แม่ปากร้ายยุค 80 - ตอนที่ 620 สอบสวนหลินเจี้ยนกั๋วและภรรยาของเขา
ตอนที่ 620 สอบสวนหลินเจี้ยนกั๋วและภรรยาของเขา
ไป๋เซี่ยลงจากรถและตะโกนใส่ไป๋ซวงทันที “เธอตาบอดจริง ๆ หรือกำลังพยายามแสร้งทำเป็นไม่รู้ไม่เห็นกันแน่? เธอไม่เห็นหรือว่าแม่ของเธอกำลังจะทำร้ายม่ายจื่อ? หากม่ายจื่อจะป้องกันตัวก็ไม่ใช่เรื่องผิดไม่ใช่เหรอ?”
เขาเย้ยหยันครั้งแล้วครั้งเล่า “พวกเธอทั้งครอบครัวช่างมีนิสัยเหมือนกันเสียจริง พ่อแม่เธอสลับตัวน้องสาวของเราไปและให้เธอได้มีชีวิตที่ดีในบ้านของเรา เธอไม่คิดขอโทษม่ายจื่อแต่กลับยังตำหนิเธอ กล้าทำถึงขนาดนี้ได้ยังไง?!”
ไป๋ลู่ทนไม่ได้กับการกระทำของไป๋ซวงในช่วงสองสามวันที่ผ่านมาจึงพูดด้วยท่าทางเหยียดหยาม “นี่เป็นตัวอย่างของคนเห็นแก่ตัวสินะ น่าขยะแขยงจริง ๆ!”
“หุบปาก!” แม่ไป๋มองลูกทั้งสองอย่างไม่พอใจ ทะเลาะกันในที่สาธารณะแบบนี้ไม่ละอายเลยหรืออย่างไร?!
ตำรวจสองคนที่มาจัดการคดีขับรถสามล้อซึ่งช้ากว่ารถเบนซ์ของหลินม่าย
แต่ในที่สุดพวกเขาก็มาถึง เมื่อได้ยินเสียงดังในที่เกิดเหตุจึงถามว่าเกิดอะไรขึ้น
ทุกคนบอกเล่าถึงเรื่องราวที่เกิดขึ้นต่อพวกเขาอย่างร้อนรน
แม้ว่าเจ้าหน้าที่ตำรวจทั้งสองจะมาเพื่อสอบสวนซุนกุ้ยเซียงเท่านั้น แต่พวกเขาก็มองไปยังไป๋ซวงด้วยสายตาประหลาด ซึ่งทำให้ไป๋ซวงอับอายเล็กน้อย
เมื่อชาวบ้านเห็นว่ามีตำรวจมาและเป็นตำรวจจากเมืองเอกของมณฑล ความอยากรู้อยากเห็นของพวกเขาก็ถูกกระตุ้นมากยิ่งขึ้น และทุกคนก็รวมตัวกันเพื่อเฝ้าดูอย่างแข็งขัน
ทันทีที่ตำรวจมาถึง พวกเขาก็เอ่ยถามว่าใครคือหลินเจี้ยนกั๋วและซุนกุ้ยเซียง
ตั้งแต่วินาทีที่หลินเจี้ยนกั๋วและซุนกุ้ยเซียงเห็นตำรวจ พวกเขาก็เหงื่อตกด้วยความหวาดกลัว
เมื่อได้ยินคำถามของตำรวจ พวกเขาก็อยากจะหนีไปเสียให้ได้
แต่พวกเขาจะหนีไปที่ไหนได้? มีคนจำนวนมากอยู่ในที่เกิดเหตุ เกรงว่าจะถูกจับได้ก่อนที่จะวิ่งหนีไปได้สามเมตรเสียอีก
สองสามีภรรยาไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากยื่นนิ่งอย่างเป็นกังวลและเดินไปหาเจ้าหน้าที่ตำรวจทั้งสองอย่างเชื่องช้า พลางกล่าว
“ผมคือหลินเจี้ยนกั๋ว”
“ฉันคือซุนกุ้ยเซียง”
ตำรวจคนหนึ่งพูดเสียงดัง “พวกคุณสองสามีภรรยาถูกสงสัยว่าทำการสลับลูกสาวของตัวเองกับลูกสาวของคนอื่นที่โรงพยาบาลแห่งหนึ่งเมื่อสิบแปดปีที่แล้ว เราจำเป็นต้องสอบสวนเรื่องนี้ โปรดให้ความร่วมมือด้วย”
ชาวบ้านทุกคนพากันฮือฮา ต่างคนต่างพูดคุยกัน
“ดูเหมือนว่าเราจะเดาถูกแล้ว ม่ายจื่อไม่ใช่ลูกสาวแท้ ๆ ของพวกเขา ไม่อย่างนั้นพวกเขาคงไม่ใจร้ายกับหล่อนขนาดนี้!”
“สามีคู่นี้ก่ออาชญากรรมจริง ๆ พวกเขาสลับตัวลูกสาวตัวเองกับลูกสาวของคนอื่น ทำแบบนั้นไปเพื่ออะไรนะ!”
เมื่อหลินเจี้ยนกั๋วและซุนกุ้ยเซียงได้ยินว่าตำรวจมาหาพวกเขาเพื่อสอบสวนเรื่องนี้ พวกเขารู้สึกโล่งใจราวกับว่ารอดพ้นตายมาได้เส้นยาแดงผ่าแปด
พวกเขาคิดว่าตำรวจจะมาสืบคดีฆาตกรรมเมื่อสิบแปดปีที่แล้วเสียอีก หากเป็นเช่นนั้นพวกเขาต้องโดนประหารอย่างแน่นอน
หลินเจี้ยนกั๋วตะโกนออกมาทันที “เราไม่ได้สลับลูกของใคร ต้องมีคนใส่ร้ายพวกเราแน่ๆ ครับ”
ในตอนนั้นมีเพียงซุนกุ้ยเซียงที่ทำการสลับตัวลูกสาว โดยที่หลินเจี้ยนกั๋วไม่มีส่วนเกี่ยวข้อง
ซุนกุ้ยเซียงไม่เคยบอกความจริงแก่เขา เพราะเขาไม่รู้ความจริงนี่เอง ดังนั้นเขาจึงมีเหตุผลมากในการเรียกร้องความยุติธรรม
แต่ซุนกุ้ยเซียงรู้เรื่องนี้เป็นอย่างดี ดังนั้นหล่อนจึงตะโกนโวยวายเพื่อเรียกร้องความยุติธรรมให้กับตน
ตำรวจได้ทำการสอบสวนและรวบรวมพยานหลักฐานในที่เกิดเหตุ
ผู้คนมากมายต่างวิ่งไปยังบ้านของครอบครัวหลินด้วยความอยากรู้อยากเห็น บางคนถึงกับใช้หน้าแนบบานประตูแล้วมองลอดช่องเข้าไป
เจ้าหน้าที่ตำรวจสองนายทำการสอบปากคำหลินเจี้ยนกั๋วและภรรยาแยกกัน คนหนึ่งถูกสอบสวนในลานบ้านและอีกคนหนึ่งถูกสอบสวนในห้อง พวกเขาถูกแบ่งออกเป็นสองแห่งเพื่อป้องกันไม่ให้สมรู้ร่วมคิดกัน
ซุนกุ้ยเซียงกำลังถูกสอบสวนอยู่ในลานบ้าน
แม้ว่านางจะตื่นตระหนกมาก แต่นางก็ปฏิเสธอย่างหนักแน่นที่จะยอมรับว่าหลินม่ายและไป๋ซวงถูกสลับตัวในตอนนั้น
ตำรวจเอ่ยถาม “ในเมื่อคุณไม่ได้สลับตัวหลินม่ายและไป๋ซวง แล้วทำไมคุณถึงทำร้ายหลินม่ายเพียงคนเดียวในบรรดาลูกทั้งสามคน?”
ซุนกุ้ยเซียงบอกตำรวจถึงการโกหกครั้งก่อนเพื่อหลอกลวงชาวบ้าน
“ใครบอกว่าฉันสลับตัวเด็กทั้งสองตั้งแต่แรกเกิด? ฉันเกือบตายตอนที่ให้กำเนิดหล่อน และตั้งแต่นั้นมาฉันก็สูญเสียความสามารถในการมีลูก จะไม่ให้ฉันเกลียดหรือทำร้ายหล่อนได้ยังไง?!”
วาทศิลป์ของซุนกุ้ยเซียงนั้นไร้ที่ติ และตำรวจก็ไม่ได้รับความคืบหน้าใดๆ กับหล่อนเลย
ทางฝั่งหลินเจี้ยนกั๋วเองก็ไม่มีความคืบหน้าใด
เขาไม่รู้ความจริงอะไรในเรื่องนี้ ดังนั้นไม่ว่าตำรวจจะซักถามเขาอย่างไร เขาก็ยืนยันว่าสองสามีภรรยาไม่เคยรู้ว่าหลินม่ายไม่ใช่ลูกของตน
ไม่มีหลักฐานใดที่พิสูจน์ได้ว่าหลินเจี้ยนกั๋วและภรรยาของเขาสลับตัวหลินม่ายและไป๋ซวงในตอนนั้น ทุกอย่างเป็นเพียงการคาดเดาของพ่อไป๋และแม่ไป๋
ตอนนี้หลินเจี้ยนกั๋วและภรรยาของเขาปฏิเสธอย่างเด็ดขาดที่จะยอมรับว่าพวกเขาได้สลับเด็กทั้งสอง ดังนั้นจึงเหลือเพียงสถานการณ์เดียวเท่านั้น นั่นคือโรงพยาบาลทำผิดพลาด
หากสามารถยืนยันได้ว่าโรงพยาบาลทำผิดพลาด ความสงสัยในตัวหลินเจี้ยนกั๋วและภรรยาของเขาก็จะถูกตัดออกไป
ตำรวจตัดสินใจไปที่โรงพยาบาลเพื่อตรวจสอบ
พรรคพวกของหลินม่ายและตำรวจทั้งหมดขึ้นรถและจากไป
ซุนกุ้ยเซียงอดไม่ได้ที่จะไล่พวกเขาออกไป พวกเขาเฝ้าดูรถเมอร์เซเดส-เบนซ์ของหลินม่ายหายไปจากสายตา จากนั้นก็หันหลังกลับเข้าไปในลานบ้านอย่างไม่เต็มใจ
เมื่อเห็นลูกสาวผู้ที่ตนให้กำเนิดแต่งกายด้วยเสื้อผ้าที่ไม่ธรรมดา ซุนกุ้ยเซียงก็ปีติสุขมากอยู่ในใจ
ถ้าตอนนั้นนางตัดสินใจผิด ลูกสาวคนเล็กของตนก็ยังคงทนทุกข์กับพวกเขา
หล่อนไม่เพียงจะมีร่างกายผอมแห้งขาดสารอาหาร แต่ยังต้องสวมใส่เสื้อผ้าขาดรุ่งริ่งด้วย
ในค่ำคืนวันนั้น สองสามีภรรยานอนเบิกตาโพลงอยู่บนเตียง
สิ่งที่หลินเจี้ยนกั๋วกังวลคือคดีฆาตกรรมที่เป็นเหมือนระเบิดเวลา ซึ่งจะระเบิดสองสามีภรรยาอย่างพวกเขาให้เป็นจุณ
แต่ซุนกุ้ยเซียงกลับคิดถึงไป๋ซวงตลอดเวลา
ตลอดหลายปีที่ผ่านมา นางไม่เคยลืมลูกสาวตัวน้อยของตนที่อยู่เคียงข้างนางและได้ดื่มนมเพียงไม่กี่วัน
เป็นเพราะคิดถึงลูกสาวตัวน้อยของตนมาก ทุกครั้งที่เห็นหลินม่าย นางจึงกัดฟันด้วยความเกลียดชัง
นางไม่รู้ว่าลูกสาวของตนเติบโตอย่างไรในครอบครัวอื่น อีกทั้งนางยังต้องมาเลี้ยงดูลูกที่ไม่มีความสัมพันธ์ทางสายเลือดกับตนอีก จะให้นางอดทนได้อย่างไร?
นางจะรู้สึกดีขึ้นก็ต่อเมื่อได้ทำร้ายหลินม่ายจนถึงแก่ชีวิต
ลูกแท้ๆ ก็คือลูกแท้ๆ ยิ่งเห็นหลินม่ายคราใด นางก็ยิ่งรู้สึกโกรธแค้นในใจมากเท่านั้น
นางไม่ได้เลี้ยงดูลูกสาวของตัวเองเลยแม้แต่วันเดียว และยิ่งเมื่อเห็นไป๋ซวงถูกหลินม่ายทุบตี นางจึงลุกขึ้นยืนเพื่อปกป้องหล่อน
ยิ่งซุนกุ้ยเซียงคิดถึงเรื่องนี้ นางก็ยิ่งสะเทือนใจ และยิ่งคิดถึงลูกสาวของตน
หลังจากได้เห็นลูกสาวของตัวเองกับตา นางก็รู้สึกเสียใจ เพราะตนไม่มีโอกาสแม้แต่จะแตะต้องมือของลูกสาว และไม่ได้ทำอาหารเลิศรสให้หล่อนด้วย
ยิ่งซุนกุ้ยเซียงคิดถึงเรื่องนี้มากเท่าใด นางก็ยิ่งเศร้าใจมากขึ้น และก็อดไม่ได้ที่จะร้องไห้
หลินเจี้ยนกั๋วกำลังร้อนใจอย่างมาก แต่เมื่อได้ยินเสียงสะอื้นของซุนกุ้ยเซียง เขาก็หมดความอดทนและเตะนางไปทีหนึ่ง “ร้องไห้ทำไม ฉันยังไม่ตายสักหน่อย!”
ซุนกุ้ยเซียงร้องไห้สะอึกสะอื้นและกล่าว “ในที่สุดลูกสาวแท้ ๆ ของเราก็มาที่บ้านของเราแล้ว แต่ฉันกลับไม่ได้ทำอาหารอร่อย ๆ ให้หล่อนกินเลย”
หลินเจี้ยนกั๋วพูดอย่างเหยียดหยาม “คุณไม่เห็นเหรอว่าหล่อนกับพ่อแม่บุญธรรมของหล่อนแต่งตัวดีขนาดไหน แค่นั้นก็รู้แล้วว่าความเป็นอยู่ในบ้านพ่อแม่บุญธรรมต้องดีมาก หล่อนจะไม่เคยกินอาหารอร่อยอะไรบ้าง? ทำไมถึงคิดว่าอาหารฝีมือคุณถึงจะอร่อยเลิศสำหรับหล่อนกัน? สิ่งที่คุณควรห่วงใยในตอนนี้คือทุกวันนี้เราจะกินดื่มอะไร หรือเราควรจะใช้ชีวิตแบบไหนมากกว่า?”
เมื่อเขาพูดเช่นนี้ ดวงตาของเขาก็สว่างวาบขึ้นทันที “ในเมื่อลูกสาวของเรากินดีอยู่ดี และแต่งตัวดีที่บ้านของคนอื่น งั้นเราก็ขอให้หล่อนช่วยเรากันเถอะ หล่อนได้กินดีอยู่ดีในครอบครัวใหญ่ แต่พ่อแม่ของหล่อนกลับยากจนและลำบาก ไม่รู้ว่าจะได้กินเนื้อตอนไหน”
ซุนกุ้ยเซียงรู้สึกสะเทือนใจเมื่อได้ยินเช่นนี้ เพราะนางเองก็ต้องการมีชีวิตความเป็นอยู่ที่ดี มิฉะนั้นคงไม่ลงมือฆาตกรรมคนร่วมกับหลินเจี้ยนกั๋วในตอนนั้น
คนตายเพราะทรัพย์ นกตายเพราะอาหารไม่ใช่เหรอ?
ซุนกุ้ยเซียงถอนหายใจ “ลูกสาวของเราไปกับพ่อแม่บุญธรรมแล้ว ถ้าหล่อนไม่ติดต่อมา เราก็ไม่สามารถร้องขออะไรจากหล่อนได้”
ดวงตาของหลินเจี้ยนกั๋วเปล่งประกายอย่างละโมบท่ามกลางความมืดมิด “ถ้าลูกสาวเราไม่คิดจะติดต่อเราก่อน เราก็เป็นคนติดต่อหล่อนเองเลยสิ อย่าไร้สมองไปหน่อยเลย”
………………………………………………………………………………………………………………………
สารจากผู้แปล
ความคิดย้อนแย้งนะยัยป้านี่ อยากให้ลูกตัวเองมีชีวิตดีๆ มันจำเป็นต้องทำร้ายลูกคนอื่นขนาดนี้ด้วยเหรอ แต่ก็นั่นแหละค่ะ ถ้าไม่มีตรรกะแบบนี้ก็คงเป็นฆาตกรร่วมกับสามีไม่ได้หรอก
ตระกูลไป๋ระวังสองสามีภรรยาชาติปลิงนี่ให้ดี ล่าสุดวางแผนจะหาทางเกาะผ่านลูกสาวแล้ว
ไหหม่า(海馬)