ยินดังนั้น พ่อไป๋ก็เดือดดาลจนแทบอยากฆ่าหล่อน
หล่อนทำร้ายซวงเอ๋อร์อย่างร้ายแรง กลับยังเรียกร้องค่าหลบหนีอีกจำนวนมาก หญิงผู้นี้ช่างไร้ยางอายเสียจริง!
แต่ตอนนี้ไม่ใช่เวลาหุนหันพลันแล่น เขาต้องป้องกันไม่ให้เรื่องอื้อฉาวของไป๋ซวงเป็นที่รู้จักต่อคนภายนอก
แม้หลินเพ่ยจะรับปากว่าจะไม่ปล่อยภาพอนาจารของซวงเอ๋อร์หากเขาทำตามข้อตกลง แต่ไม่ว่าอย่างไรก็ไม่ควรเชื่อคำพูดของผู้หญิงหลอกลวงอย่างหล่อน
ทว่า…หากเขาไม่ทำตามที่หญิงคนนี้พูด เขากลัวว่าผู้สมรู้ร่วมคิดของหล่อนจะเผยแพร่ภาพที่ไม่เหมาะสมของซวงเอ๋อร์ ซึ่งจะทำให้ซวงเอ๋อร์ขายหน้าจนคิดฆ่าตัวตาย
เมื่อเห็นพ่อไป๋เงียบไปนาน หลินเพ่ยก็รู้ว่าหล่อนทำสำเร็จแล้ว แต่ถึงจะเป็นเช่นนั้นก็ยังอดไม่ได้ที่จะรู้สึกเอะใจ
หากคุณพ่อไป๋ไม่ยอมรับคำขอ หล่อนจะต้องรีบหนีไปอย่างรวดเร็ว
ขณะที่หล่อนกำลังครุ่นคิด พ่อไป๋ก็พูดขึ้นทันที “ฉันปล่อยให้เธอกินลูกปืนดีกว่า นัดเดียวจบๆ”
หลินเพ่ยตกตะลึง “คุณไม่กลัวหรือว่าภาพอนาจารของลูกสาวสุดที่รักของคุณจะปลิวว่อนไปทั่ว?”
“กลัวเหรอ ทำไมต้องกลัวล่ะ?” พ่อไป๋พูด “ไม่ว่ายังไงฉันก็เชื่อสัจจะของคนไม่มีสัจจะไม่ได้อยู่แล้ว ใครจะรับประกันได้ว่าถ้าฉันปล่อยเธอไปแล้ว ภาพอนาจารของลูกสาวฉันจะไม่ถูกเผยแพร่”
หลินเพ่ยกล่าวอย่างร้อนรนทันที พร้อมกับสาบานต่อฟ้า “ฉันจะไม่โกหกคุณอย่างแน่นอน!”
พ่อไป๋ยิ้มเย็นอย่างเหยียดหยาม: “คำพูดของเธอเชื่อไม่ได้อยู่แล้ว”
หลินเพ่ยอ้อนวอน “ต้องทำยังไงคุณถึงจะยอมปล่อยฉันไป?”
พ่อไป๋กล่าว “เขียนคำสารภาพผิดพร้อมลงนามสัญญา แล้วฉันจะปล่อยให้เธอมีชีวิตอยู่”
ตราบใดที่หลินเพ่ยเขียนคำสารภาพผิดว่าทำร้ายไป๋ซวงและประทับลายนิ้วมือของหล่อน เรื่องราวทั้งหมดก็จะถูกระงับและอยู่ภายใต้การควบคุมของพ่อไป๋
หากหลินเพ่ยกล้าที่จะหมิ่นเกียรติไป๋ซวงแม้แต่น้อย พ่อไป๋ก็สามารถใช้คำสารภาพนี้เป็นหลักฐานทำให้หลินเพ่ยได้รับโทษได้
หลินเพ่ยไม่ต้องการเขียนคำสารภาพผิด แต่ถ้าหล่อนไม่เขียน พ่อไป๋จะต้องบอกตำรวจว่าหล่อนคือคนที่ทำลายไป๋ซวง และหล่อนก็จะไม่มีทางเลือก
หลังจากคิดเกี่ยวกับเรื่องนี้ หล่อนก็ไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากยอมเขียนคำสารภาพ หลังเขียนเสร็จก็อดมองพ่อไป๋ไม่ได้ รอให้เขาปล่อยหล่อนไป
พ่อไป๋กลับหันหลังและเดินจากไป
หลินเพ่ยพลันเป็นกังวล ร้องตะโกนตามหลังเขา “คำพูดของคุณก็เชื่อไม่ได้เหมือนกัน!”
พ่อไป๋พูดประชดประชัน “ฉันไม่สนว่าเธอจะพูดยังไง ถ้ายังตะโกนอยู่อย่างนี้ล่ะก็ คอยดูแล้วกันว่าฉันจะจัดการกับเธอยังไง!”
สายตาของพ่อไป๋ดุร้ายอย่างยิ่ง จนหลินเพ่ยตัวสั่นด้วยความตกใจและปิดปากแน่น
พ่อไป๋ไปที่ห้องของไป๋เซี่ย บอกแม่ไป๋และคนอื่น ๆ ว่าเขาจัดการกับหลินเพ่ยอย่างไร
ไปซวงลอบถอนหายใจด้วยความโล่งอก ในที่สุดวิกฤตก็ได้รับการแก้ไขอย่างสมบูรณ์
ทว่าแม่ไป๋กลับไม่เต็มใจ: “ผู้หญิงเลวคนนั้นทำร้ายซวงเอ๋อร์ จะปล่อยหล่อนไปง่ายดายแบบนี้เหรอคะ?”
พ่อไป๋แค่นเสียงอย่างเย็นชา “ไม่อย่างแน่นอน! ต่อให้หลีกเลี่ยงโทษประหารได้ ก็หลีกเลี่ยงโทษจำคุกไม่ได้อยู่ดี ไม่ว่ายังไงหล่อนก็ต้องอยู่ในคุกไปอีกหลายปี”
แม่ไป๋ลังเลและถามไป๋ซวง “หลินเพ่ยเป็นพี่สาวแท้ ๆ ของลูกจริงเหรอ?”
เมื่อเห็นว่าทัศนคติของแม่ไป๋เปลี่ยนไป ไป๋ซวงก็อดไม่ได้ที่จะหวาดกลัว
หล่อนอาศัยอยู่กับแม่ไป๋ตั้งแต่ยังเด็ก และรู้ว่าแม่ไป๋เป็นคนดี
ตราบใดที่คนอื่นแสร้งทำเป็นน่าสงสาร หล่อนก็มักจะเห็นใจอยู่เสมอ
ไป๋ซวงกังวลมากว่าแม่ไป๋จะรู้สึกสงสารหลินเพ่ยและปล่อยหล่อนไป หากเป็นเช่นนั้นก็แสดงว่าความเจ็บปวดที่หล่อนได้รับจากหลินเพ่ยเป็นเรื่องไร้ประโยชน์ใช่ไหม?
หล่อนพยักหน้าอย่างลังเล
แม่ไป๋ดูงุนงงและเอ่ยถาม “ในเมื่อหล่อนไม่ได้มาจากตระกูลของเรา แล้วหล่อนมีหน้าตาเหมือนแม่ได้อย่างไร?”
ก่อนหน้านี้ความดีใจทำให้ดวงตามืดบอด แม่ไป๋จึงไม่ได้คิดอะไรมากมาย
แต่ตอนนี้เมื่อตระหนักได้ หล่อนก็รู้สึกว่ามีบางอย่างผิดปกติอีกครั้ง
หลินเพ่ยดูละม้ายคล้ายคลึงกับหล่อนมาก หากหญิงผู้นั้นเป็นลูกสาวของหล่อน การส่งลูกสาวเข้าคุกคงทำให้หล่อนรู้สึกไม่สบายใจไปตลอดชีวิต
ไป๋ซวงบอกว่าเหตุที่หลินเพ่ยดูคล้ายกับหล่อนมาก เพราะอีกฝ่ายทำการผ่าตัดศัลยกรรมเพื่อให้ดูเหมือนหลินม่าย
ครอบครัวของแม่ไป๋มีญาติในต่างประเทศที่รู้จักสิ่งเหล่านี้มากกว่าคนทั่วไป ดังนั้นหล่อนจึงเข้าใจได้เมื่อรู้ว่าหลินเพ่ยได้รับการทำศัลยกรรมพลาสติก
เพื่อยืนยันว่าหลินเพ่ยผ่านการทำศัลยกรรมหรือไม่ หล่อนจึงคิดจะตรวจสอบใบหน้าของหลินเพ่ยอย่างระมัดระวัง
เมื่อคืนไป๋เซี่ยต่อยหลินเพ่ย และพ่อไป๋ก็ทำร้ายหล่อนอีกครั้งในตอนนี้
ส่วนอื่นบนใบหน้ายังคงอยู่ดี แต่จมูกกลับบิดเบี้ยว ดังนั้นใบหน้าที่แท้จริงก่อนศัลยกรรมของหล่อนก็คงดูไม่ดีเท่าใดนัก
จากนั้นแม่ไป๋ก็รู้สึกโล่งใจและปล่อยให้พ่อไป๋จัดการกับหลินเพ่ย
แม้ไป๋ซวงจะไม่ได้พูดอะไร แต่หัวใจกลับรู้สึกเย็นชา
หลินเพ่ยทำร้ายชื่อเสียงของหล่อนถึงขนาดนั้น แต่แม่ไป๋ยังคิดใจดี และไม่คิดจะส่งหล่อนให้ตำรวจหากหล่อนเป็นลูกแท้ ๆ
กล่าวอีกนัยหนึ่ง หากหลินเพ่ยเป็นลูกสาวของหล่อน แม้ว่าหลินเพ่ยจะทำร้ายไป๋ซวง แม่ไป๋ก็จะปล่อยหล่อนไป
หล่อนเคยบอกว่าต่อให้ได้ลูกสาวของคนกลับมา หล่อนก็จะยังดูแลไป๋ซวงอย่างดี แต่มันกลับไม่เป็นแบบนั้น!
พ่อไป๋แจ้งความหลินเพ่ยกับตำรวจโดยอ้างว่าหลินเพ่ยปลอมตัวเป็นลูกสาวตัวน้อยของเขาที่หายไป จากนั้นก็เข้ามาอยู่ในบ้านและขโมยทรัพย์สินมูลค่ารวมห้าพันหยวน
เดิมทีพ่อไป๋ต้องการรายงานเงินมากกว่านี้ อย่างน้อยก็หนึ่งหมื่นหยวนเพื่อให้หลินเพ่ยถูกตัดสินให้รับโทษหนักขึ้น
แต่ตัวเขาเองเป็นรองประธานธนาคาร หากจำนวนเงินที่รายงานนั้นมีมากเกินไป ผู้คนอาจสงสัยว่าเงินของเขามาจากแหล่งที่ไม่ถูกต้องหรือไม่ และนั่นอาจเป็ยภัยต่อตัวเอง ดังนั้นเขาจึงรายงานเพียงห้าพันหยวน
เพราะแม้จะรายงานเพียงห้าพันหยวน แต่หลินเพ่ยก็จะถูกตัดสินจำคุกสามปีและประหารชีวิต
หลินเพ่ยรู้สึกว่าโทษที่หล่อนได้รับนั้นร้ายแรงเกินไป
หล่อนจะขโมยเงินมากมายขนาดนั้นได้อย่างไร
จำนวนเงินรวมในอั่งเปาที่ญาติของตระกูลไป๋มอบให้ก็ไม่เกินห้าร้อยหยวน บวกกับสร้อยคอทองคำและเสื้อผ้าเหล่านั้น รวมทั้งสิ้นก็เพียงหนึ่งพันหยวน
ตามจำนวนนี้ โทษสูงสุดคือจำคุกหนึ่งปี
แต่พ่อไป๋ขู่หล่อนให้ยอมรับว่าขโมยทรัพย์สินมูลค่าห้าพันหยวนไป มิฉะนั้นเขาจะฟ้องหล่อนในข้อหาชักจูงผู้อื่นให้กระทำชำเราไป๋ซวง
หลินเพ่ยไม่กล้าปฏิเสธ
หลินเพ่ยรู้สึกระทมใจเป็นอย่างมากว่าหล่อนไม่น่าเขียนคำสารภาพผิดนั่นเลย
หลังจากจัดการหลินเพ่ยแล้ว พ่อและแม่ไป๋ก็ยังคงต้องการตามหาหลินม่ายคนนั้น และสืบหาว่าเธอเป็นลูกสาวของพวกเขาจริง ๆ หรือไม่
หลินม่ายไม่รู้ถึงสิ่งที่เกิดขึ้นกับหลินเพ่ย และแน่นอนว่าเธอไม่รู้ถึงเรื่องที่กำลังถูกตามหาตัว
หลังจากการสอบสิ้นสุดลง ฟางจั๋วหรานก็จัดงานเลี้ยงเล็ก ๆ ให้เธอในวิลล่าเพื่อฉลองความสำเร็จในการสอบเข้ามหาวิทยาลัยของเธอ
คนหนุ่มสาวในปัจจุบันล้วนแต่คล้อยตามวัฒนธรรมตะวันตก การจัดงานเลี้ยงถือเป็นสิ่งที่คนหนุ่มสาวชื่นชอบอย่างยิ่ง
ฟางจั๋วหรานจัดงานเลี้ยงเพื่อให้หลินม่ายได้มีความทรงจำที่ยากจะลืมเลือน
หลินม่ายไม่ได้อยากจัดงานเลี้ยงและรู้สึกว่าการจัดงานเลี้ยงเพียงเพื่อเฉลิมฉลองการสอบเข้าสู่มหาวิทยาลัยได้เป็นเรื่องสูงส่งเกินไป
แต่ฟางจั๋วหรานกลับไม่คิดแบบนั้น เขาจัดเตรียมทุกอย่างจนแล้วเสร็จ หากเธอปฏิเสธก็จะถือเป็นการทำร้ายเขามากเกินไป
งานเลี้ยงจัดขึ้นที่สวนหน้าวิลล่า ลูกโป่งหลากสีรูปทรงน่ารักมากมายถูกตกแต่งทั่วบริเวณ ขนมและผลไม้ก็ถูกจัดเตรียมไว้เพื่อให้แขกได้รับประทาน
หลินม่ายเชิญชวนเพื่อนร่วมชั้นของเธอหลายคนรวมถึงเถาจืออวิ๋นมาร่วมงานในวันนี้
โต้วโต้วและฉีฉีวิ่งไล่จับกันในงานราวกับเด็กเล็ก ทั้งสองดูมีความสุขอย่างมาก
อาหวงส่ายศีรษะและเดินตามหลังพวกเธอไป
หลินม่ายพูดคุยกับเพื่อนร่วมชั้นของเธอเรื่องการลงทะเบียนเรียนของวิทยาลัยและมหาวิทยาลัยใหญ่ ๆ ในปีนี้ จากนั้นจึงพูดคุยกับเถาจืออวิ๋นเกี่ยวกับชุดแต่งงานที่เธอจะสวมใส่เมื่อแต่งงาน
เพื่อนร่วมชั้นต่างแสดงความยินกับเธอและพูดคุยหยอกล้ออย่างมีความสุข
ว่ากันว่าหากเธอตั้งครรภ์หลังแต่งงาน เธอก็จะได้จ่ายค่าเทอมเพียงหนึ่งคนในขณะที่เรียนจบสองคนพร้อมกัน ซึ่งทำให้ผู้คนต่างหัวเราะ
อย่างไรก็ตาม ผู้ชายหลายคนต่างยิ้มอย่างมีเลศนัย
พวกเขาตกหลุมรักหลินม่ายตั้งแต่แรกเห็น
น่าเสียดายที่หลินม้ายมีชื่อเสียงมากในเวลานั้น และพวกเขาไม่มีโอกาสแม้แต่จะสารภาพรัก
เมื่อหลินม่ายเชิญพวกเขาเข้าร่วมงานเลี้ยงในคืนนี้ เหล่าชายหนุ่มต่างตื่นเต้นและแต่งตัวให้ดูหล่อเหลาเพื่อเข้าร่วมงานเลี้ยง
ชายคนหนึ่งต้องการจะสารภาพรักกับหลินม่าย และบอกเธอว่าเขาชื่นชอบเธอมาเป็นเวลานานแล้ว
เขาไม่ได้ทำเพื่อทำลายความสัมพันธ์ระหว่างหลินม่ายและฟางจั๋วหราน แต่แค่อยากจะกล้าหาญสักครั้งเพื่อทำลายกำแพงที่ถูกสร้างขึ้นในใจมาเนิ่นนาน
แต่แฟนของหลินม่ายอยู่เคียงข้างเธอตลอดเวลา และบางครั้งเขาก็จ้องมองชายหนุ่มเหล่านี้อย่างดุร้ายราวกับสิงโตที่ปกป้องอาหารของมัน ดังนั้นจึงไม่มีใครกล้าสารภาพรักต่อหลินม่าย
ไม่เพียงแต่ชายหนุ่มเหล่านั้นจะรู้สึกหดหู่ใจ ฟางจั๋วหรานก็ตื่นตระหนกเช่นกัน
เขาหยิบขวดเหล้า กลืนลงไปอึกหนึ่ง จากนั้นจึงจ้องมองอย่างขุ่นเคืองไปยังเถาจืออวิ๋นและหลิวหย่งเจียงที่ยืนอยู่ข้างแท่นดอกไม้และกระซิบกระซาบกันอย่างแผ่วเบา
เถาจืออวิ๋นและหลิวหย่งเจียงพูดคุยกันราวครึ่งชั่วโมงก่อนจะเข้ามาทักทายเขา
สถานการณ์คล้ายคลึงกับเมื่อครั้งเข้าร่วมงานแต่งของเคอจื่อฉิง เขามีบางอย่างจะพูดคุยกับเถาจืออวิ๋นและหลิวหย่งเจียง แต่ดูเหมือนว่าทั้งสองคนจะไม่เต็มใจพูดคุยกับเขา
เคอจื่อฉิงพบว่าตนเองตั้งครรภ์เมื่อเดือนที่แล้ว เฉินเฟิงไม่คิดจะทิ้งหล่อนไว้คนเดียวในกวางโจว ก่อนจะขอร้องให้หล่อนลางานเพื่อมายังเจียงเฉิงและรอคอยการคลอดที่นี่
ยังมีเวลาอีกอย่างน้อยครึ่งปีในการทำงาน และเป็นไปไม่ได้ที่หัวหน้าหน่วยจะยอมให้เขาลางาน
พวกเขามักยุ่งอยู่กับงานจนติดเป็นนิสัย
เฉินเฟิงบังคับให้เคอจื่อฉิงไปยังศุลกากรเพื่อขอทำเรื่องลาออกจากงาน
เมื่อแม่ของเคอจื่อฉิงรู้เรื่องนี้ก็ต่อว่าเฉินเฟิงในทันที
แต่เมื่อเฉินเฟิงมอบเงินออมและอสังหาริมทรัพย์ทั้งหมดให้กับเคอจื่อฉิง พ่อและแม่ของหล่อนก็ปิดปากเงียบ
ทรัพย์สินของครอบครัวที่ร่ำรวยอย่างครอบครัวของเฉินเฟิงถูกส่งมอบให้กับลูกสาวของพวกเขา ไม่ต้องพูดถึงว่าลูกสาวของพวกเขาไม่จำเป็นต้องทำงานในชีวิตนี้ แม้แต่พวกเขาเองก็ไม่จำเป็นต้องทำงานและได้อยู่กินอย่างสบายไปตลอดชาติ ดังนั้นพวกเขาจึงยอมรับโดยไม่มีข้อแม้
ด้วยเหตุนี้เคอจื่อฉิงจึงต้องจำใจลาออกจากงานและมายังเจียงเฉิง คาดหวังว่าจะคลอดก่อนกำหนด
เมื่อรู้ว่าหลินม่ายจัดงานเลี้ยง หล่อนก็เดินทางมาแม้จะไม่ได้รับเชิญ
ในขณะนี้ หล่อนกำลังกินแตงโมและจ้องมองไปยังฟางจั๋วเยวี่ย
เฉินเฟิงเฝ้าดูหล่อนอย่างระมัดระวัง เพราะกลัวว่าหล่อนจะทำอะไรผิดพลาด
เมื่อเห็นฟางจั๋วเยวี่ยจ้องมองเถาจืออวิ๋น เคอจื่อฉิงก็เดินเข้ามาขวาง “กำลังคิดอะไรเกี่ยวกับลูกสาวตระกูลเถาอยู่เหรอ?”
ใบหน้าของฟางจั๋วเยวี่ยเปลี่ยนเป็นสีแดงระเรื่อดุจมะเขือเทศ และเขาปฏิเสธถึงสามครั้ง “ไม่ๆๆ พูดอะไรไร้สาระ”
เคอจื่อฉิงกล่าว “แววตาคุณที่จ้องมองไปยังหล่อนดูราวกับจะกลืนกินขนาดนั้น แล้วยังจะบอกว่าไม่สนใจหล่อนอีกเหรอ? ฉันจะแนะนำให้ก็แล้วกัน หากชอบหล่อนก็รีบสารภาพและแสดงออกมาซะ ไม่อย่างงั้นหล่อนจะถูกคนอื่นแย่งไปอย่างแน่นอน แล้วคุณจะไม่สามารถทำอะไรได้นอกจากร้องไห้!”
หล่อนชี้ไปยังหลิวหย่งเจียงพลางกล่าว “ดูเขาสิ หากเขาได้เห็นพี่เถาปรากฏตัว เขาจะต้องพูดจาเกี้ยวพาหล่อนอย่างแน่นอน หากคุณไม่รีบสารภาพ หล่อนจะกลายเป็นของคนอื่นนะ!”
………………………………………………………………………………………………………………………….
สารจากผู้แปล
ประหารเสร็จแล้วอย่าลืมทำพิธีสะกดวิญญาณนังเพ่ยด้วยนะคะ เอาให้ไม่ได้ผุดได้เกิดเลย เผื่อว่านางย้อนเวลามาเกิดใหม่อีกรอบ
จั๋วเยวี่ยอย่าลังเลค่ะ ชอบก็บอกว่าชอบ ไม่งั้น ม.ค.ป.ด. นะคะ
ไหหม่า(海馬)