แม่ปากร้ายยุค 80 - ตอนที่ 645 รอยร้าวในความสัมพันธ์
ตอนที่ 645 รอยร้าวในความสัมพันธ์
ขณะที่เพื่อนบ้านในละแวกนั้นซุบซิบกันเกี่ยวกับตระกูลไป๋ หลินม่าย พ่อไป๋ และคนอื่น ๆ ก็ไปถึงร้านอาหารเป็ดย่างฉวนจวี้เต๋อแล้ว
ร้านเป็ดย่างฉวนจวี้เต๋อนับเป็นร้านที่มีชื่อเสียง และมีรสชาติดีสมคำร่ำลือ
หลินม่ายไม่ชอบเป็ดย่างมากนัก แต่พ่อไป๋และคนอื่น ๆ ชอบ ดังนั้นเธอจึงจำเป็นต้องตามใจผู้อาวุโส
ทุกคนพูดคุยกันขณะรับประทานอาหาร และเรื่องราวก็ดำเนินมาถึงเรื่องไป๋ซวง
ไป๋ลู่บอกว่าในวันที่สามหลังจากที่หล่อนคุยกับหลินม่ายครั้งล่าสุด พ่อแม่ของไป๋ซวงก็มาที่ประตูบ้าน
หลินม่ายรู้สึกประหลาดใจเล็กน้อยที่หลินเจี้ยนกั๋วและภรรยาของเขากล้าเข้าใกล้ตระกูลไป๋
เธอคิดว่าหลินเจี้ยนกั๋วและภรรยาขอที่อยู่ครอบครัวไป๋จากคนอื่น เพราะพวกเขาต้องการมาพบไป๋ซวง
แต่ไม่คาดคิดว่าพวกเขาจะไม่ได้พบกับตระกูลไป๋ เป็นไปได้หรือไม่ว่าสามีภรรยาคู่นั้นเดินทางมาที่นี่เพื่อต้องการบางอย่างจากตระกูลไป๋?
หลินม่ายถามด้วยความสงสัย “ทำไมคนตระกูลหลินถึงมาที่บ้านนี้? พวกเขาไม่กลัวว่าพ่อและพี่ชายจะทุบตีพวกเขาหรือคะ?”
ไม่ว่าคู่รักตระกูลหลินจะสลับตัวหลินม่ายกับไป๋ซวงด้วยเจตนาร้ายหรือไม่ก็ตาม
แต่เขาและภรรยาก็ทำให้เธอทุกข์ทรมานในครอบครัวหลิน พ่อไป๋รักลูกสาวของเขาเป็นอย่างมาก และไป๋เซี่ยในฐานะพี่ชายก็ทนไม่ได้ที่เห็นน้องสาวของเขาถูกหลินเจี้ยนกั๋วและภรรยาข่มเหง ดังนั้นจะให้เขาปล่อยหลินเจี้ยนกั๋วและภรรยาไปได้อย่างไร?
ไป๋ลู่แสดงความดูถูกเหยียดหยาม “คนไร้ยางอายแบบนั้นยังจะต้องกลัวถูกใครทุบตีอีกเหรอ? ทันทีที่พ่อแม่ผู้ให้กำเนิดของไป๋ซวงมายังบ้านหลังนี้ พวกเขาก็เรียกร้องค่าเลี้ยงดูบุตรจากพ่อกับแม่”
หลินม่ายหยิบแผ่นแป้งขึ้นมาชิ้นหนึ่ง ใช้ตะเกียบจิ้มซอสหวานทาลงไปเล็กน้อย วางเป็ดย่างสองสามชิ้น วางหัวหอมซอย แตงกวาซอย ก่อนม้วนแผ่นแป้งแล้วกัด
เธอมองไปทางพ่อไป๋ “พ่อไม่ได้ให้พวกเขาไปใช่ไหมคะ?”
พ่อไป๋กลอกตาด้วยความดูถูกเหยียดหยาม “ตระกูลหลินทำให้ลูกลำบากมาก พ่อจะให้ค่าเลี้ยงดูพวกเขาได้ยังไง? พ่อเลี้ยงดูไป๋ซวงเป็นอย่างดี สามีและภรรยาตระกูลหลินต่างหากที่ต้องให้ค่าเลี้ยงดูพ่อ พอบอกสองสามีภรรยาคู่นั้นว่า หากอยากได้เงินก็ให้นำตัวลูกของพวกเขากลับไปด้วย สองสามีภรรยากลับวิ่งหนีด้วยความตกใจทันที”
“แล้วหลังจากนั้นพวกเขาก็ไม่กลับมาอีกเลยหรอคะ?”
พ่อไป๋พยักหน้า “ตอนนี้ยังหรอก”
หลินม่ายไม่เชื่อว่าหลินเจี้ยนกั๋วและภรรยาของเขาที่เดินทางมาแต่ไกลจะยอมกลับไปมือเปล่า
หากพวกเขาไม่ได้รับประโยชน์ใด ๆ จากพ่อไป๋ พวกเขาจะต้องขอผลประโยชน์จากไป๋ซวงอย่างแน่นอน
ไม่รู้ว่าหลินเจี้ยนกั๋วและภรรยาของเขาจะได้รับประโยชน์จากเธอหรือไม่ และพวกเขาจะได้รับประโยชน์มากน้อยเพียงใด
พวกเขาจะยังอยู่ในเมืองหลวงหรือไม่?
ตราบใดที่พวกเขาไม่ได้อยู่ในเมืองหลวง ก็หมายความว่าผลประโยชน์ที่พวกเขาได้รับจากไป๋ซวงก็เพียงพอที่จะทำให้พวกเขากลับสู่ชนบทด้วยความพึงพอใจ
หลินม่ายโทษตัวเองที่ไม่เตือนพี่น้องไป๋ให้จับตาดูไป๋ซวง
บางทีพวกเขาอาจจับได้ว่าไป๋ซวงติดต่อกับพ่อแม่ผู้ให้กำเนิดอย่างลับๆ จะได้ขับไล่หล่อนออกจากบ้านตระกูลไป๋เสียตั้งแต่ตอนนั้น
หลินม่ายนึกเสียดายอยู่ในใจ
พ่อไป๋เห็นว่าหลินม่ายไม่ค่อยกินเป็ดย่าง จึงเดาว่าเธออาจเลี่ยน
เมื่อเห็นว่าบริกรกำลังเสิร์ฟซุปเป็ด เขาจึงตักให้หลินม่ายและขอให้เธอกิน
จากนั้นจึงเอ่ยถาม “ม่ายจื่อ ลูกคิดจะย้ายทะเบียนสำมะโนครัวเข้าสู่ครอบครัวเราเมื่อไหร่? พ่อคิดชื่อใหม่ให้กับลูกแล้วว่าไป๋เจียอวี๋ หมายความว่าลูกเป็นหยกล้ำค่าแห่งตระกูลไป๋ของเรา ชอบชื่อนี้หรือเปล่าล่ะ?”
พ่อไป๋มองหลินม่ายอย่างกระตือรือร้นเหมือนเด็กที่รอให้พ่อแม่ชื่นชม
หลินม่ายตกตะลึงไปครู่หนึ่ง
เธอไม่เคยคิดว่าพ่อไป๋จะตั้งชื่อให้เธอ
เธอยิ้มและปฏิเสธ “ฉันขอไม่เปลี่ยนชื่อและย้ายทะเบียนสำมะโนครัวเข้าสู่บ้านตระกูลไป๋ค่ะ”
สีหน้าของพ่อไป๋พลันเคร่งเครียด “ลูกกลัวว่าแม่กับไป๋ซวงจะไม่ต้องการให้ลูกย้ายทะเบียนสำมะโนครัวเข้าบ้านเราใช่ไหม? หรือกลัวว่าพวกหล่อนจะไม่เห็นด้วยที่ลูกใช้แซ่ไป๋? ไม่ต้องกังวลไปนะ มีพ่ออยู่ตรงนี้ ไม่สำคัญหรอกว่าพวกหล่อนจะเต็มใจหรือเห็นด้วยหรือเปล่า!”
หากไม่ยอมให้ลูกสาวแท้ ๆ ใช้นามสกุลของครอบครัว ก็คงจะดูใจร้ายมากเกินไป
ตราบใดที่ภรรยาของเขากล้าจะคัดค้าน เขาจะหย่ากับหล่อนและปล่อยให้หล่อนอยู่กับลูกสาวบุญธรรมสุดที่รักของหล่อนไปเสีย!
หลินม่ายหัวเราะเยาะในใจ หากเธอกลัวแม่ไป๋ขนาดนั้น เธอคงชวนแม่ไป๋มากินเป็ดย่างไปแล้ว
เธออธิบายด้วยรอยยิ้ม “เหตุผลไม่ใช่อย่างที่พ่อพูดเลยค่ะ แต่เหตุผลเป็นเพราะหนูกำลังจะแต่งงานกับจั๋วหราน และจะต้องย้ายทะเบียนสำมะโนครัวเข้าสู่บ้านของจั๋วหราน การย้ายไปมาหลายครั้งคงลำบากไม่น้อย ส่วนเหตุผลที่หนูไม่อยากเปลี่ยนชื่อเป็นเพราะผลกระทบของการเปลี่ยนชื่อมีมากเกินไป”
หลังจากหยุดครู่หนึ่ง เธอจึงอธิบายต่อ “ชื่อเป็นเพียงสัญลักษณ์ในสายตาของหนู มันไม่ได้สำคัญขนาดนั้น”
พ่อไป๋คิดอย่างรอบคอบและเข้าใจว่าสิ่งที่หลินม่ายพูดก็มีเหตุผล
เขากล่าวขึ้น “ถ้าอย่างงั้นเอาแบบนี้ดีไหม? ลูกไม่จำเป็นต้องเปลี่ยนชื่อ แต่เราจะตั้งชื่อเล่นให้กับลูก เป็นเพราะลูกมีจิตใจที่บริสุทธิ์และอ่อนโยน ดังนั้นเราจะเรียกลูกว่า เสวี่ยเป่า”
ทั้งไป๋ลู่และไป๋เซี่ยต่างมีท่าทางลิงโลด “ชื่อนี้ฟังดูดี ต่อไปนี้เราจะเรียกม่ายจื่อว่าเสวี่ยเป่า”
ไม่ว่าอย่างไรนี่ก็เป็นเพียงชื่อเล่น มีเพียงพ่อไป๋และพี่น้องไป๋เท่านั้นที่จะเรียกเธอ และชื่อนี้จะไม่ส่งผลกระทบต่อชีวิตทางสังคมของเธอ ดังนั้นหลินม่ายจึงตอบตกลงด้วยรอยยิ้ม
พ่อไป๋เราอย่างเด็ดเดี่ยว “แต่ไม่ว่าอย่างไรลูกก็ต้องย้ายทะเบียนสำมะโนครัวเข้าสู่ครอบครัวของเรานะ แม้ในอนาคตลูกจะต้องย้ายทะเบียนสำมะโนครัวเข้าสู่บ้านของจั๋วหรานและอาจเป็นเรื่องที่ลำบาก แต่ด้วยวิธีนี้พ่อก็จะได้สบายใจว่าลูกได้แต่งงานกับเขาอย่างถูกต้องแล้ว”
หลินม่ายครุ่นคิดเป็นเวลานาน แต่ก็พยักหน้าเห็นด้วย
ในเมื่อพ่อไป๋เต็มใจที่จะปฏิบัติต่อเธออย่างดี เธอก็ไม่ควรปฏิเสธเขา
หลังจากนั้นพ่อไป๋และพี่น้องไป๋ต่างก็กินจนอิ่มหนำสำราญ
สามพ่อลูกไปส่งหลินม่ายกลับโรงแรม
พ่อไป๋เห็นว่าโรงแรมที่หลินม่ายพักมีคุณภาพดี จึงพาลูกทั้งสองกลับไปด้วยความมั่นใจ
อย่างไรก็ตาม พวกเขาก็ได้นัดหมายกันไว้ว่าในเวลาเที่ยงของวันพรุ่งนี้ ครอบครัวทั้งห้าคนจะเดินทางไปกินปิ้งย่างและจะเดินทางไปเยี่ยมเยียนคุณปู่และคุณย่าไป๋ในตอนเย็น
หลินม่ายยิ้มและตอบตกลงด้วยความไม่มั่นใจว่าครอบครัวทั้งห้าคนจะเดินทางไปกินปิ้งย่างนี้นับรวมไป๋ซวงด้วยหรือไม่?
ไป๋เซี่ยกล่าว “เธอยังคงมีจิตใจเมตตาเสมอเลยนะ! ครอบครัวของเราห้าคนหมายถึงพวกเราและเธอ เราสามพี่น้องรวมพ่อกับแม่ นั้นก็ครบห้าคนแล้วไม่ใช่เหรอ?
หลินม่ายเข้าใจทันที
พ่อไป๋ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งและกล่าว “ลองโทรหาพี่เขยของพวกเธอสิ เขาเองก็จะเป็นหนึ่งเดียวกับครอบครัวของเราในไม่ช้าเหมือนกัน”
พ่อลูกกลับบ้านด้วยความสุข จนแม่ไป๋เห็นแล้วถามขึ้นทันที “กินดื่มกันมาจนอิ่มหนำแล้วใช่ไหมคะ?”
ไป๋ซวงยืนอยู่ข้างหล่อนและมองไปยังพ่อและลูกทั้งสามคนอย่างขุ่นเคือง จนคนที่ไม่รู้อาจคิดว่าพ่อไป๋และลูกของเขาทำอะไรให้แม่และลูกสาวคู่นี้ขุ่นเคืองใจ
อารมณ์ชื่นบานของพ่อไป๋ถูกทำลายอย่างสมบูรณ์ รอยยิ้มบนใบหน้าของเขาพลันหายวับ
เขาจงใจเผชิญหน้าอีกฝ่าย “ม่ายจื่อชวนเราไปกินเป็ดย่าง ตอนนี้เริ่มฤดูใบไม้ร่วงแล้ว เป็นฤดูของเป็ดย่างตัวอ้วน คุณคิดว่าเราจะกินดื่มจนอิ่มหนำหรือยังล่ะ?”
แม่ไป๋กล่าวด้วยความเสียใจ “พวกคุณพ่อลูกสามคนออกไปกินอาหารแสนอร่อยข้างนอกบ้าน แต่ฉันกับซวงเอ๋อร์กลับต้องกินบะหมี่ที่บ้านเนี่ยนะคะ”
พ่อไป๋เห็นดวงตาที่เศร้าสร้อยของแม่ไป๋แดงก่ำก็รู้สึกทนไม่ได้
เขาและแม่ไป๋ตกหลุมรักกันตั้งแต่แรกพบ ทั้งสองมีความสัมพันธ์ที่ดีต่อกัน
เนื่องจากฐานะทางครอบครัวของแม่ไป๋และการถูกตีกรอบ พ่อตาและแม่ยายจึงตกอยู่ภายใต้การดูแลของเขา
หลายคนเกลี้ยกล่อมให้พ่อไป๋หย่าร้างกับแม่ไป๋เพื่อไม่ให้เป็นผลร้ายกับตัวเขาเอง แต่เขากลับยืนกรานที่จะไม่หย่า
พ่อไป๋เชื่อว่าทั้งคู่จะจับมือและอยู่ร่วมกันไปได้จนแก่เฒ่า
ตอนนี้พวกเขาจับมือกันมาได้จนถึงขนาดนี้แล้ว ไม่ว่าจะต้องผ่านพายุฝนรุนแรงขนาดไหนก็ต้องไปต่อให้ได้
แม้สามีและภรรยาเป็นนกในป่าเดียวกัน แต่พวกเขาก็บินแยกกันเมื่อเกิดภัยพิบัติ
ดังนั้นแม้ว่าเขาจะผิดหวังกับแม่ไป๋อย่างสิ้นเชิง แต่หัวใจของเขาก็ยังอ่อนโยนเมื่อเห็นท่าทางเศร้าสร้อยของหล่อน
พ่อไป๋ลดระดับเสียงลง “บ้านเรามีเนื้อสัตว์เหลืออยู่มากมาย ทำไมถึงไม่ขอให้แม่บ้านช่วยทำอาหารให้ล่ะ”
เมื่อพูดอย่างนั้น เขาก็เหลือบมองไปยังไป๋ซวงและพูดประชดประชัน “โชคดีที่ไป๋ซวงมีสุขภาพดี การกินบะหมี่ผัดแห้งคงไม่ส่งผลกระทบอะไรกับหล่อนหรอก”
ในอดีต พ่อไป๋คงไม่กล้าป้อนบะหมี่ผัดแห้งให้ไป๋ซวง เพราะเกรงว่าสารอาหารจะไม่เพียงพอและจะไม่ดีต่อสุขภาพของหล่อน
แต่เมื่อเขาคิดถึงการแกล้งป่วยเป็นเวลาหลายปีเพื่อแย่งชิงความรักของไป๋ซวง พ่อไป๋ก็รู้สึกเกลียดชังหล่อนเป็นอย่างมาก
เดิมทีแม่ไป๋ต้องการจะหาเรื่องทะเลาะกับพ่อไป๋ แต่เมื่อเห็นว่าเขาไม่ได้ปฏิบัติต่อหล่อนดีเหมือนเมื่อก่อน หล่อนจึงไม่กล้าเอะอะโวยวาย
ในอดีต หากหล่อนบ่นเรื่องอาหารการกิน พ่อไป๋คงไปซื้ออาหารอร่อย ๆ ให้หล่อน และเขาจะไม่ตำหนิหล่อนที่ไม่ขอให้คนรับใช้เตรียมอาหารอร่อย ๆ ให้
หล่อนจำได้ว่าตอนที่ตัวเองตั้งครรภ์ครั้งหนึ่งแล้วอยากกินซาลาเปาจากร้านอาหารราคาแพง
ในเวลานั้นร้านซาลาเปายัดไส้ได้ปิดไปแล้ว แต่พ่อไป๋ก็ยืนกรานที่จะอ้อนวอนเถ้าแก่ร้านขอให้เขานึ่งซาลาเปาให้
เมื่อพ่อไป๋กลับมาพร้อมซาลาเปานึ่งด้วยความตื่นเต้น หล่อนกลับเผลอหลับไปเสียแล้ว…
มีคำกล่าวว่าผู้หญิงกลัวทุกอย่างยกเว้นผู้ชาย
และภาคภูมิใจที่ได้เป็นที่รัก
แม่ไป๋รู้สึกผิดอย่างมาก เมื่อถึงเวลาเข้านอนตอนกลางคืน หล่อนก็แอบร้องไห้เบาๆ
แม้เสียงนั้นจะไม่ดังมาก แต่พ่อไป๋ก็ได้ยินชัดเจน
นี่เป็นกลอุบายที่แม่ไป๋เคยใช้ในอดีต หล่อนร้องไห้ก็เพราะกำลังรอการปลอบโยนจากพ่อไป๋
หากเป็นเมื่อก่อน พ่อไป๋คงเป็นคนยอมปลอบหล่อนก่อน
หากผู้หญิงใช้อารมณ์อย่างเหมาะสมกับสถานการณ์ ชีวิตก็จะมีความสุขมากขึ้น ตราบใดที่มันไม่ใช่การใช้อารมณ์อย่างไร้เหตุผล
แต่เพราะเห็นแก่ไป๋ซวง แม่ไป๋ตอนนี้จึงมักจะสร้างปัญหาโดยไม่มีเหตุผล และหล่อนก็โกหกเป็นหลายครั้ง
พ่อไป๋รำคาญแทบตาย แม้ว่าบางครั้งเขาจะใจอ่อน แต่ส่วนใหญ่ก็คือรำคาญใจ
เขาไม่เพียงไม่พยายามเกลี้ยกล่อมแม่ไป๋เท่านั้น แต่ยังลุกขึ้นจากเตียง แล้วหยิบผ้านวมผืนบางออกจากตู้
แม่ไป๋หยุดร้องไห้และมองเขาอย่างงุนงง “นี่มันกลางดึกแล้ว คุณจะเอาผ้าห่มไปทำอะไรคะ?”
ความสัมพันธ์ระหว่างสามีและภรรยานั้นดีมาก และพวกเขาก็ห่มผ้าผืนเดียวกันตั้งแต่แต่งงาน
แต่ตอนนี้พ่อไป๋กลับพูดอย่างเฉยเมย “ผมจะไปนอนอีกห้อง”
จากนั้นเขาก็เดินออกจากห้องไปพร้อมกับผ้านวมผืนบางในอ้อมแขนโดยไม่รอการตอบสนองของแม่ไป๋
แม่ไป๋ตกตะลึงและสับสนเป็นอย่างมาก ราวกับว่าหล่อนและสามีกำลังเผชิญวิกฤตชีวิตคู่ สามีไม่ยอมนอนร่วมเตียงกับหล่อนแล้ว…
…………………………………………………………………………………………………………………………
สารจากผู้แปล
เริ่มมีสัญญาณว่าพ่อไป๋จะขอหย่าแล้วสิ ยัยแม่ไป๋จะตาสว่างทันไหมนะ
ไหหม่า(海馬)