แม่ปากร้ายยุค 80 - ตอนที่ 66 เด็กดื้อที่มีแม่คอยให้ท้าย
ตอนที่ 66 เด็กดื้อที่มีแม่คอยให้ท้าย
เมื่อสองแม่ลูกเดินไปจนเจอต้าเป่า ก็เห็นว่าเขากำลังกลั่นแกล้งเด็กผู้หญิงที่อายุน้อยกว่าอีกคนหนึ่ง
เด็กหญิงตัวน้อยถูกเขารังแกหนักข้อเข้าก็ร้องไห้เสียงดัง
หลินม่ายพูดเสียงขรึม “หยุดรังแกคนอื่นได้แล้ว!”
ถึงต้าเป่าจะยอมหยุดรังแกเด็กหญิงคนนั้น แต่เขากลับยังกลอกตาใส่เธออย่างท้าทาย ไม่เหมือนเด็กคนอื่น ๆ ที่หวาดกลัวว่าจะถูกผู้ใหญ่ลงโทษ
หลินม่ายพยายามตักเตือนเขาด้วยเหตุผล ว่าจากนี้ไปอย่าได้รังแกโต้วโต้วอีก แต่ดูเหมือนเขาไม่ค่อยเชื่อฟังเท่าไหร่นัก
ในเมื่อคุยด้วยเหตุและผลกับเด็กคนนี้ไม่ได้ ทั้งยังไม่สามารถรับประกันว่าเขาจะยอมเข้าใจหรือเปล่า หลินม่ายจึงต้องใช้วิธีขู่ให้เขากลัว “ครั้งต่อไปถ้าเธอยังรังแกโต้วโต้วอีก ฉันจะฟ้องพ่อกับแม่ของเธอ ให้พวกเขาลงโทษเธอเสีย!”
เด็กชายจอมดื้อรั้นตอบกลับอย่างกวน ๆ “ไปฟ้องสิ คิดว่าผมกลัวหรือไง!”
เด็กคนอื่น ๆ ที่มองเห็นเหตุการณ์เดินเข้าไปกระซิบกับหลินม่าย “ต่อให้คุณน้าจะเอาเรื่องที่เกิดขึ้นไปฟ้องแม่ของเขา แต่แม่ของเขาไม่มีทางลงโทษเขาแน่ ๆ”
“เขาเป็นลูกชายคนเดียวของครอบครัว แม่ของเขาเลยตามใจเขามาก ๆ”
เด็กหลายคนยังคงพูดคุยกันต่อไปด้วยสีหน้าจริงจัง ก่อนที่ใครคนหนึ่งจะตะโกนขึ้นมาว่า “พ่อต้าเป่ามาแล้ว!” จากนั้นก็วิ่งหนีกระเจิง
ต้าเป่าได้ยินก็ตกใจ ตั้งท่าเตรียมจะวิ่งหนีตามเพื่อน ๆ ไปบ้าง แต่หลินม่ายรีบคว้าแขนเขาไว้ก่อน พลางหันมองไปรอบ ๆ “คนไหนคือพ่อของเธอ?”
หลินม่ายอาศัยอยู่ในหมู่บ้านซานหยางมาระยะหนึ่งแล้ว แต่เธอมักจะออกไปขายของตั้งแต่เช้ามืด กว่าจะกลับมาก็เป็นช่วงสายของแต่ละวัน ถึงเธอจะคุ้นหน้าคุ้นตาคนส่วนใหญ่ในหมู่บ้านก็จริง แต่ไม่รู้ว่าใครชื่ออะไรบ้าง
ชายวัยกลางคนที่มีรูปร่างหน้าตาธรรมดา ท่าทางใจดี เดินเข้ามาหาเธอทันทีหลังจากได้ยินเสียงตะโกนนั้น เขาถามหลินม่ายว่า “เกิดอะไรขึ้นกับลูกชายผมหรือเปล่าครับ?”
หลินม่ายถามกลับ “คุณเป็นพ่อของต้าเป่าหรือคะ?”
ชายวัยกลางคนพยักหน้า
หลินม่ายจึงบอกให้โต้วโต้วเล่าให้พ่อต้าเป่าฟังว่าวันนี้ลูกชายของเขารังแกเธอถึงสองครั้ง แต่ละครั้งห่างกันแค่ไม่ถึงสองชั่วโมงเท่านั้นเอง
อีกทั้งยังบอกให้โต้วโต้วหันหลัง เพื่อแสดงรอยแผลฟกช้ำให้เขาดูเป็นการยืนยัน
พ่อต้าเป่าโกรธมาก ต้าเป่าอยากวิ่งหนีไปให้พ้น ๆ แต่แขนข้างหนึ่งของเขายังถูกหลินม่ายดึงรั้งไว้
พ่อของเขาจึงฟาดฝ่ามือตีลงบนก้นอ้วน ๆ ของเขาทันที “ฉันเคยสอนแกแล้วไม่ใช่เหรอว่าอย่าได้รังแกเด็กคนอื่น! ในเมื่อไม่เชื่อฟังก็ต้องถูกลงโทษ!”
พอต้าเป่าถูกทุบตีก็แผดเสียงร้องไห้ดังลั่น
หลินม่ายไม่คิดจะห้ามเขา เด็กคนนี้ดื้อรั้นเกินไป ถูกลงโทษเสียบ้างก็สมควรแล้ว!
เสร็จธุระแล้วเธอก็พาโต้วโต้วกลับบ้าน
หลังจากเดินจากไปได้แค่ไม่กี่ก้าว ก็ได้ยินเสียงตะโกนของผู้หญิงคนหนึ่งดังขึ้นจากข้างหลัง “ไอ้คนไม่รักดี ไอ้ผู้ชายไร้ประโยชน์ กล้าดียังไงถึงตีลูกของเรา! ฉันเคยบอกแล้วใช่ไหมว่าถ้าคุณทำให้ลูกเจ็บแม้แต่นิดเดียว คุณได้มีเรื่องกับฉันแน่!”
หลินม่ายหันไปมองตามเสียงด้วยความสงสัย เห็นหญิงร่างอ้วนวัยกลางคนวิ่งเข้ามาพลางทำหน้านิ่วคิ้วขมวด
หลังจากนั้นหล่อนก็ปรี่เข้าไปทุบตีพ่อต้าเป่าอย่างไม่รอช้า แล้วหันกลับมาโอ๋ลูกชาย
ต้าเป่าเห็นแบบนั้นก็ยิ่งร้องไห้หนักขึ้นเรื่อย ๆ เอาแต่ฟ้องผู้หญิงคนนั้นไม่หยุดปาก “แม่ครับ ผมเจ็บตรงนี้มากเลย ตรงนี้ก็เจ็บ!”
แม่ต้าเป่ากังวลใจมากจนไม่สนใจสามีตัวเองอีก สาละวนอยู่กับการตรวจสอบอาการบาดเจ็บของต้าเป่า ปากก็พูดปลอบประโลมเขาไปด้วย “โธ่ ต้าเป่า อย่าร้องไห้เลย เดี๋ยวมื้อเที่ยงแม่จะทำกับข้าวอร่อย ๆ ที่ลูกชอบให้กินนะ”
หลินม่ายเห็นแล้วถึงกับส่ายหน้า เด็กคนนี้ทำความผิดแต่กลับได้รับรางวัลปลอบใจ ถ้ายังเป็นแบบนี้ต่อไป ตลอดชีวิตนี้เขาคงไม่มีวันรู้ว่าตัวเองทำอะไรผิด ไม่น่าแปลกใจเลยที่เขามีนิสัยหยาบคายแบบนั้น
พอกลับถึงบ้าน สองแม่ลูกก็กินอาหารมื้อกลางวันด้วยกัน
ขณะที่ข้าวเพิ่งจะหุงสุก อาหารทะเลตากแห้งกับกุนเชียงที่หลินม่ายนำมาหุงรวมกับข้าวก็ส่งกลิ่นหอมเข้มข้นโชยออกมา จนโต้วโต้วถึงกับอดใจไม่ไหว เดินวนเวียนไปมารอบหม้อข้าวใบนั้น
ช่วงวันปีใหม่ที่ผ่านมา เธอมีโอกาสได้กินอาหารแห้งพวกนี้แล้วครั้งสองครั้งที่บ้านของคุณย่าฟาง ดังนั้นเด็กหญิงตัวน้อยจึงโปรดปรานกลิ่นหอมของมันเป็นพิเศษ
หลังจากกินอาหารกลางวันกันเสร็จแล้ว หลินม่ายว่าจะไปตลาดมืดเพื่อซื้อวัตถุดิบหลายอย่างไว้เตรียมเปิดร้านขายอาหารเช้าในวันพรุ่งนี้ จึงหันไปถามโต้วโต้วว่าจะไปด้วยกันหรือเปล่า
โต้วโต้วยังอยากเล่นกับเพื่อน ๆ หลินม่ายจึงเดินทางไปยังตลาดมืดเพียงลำพัง ครั้งนี้เธอต้องการซื้อส่วนผสมและเครื่องปรุงรสทั้งหมดที่จำเป็นสำหรับการทำเกี๊ยวให้ครบในคราวเดียว
หลังผ่านพ้นเทศกาลโคมไฟไปแล้ว ตลาดมืดก็กลับมาเงียบเหงาไม่คึกคักเหมือนก่อนหน้านี้ ราคาสินค้าต่าง ๆ ลดฮวบ แป้งและข้าวสารไม่แพงอีกต่อไป คนขายตั้งราคาพวกมันให้แพงกว่าร้านค้าธัญพืชและน้ำมันของรัฐแค่ 20% เท่านั้น
แต่เพราะเส้นบะหมี่และข้าวในร้านค้าธัญพืชและน้ำมันของรัฐส่วนใหญ่เป็นของเก่า ต่างจากที่นี่ที่นำของสดใหม่มาขาย ราคาที่แพงกว่ากัน 20% นี้จึงยังพอรับได้
อย่างไรก็ตาม พอเปรียบเทียบราคาเส้นบะหมี่และข้าวสารของที่นี่กับเมืองซื่อเหม่ยแล้ว เมืองซื่อเหม่ยขายของพวกนี้ในราคาที่ถูกกว่าตลาดมืดเสียอีก แถมยังมีราคาใกล้เคียงกับร้านค้าของรัฐในเมืองใหญ่
หลินม่ายจึงวางแผนว่าจะซื้อวัตถุดิบประเภทข้าว แป้ง และน้ำมันซึ่งเป็นสิ่งที่ต้องใช้ในปริมาณมากมาจากชนบทแทน จนกว่าธุรกิจของเธอจะเติบโต คงสามารถลดต้นทุนไปได้มากโข
แต่พอมาลองคิดดูอีกที ร้านขายเกี๊ยวข้างทางของเธอยังเป็นแค่ร้านค้าขนาดย่อม ไม่เหมาะที่จะซื้อของจำพวกแป้งจากชนบทมาตุนไว้ในปริมาณมาก
เนื่องจากสภาพอากาศในเมืองเจียงเฉิงค่อนข้างชื้นพอสมควร ถ้าเธอขนเอาแป้งหลายพันชั่งมาตุนไว้ น่ากลัวว่าในขณะที่ใช้แป้งไปยังไม่ถึงครึ่ง แป้งส่วนที่เหลืออาจเปียกชื้นจนเสียของ ไม่สามารถนำมาทำเกี๊ยวได้
ตอนแรกคิดว่าจะประหยัดค่าใช้จ่าย ไป ๆ มา ๆ อาจต้องจ่ายต้นทุนสูงกว่าเดิมโดยไม่รู้ตัว
หลังจากซื้อแป้งกับเครื่องปรุงรสต่าง ๆ แล้ว หลินม่ายยังต้องการซื้อสาหร่ายและกุ้งแห้งที่เป็นวัตถุดิบจำเป็นสำหรับทำเกี๊ยวเพิ่ม
กุ้งแห้งยังพอหาซื้อได้อย่างไม่ยากเย็น ด้วยความที่อยู่ติดกับมณฑลพันทะเลสาบ(1) สัตว์น้ำจึงค่อนข้างอุดมสมบูรณ์
เด็กตามชนบทจะใช้เวลาว่างจับกุ้งตัวเล็ก ๆ ให้ได้ในปริมาณมาก แล้วเอาไปตากแดดจัดในหน้าร้อนจนกลายเป็นกุ้งแห้ง แล้วขายให้กับตัวแทนจำหน่ายของตลาดมืด ได้ค่าตอบแทนเป็นเงินอันน้อยนิด
ดังนั้นทุกร้านในตลาดมืดจึงมีกุ้งแห้งราคาถูกวางขายอยู่เต็มไปหมด
ขณะเดียวกัน ในยุคสมัยที่จีนเพิ่งจะเริ่มวางแผนเศรษฐกิจและสังคม การคมนาคมขนส่งจึงยังไม่ทั่วถึง ทำให้สาหร่ายที่มักขึ้นตามชายฝั่งหาซื้อได้ยากในเมืองเจียงเฉิง
หลินม่ายเดินวนไปทั่วตลาดมืดสองถึงสามรอบ แต่ก็ยังไม่เห็นร้านไหนมีสาหร่ายขาย ในที่สุดก็ยอมแพ้
ได้แป้งสำหรับห่อเกี๊ยวแล้ว แต่จะขาดเนื้อหมูไปไม่ได้
น่าเสียดายที่เกษตรกรเลี้ยงหมูพากันเชือดหมูขายในราคาสูงลิบเมื่อประมาณหลายปีก่อน ทำให้แทบมองไม่เห็นร้านไหนในตลาดมืดที่มีเนื้อหมูขายเลย
ดังนั้นหลินม่ายจึงซื้อคูปองเนื้อจำนวนหลายใบจากคนขายคูปอง แล้วเดินทางไปที่ตลาดสดของรัฐเพื่อหาซื้อเนื้อหมู
หลังจากเทศกาลปีใหม่ ถึงแม้ว่าอัตราการจับจ่ายซื้อของอุปโภคบริโภคของชาวเมืองจะลดลงอย่างรวดเร็ว แต่ในตลาดสดของรัฐก็ยังคงมีมันหมูวางขายอยู่
ยุคนี้สิ่งที่ขายดีเป็นเทน้ำเทท่าก็คือมันหมู
มันหมูพวกนี้สามารถนำไปเคี่ยวกลั่นเป็นน้ำมันหมูได้ อีกทั้งยังช่วยให้เมนูง่าย ๆ อย่างข้าวผัดน้ำมันมีกลิ่นหอมชวนรับประทานไม่น้อย
ต่อให้ผ่านไปเกือบครึ่งปี น้ำมันหมูก็ยังไม่เหม็นหืน
โอกาสอันดีแบบนี้ไม่ได้มีบ่อย ๆ หลินม่ายซื้อมันหมูมาห้าชั่ง เนื้อขาหน้าสามชั่ง เนื้อขาหลังครึ่งชั่ง และกระดูกหมูขนาดใหญ่อีกหลายชิ้น
หลังออกมาจากตลาดสดของรัฐ หลินม่ายก็เดินอ้อมไปยังร้านเครื่องมือช่าง เพราะต้องการปั๊มกุญแจลานบ้านและกุญแจประตูบ้านให้โต้วโต้วเก็บติดตัวไว้
อีกหน่อยถ้าเธอไม่อยู่บ้าน เกิดโต้วโต้วเล่นจนเหนื่อยหรือกระหายน้ำขึ้นมา เธอจะได้ไขกุญแจเปิดประตูบ้านเข้าไปเอง เผื่อนอนพักผ่อนให้หายเหนื่อยหรือจิบน้ำดับร้อน
ถ้าจะทำเกี๊ยวขาย แน่นอนว่าเธอต้องต้มซุปกระดูกหมู เพื่อให้ซุปยังคงร้อนและสดใหม่ตลอดเวลาคงต้องใช้เตาถ่าน
ถ้าใช้เตาอั้งโล่เธอคงต้องคอยเติมฟืนอยู่ตลอดเวลาเพื่อไม่ให้ไฟมอด ซึ่งค่อนข้างลำบากทีเดียว แตกต่างจากเตาถ่านที่ไม่มีข้อเสียแบบนี้
เธอกลับไปที่บ้าน วางวัตถุดิบจำพวกของสดที่ซื้อมากองรวมไว้ก่อน แล้วลากรถเข็นไปที่สถานีหัวรถจักรเพื่อขอซื้อถ่านหุงต้มจำนวนหนึ่ง และเตาถ่านขนาดใหญ่อีกสองเตา
แต่ก่อนที่เธอจะเดินไปถึงหน้าประตู ก็เห็นเฉียนกั๋วเหลียงกำลังทำทีด้อม ๆ มอง ๆ อยู่รอบบ้าน
หลินม่ายไม่ได้ตะโกนเรียกให้อีกฝ่ายรู้ตัว จอดรถเข็นอย่างเงียบ ๆ ก่อนจะคว้าท่อนไม้ขนาดเหมาะมือขึ้นมาจากพื้น
จากนั้นก็ย่องเบาเข้าไปด้านหลังของเฉียนกั๋วเหลียง พร้อมกันนั้นก็เงื้อท่อนไม้ขึ้นสูง แล้วทุบลงบนตัวเขาทันที
ขณะที่ใช้ท่อนไม้ฟาดอีกฝ่ายก็ร้องตะโกนไปด้วยว่า “หัวขโมย มาช่วยกันจับหัวขโมยเร็ว!”
เพื่อนบ้านที่อยู่แวดล้อมบ้านของเธอทั้งซ้ายและขวารีบวิ่งออกไปทันที พยายามจับตัวเฉียนกั๋วเหลียงกันอุตลุด แล้วขู่ว่าจะจับตัวเขาส่งสถานีตำรวจ
เฉียนกั๋วเหลียงตื่นตกใจ รีบตะโกนแก้ต่าง “ฉันไม่ใช่ขโมย ฉันเอง กั๋วเหลียง!”
หลินม่ายได้ยินประโยคนั้นแล้ว แต่แกล้งทำเป็นหูทวนลมและระดมฟาดท่อนไม้ใส่เขาไม่ยั้งจนไม้หัก
หลังจากนั้นก็ทำทีเป็นขอโทษ พูดว่า “ตายแล้ว ที่แท้ก็เป็นคุณนั่นเอง น้ำท่วมวิหารราชันมังกร(2)จริง ๆ เลย ทำไมคุณถึงได้ทำท่าทางลับ ๆ ล่อ ๆ วนไปเวียนมาอยู่หน้าบ้านฉันแบบนี้ล่ะ? ฉันพาลคิดว่าคุณเป็นโจรที่จ้องจะขึ้นบ้านฉันซะอีก ขอโทษด้วย ขอโทษด้วยนะคะ…”
ถ้าคนที่ลงมือทุบตีเขาเป็นคนอื่น เฉียนกั๋วเหลียงคงไม่มีทางปล่อยผ่านไปง่าย ๆ แน่ หนำซ้ำยังจะถือโอกาสเรียกร้องค่ารักษาพยาบาลและค่าเสียขวัญเป็นจำนวนมาก
แต่เพราะเขาอยากชนะใจหลินม่าย จึงทำอะไรไม่ได้นอกจากกัดฟันข่มความเจ็บปวด แล้วโบกไม้โบกมือ “ไม่เป็นไร ไม่เป็นไร”
ว่าแล้วก็เดินโยกกะโผลกกะเผลกกลับบ้านของตัวเองไป
หลินม่ายยังคงตะโกนไล่หลังเขา “ต่อไปก็อย่าได้มาด้อมมองหน้าบ้านฉันอีกล่ะ ไม่อย่างนั้นฉันจะเหมารวมว่าคุณเป็นหัวขโมย แล้วทุบตีคุณให้หนักกว่านี้”
ความหมายที่เธอต้องการสื่อชัดเจนมาก ถ้าเขายังกล้ามารังควานเธออีก เธอจะไม่ปรานีเขาอีกต่อไป
บรรดาเพื่อนบ้านต่างคิดในใจว่าผู้หญิงคนนี้ช่างตัวเล็กพริกขี้หนูจริง ๆ
………………………………………………………..
มณฑลพันทะเลสาบ คือฉายาของมณฑลหูเป่ย
น้ำท่วมวิหารราชันมังกร เป็นสำนวนจากเรื่องเล่า หมายถึงความเข้าใจผิดที่เกิดขึ้นระหว่างคนกันเอง
สารจากผู้แปล
ไม่ธรรมดาเลยนะคะ ตัวเล็กแต่แสบ
ไหหม่า(海馬)