แม่ปากร้ายยุค 80 - ตอนที่ 661 การฝึกทหารที่โหดร้าย
ตอนที่ 661 การฝึกทหารที่โหดร้าย
ตกกลางดึก ฝนพลันกระหน่ำลงมาอีกครั้ง
หลินม่ายและเพื่อนร่วมห้องนอนหลับสนิท แต่จู่ ๆ พวกเธอก็ได้รับคำสั่งให้รวมตัวกันอย่างเร่งด่วน
ตลอดวันของการฝึกฝน ทุกคนปวดเมื่อยทั่วร่างกายจากความอ่อนล้า หลับสนิทอยู่บนเตียงอย่างแน่นิ่ง
แต่ตอนนี้ พวกเขาต้องลุกจากที่นอน รีบแต่งตัวแล้วออกไปชุมนุม
ฝนในคืนฤดูใบไม้ร่วงทำให้ร่างกายของพวกเขาเปียกโชกและหนาวสั่น
อาจารย์ยิ้มและถามทุกคนว่าหนาวไหม
ทุกคนตอบกลับอย่างพร้อมเพรียงกัน “หนาว!”
เพราะหากพวกเขาตอบกลับอย่างเฉยชา ครูฝึกจะต้องสั่งทำโทษอย่างแน่นอน
แต่พวกเขาไม่คาดคิดว่าเมื่อตอบกลับอย่างพร้อมเสียงไปแล้ว ครูฝึกก็ยังออกคำสั่งให้วิ่งรอบสนามสิบรอบ
เหล่านักศึกษารู้สึกเหนื่อยล้าจนแทบร่ำไห้ แต่ก็ไม่อาจทำสิ่งใดได้นอกจากวิ่งท่ามกลางพายุฝน
หลังจากวิ่งครบสิบรอบด้วยความยากลำบาก นักเรียนหลายคนก็กลับหอพักและผล็อยหลับไปโดยไม่อาบน้ำ
หลินม่ายเป็นเพียงคนเดียวที่ไปอาบน้ำชำระร่างกายก่อนจะเข้านอน
ทุกคนนอนหลับจนถึงเจ็ดโมงเช้าของวันรุ่งขึ้น และพยายามอย่างสุดความสามารถที่จะลืมตาตื่น
สิ่งแรกที่หลินม่ายทำเมื่อลืมตาคือ ทาน้ำมันดอกคำฝอยที่ขาทั้งสองข้างของเธอ
การฝึกฝนที่หนักหน่วงทำให้ขาของเธอทั้งเจ็บและปวด ไม่สามารถนอนหลับได้อย่างสงบในตอนกลางคืน
ขณะกำลังทาน้ำมัน เธอก็เห็นสวีชิงหยาเหลือบมองเธอเป็นครั้งคราว
จากรูปร่างหน้าตาและเสื้อผ้าของสวีชิงหยา เห็นได้ชัดว่าสภาพทางการเงินของครอบครัวเธอไม่ดีนัก
แม้ว่าทุกคนจะมีเบี้ยเลี้ยงเดือนละสิบแปดหยวน แต่ก็ต้องกิน ซื้อของใช้ประจำวัน และซื้ออุปกรณ์การเรียน จึงเหลือเก็บอยู่ไม่มาก
แม้ว่าจะมีเงินเหลือหนึ่งหรือสองหยวนทุกเดือน แต่เหล่าเด็กสาวที่รักสวยรักงามก็จะเก็บออมเพื่อซื้อเสื้อผ้า
หลินม่ายเดาว่าสวีชิงหยาไม่มีเงินซื้อน้ำมันดอกคำฝอย แต่ขาของหล่อนก็เจ็บและอยากใช้น้ำมันดอกคำฝอยนี้ ดังนั้นจึงมองดูพร้อมคิดว่าจะขอใช้น้ำมันดอกคำฝอยของหลินม่าย
แม้หลินม่ายจะไม่ใช่คนใจกว้าง แต่เธอก็ไม่ขี้เหนียวจนเกินเหตุ อีกทั้งเธอและรูมเมทยังไม่มีความเกลียดชังต่อกัน ดังนั้นจึงเป็นเรื่องดีที่จะสานสัมพันธ์
หลินม่ายยื่นน้ำมันดอกคำฝอยให้สวีชิงหยา “ฉันให้ยืม”
ใบหน้าของสวีชิงหยาเปลี่ยนไปทันทีราวกับว่าถูกดูแคลน “เธอหมายความว่ายังไง? เธอกำลังจะบอกว่าฉันยากจนจนไม่สามารถซื้อน้ำมันดอกคำฝอยเองได้อย่างนั้นเหรอ?”
หลินม่ายตกตะลึง เธอไม่เคยพบคนแปลกประหลาดเช่นนี้มาก่อนในชีวิต
ทำคุณบูชาโทษโปรดสัตว์ได้บาปเสียอย่างนั้น
หลินม่ายยอมรับความผิดพลาดอย่างจริงใจ “ฉันผิดเองที่พูดอะไรไม่ระวังจนเหมือนเป็นการดูถูกเธอ ขอโทษนะ”
เธอกล่าวพลางดึงน้ำมันดอกคำฝอยกลับคืน
ทุกวันนี้ การหาน้ำมันดอกคำฝอยไม่ใช่เรื่องง่าย ในเมื่อสวีชิงหยาไม่ยอมรับความใจดี ดังนั้นเธอจึงไม่หยิบยื่นน้ำใจให้อีกฝ่ายอีกต่อไป
สวีชิงหยาขอโทษทันทีเมื่อเธอเห็นหลินม่ายเฉยเมย จ้องมองน้ำมันดอกคำฝอยในมืออีกฝ่ายด้วยความตกตะลึง
หล่อนปฏิเสธเพราะต้องการให้หลินม่ายคะยั้นคะยอให้ตนใช้น้ำมันดอกคำฝอยนี้ แต่ทำไมหลินม่ายจึงนำกลับไปโดยไม่พูดอะไรอีก?
หลินม่ายไม่สนใจอีกฝ่าย หลังจากทำทุกอย่างจนเสร็จสิ้นแล้ว เธอก็เปลี่ยนเป็นชุดลายพรางและไปยังโรงอาหารเพื่อรับประทานอาหารเช้าพร้อมรับกล่องอาหารกลางวัน
แม้ว่าโรงอาหารจะมีชามและตะเกียบให้ แต่เธอก็กลัวว่าจะไม่ถูกสุขลักษณะ ดังนั้นจึงนำกล่องอาหารกลางวันมาด้วยตัวเองเพื่อความสบายใจ
ทันทีที่เดินออกจากหอพัก หลินม่ายก็เห็นฟางจั๋วหราน
เธอวิ่งไปหาเขาอย่างมีความสุขและกระโดดกอดเขา
ฟางจั๋วหรานกอดเธอและถามด้วยรอยยิ้ม “เมื่อคืนคุณนอนหลับสบายหรือเปล่า?”
เธอยิ้มและพยักหน้า “หลับสบายสิ! คุณมาทำอะไรที่นี่แต่เช้า?”
“ผมกำลังจะบินกลับไปเจียงเฉิงแล้ว เลยอยากพบคุณอีกครั้งก่อนจากไป”
ฟางจั๋วหรานวางเธอลง เดินจับมือเธอไปยังโรงอาหารเพื่อกินอาหารเช้าก่อนบอกลาซึ่งกันและกัน
หลินม่ายมองแผ่นหลังของเขาที่กำลังจากไปด้วยรู้สึกเศร้าหมองเล็กน้อยในใจ
การฝึกอีกห้าวันที่เหลือนั้นยากกว่าการฝึกกลางพายุเมื่อคืนนี้ นั่นคือการฝึกยิงเป้า
การฝึกยิงเป้าเป็นงานหนักมาก แรงสะท้อนกลับของกระสุนเป็นสิ่งที่ผู้หญิงส่วนใหญ่ทนไม่ได้ นับประสาอะไรกับการฝึกเป็นเวลาหลายชั่วโมงต่อวัน ซึ่งอันตรายถึงชีวิต
แต่หลินม่ายทนได้และยังคงเรียนรู้อย่างเพลิดเพลิน
การมีอีกหนึ่งทักษะเพิ่มขึ้นเป็นเรื่องที่ดีเสมอ
เป็นไปไม่ได้ที่เธอจะฝึกฝนจนเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านการยิงเป้าภายในห้าวัน แต่เธอก็ได้เรียนรู้การใช้ปืนอย่างเชี่ยวชาญ
การฝึกฝนตลอดทั้งวันนั่นทำให้ผู้คนเหนื่อยล้า หลายคนก็หมดแรงจนไม่อาจทรงตัวได้ ทำให้เพื่อนมากมายที่เหลืออยู่ก็ตามหอบหิ้วพวกเขากลับไปยังหอพัก
ภาระการซื้ออาหารจึงตกเป็นของหลินม่าย
ตราบใดที่ใครก็ตามขอให้หลินม่ายนำอาหารมาให้ หลินม่ายก็จะตกลง
สวีชิงหยาต้องการให้เธอนำอาหารมาให้ด้วย แต่ก็ไม่กล้าร้องขอ
หล่อนจ้องมองหลินม่ายด้วยสายตาเศร้าสร้อย ให้อีกฝ่ายเข้าใจว่าเธอหมายถึงอะไร และช่วยนำอาหารมาให้
หล่อนยังปฏิเสธที่จะขอร้องให้หลินม่ายนำอาหารมาให้ ดังนั้นจึงทำเพียงพยักหน้าทุกครั้งที่เพื่อนคนอื่นฝากซื้ออาหาร
แม้หลินม่ายเข้าใจว่าสวีชิงหยาหมายถึงอะไร แต่เธอก็แสร้งทำเป็นสับสน
เธอไม่ใช่พ่อแม่ของหญิงคนนี้ ดังนั้นจึงไม่จำเป็นต้องตามใจ!
เธอไม่ได้ซื้ออาหารให้สวีชิงหยาเลยสักครั้ง และสุดท้ายหลินม่ายก็ถูกเรียกเข้าไปถาม
หล่อนถามหลินม่ายว่าอีกฝ่ายรังเกียจตนหรืออย่างไร ทำไมไม่นำอาหารมาให้กับเธอด้วย
หลินม่ายถามกลับ “ฉันจะรู้ได้ยังไงว่าเธอฝากฉันซื้ออาหาร? หากฉันนำอาหารมาให้เธอ เธอก็จะไม่คิดว่าฉันดูถูกเธออีกเหรอ? เธอจะคิดยังไงก็เรื่องของเธอเถอะ!”
หลังจากนั้น เพื่อนร่วมห้องทุกคนก็ยกนิ้วโป้งให้หลินม่ายลับหลังสวีชิงหยา
พวกเขาแทบรอไม่ไหวที่จะสั่งสอนสวีชิงหยาแล้ว
ก่อนที่หลินม่ายจะมา เสิ่นอวิ้นฉลองวันเกิดของตัวเองและเชิญเพื่อนร่วมห้องทุกคนไปที่โรงอาหารเพื่อกินหมูตุ๋น
สวีชิงหยากลับกล่าวหาว่าเสิ่นอวิ้นดูถูกที่ชวนหล่อนกินหมูตุ๋น และหัวเราะเยาะหล่อนที่เป็นคนจน
เมื่อทุกคนพูดคุยข่าวและเหตุการณ์ปัจจุบันในหอพัก สวีชิงหยาก็โวยวายอีกครั้ง
หล่อนกล่าวหาทุกคนว่าพวกเขาไม่ต้องการคบหาสมาคมกับตัวเอง และไม่ยอมเล่าถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นให้กับหล่อนได้ฟัง
ไม่ว่าใครจะพูดอะไร มันก็จะกระตุ้นประสาทที่ละเอียดอ่อนของหล่อน และทำให้ผู้คนรู้สึกรำคาญใจ
เมียวเมียวมองขึ้นไปบนท้องฟ้าและถอนหายใจ “ฉันจะต้องอยู่กับหล่อนอีกสี่ปี ฉันจะอยู่รอดภายในสี่ปีนี้ยังไงเนี่ย?”
หลินม่ายไม่พูดอะไร แต่ในใจกลับคิดว่าหากเธอเพิกเฉยต่อสวีชิงหยา ตลอดสี่ปีนี้จะดำเนินไปอย่างไร? มันต้องวุ่นวายอย่างแน่นอน!
ไม่ว่าจะทรมานแค่ไหน ในที่สุดการฝึกฝนห้าวันก็ผ่านไป และในที่สุดก็มาถึงวันอาทิตย์
เช้าวันอาทิตย์ หลินม่ายเก็บข้าวของและกลับบ้าน
ไม่รู้ว่าคุณปู่ฟาง คุณย่าฟางและโต้วโต้วจะอยู่บ้านหรือไม่ และเป็นอย่างไรบ้างช่วงนี้
วันนี้เธอจะเดินทางไปท่องเที่ยวกับพ่อไป๋พร้อมเพลิดเพลินไปกับความงดงามของธรรมชาติ เห็นได้ชัดว่าเธอมีหลายสิ่งอย่างที่ต้องทำในวันนี้
เพื่อนร่วมห้องไม่แม้แต่จะลืมตาตื่น ทุกคนพูดกับเธออย่างงัวเงีย “หลินม่าย ถ้าเธอออกไปซื้อข้าวฝากซื้อกลับมาให้เราด้วยนะ”
หลินม่ายกล่าวด้วยความรู้สึกผิด “ฉันไม่ได้จะไปโรงอาหารน่ะ ฉันจะกลับบ้าน”
เพื่อนร่วมห้องต่างตกตะลึง “เธอมีบ้านในเมืองหลวงด้วยเหรอ?”
“ใช่” หลินม่ายมองดูนาฬิกา “ฉันรีบมาก ไปก่อนนะ”
กล่าวจบแล้วก็รีบเร่งออกไปทันที
เธอไปยังโรงเก็บจักรยานเพื่อนำจักรยานออกมาและปั่นไปที่ร้านซาลาเปา
ขณะที่กำลังจัดของ หลินม่ายถามว่าสัปดาห์นี้ธุรกิจเป็นอย่างไรบ้าง
เนื่องจากการฝึกฝน หลินม่ายจึงไม่สามารถออกมายังร้านได้สัปดาห์นี้ เธอขอให้ลูกจ้างสองคนมาหาตนเพื่อรับเงินไปซื้อส่วนผสมด้วยตัวเอง เปิดร้านและดำเนินธุรกิจแทนเธอ
ป้าหวังชี้ไปที่ลุงเหว่ย “ซาลาเปานึ่งของลุงเหว่ยขายดีกว่าของฉัน แต่ก็ยังเทียบไม่ได้กับซาลาเปาที่เธอทำ ดังนั้นธุรกิจของเราจึงไม่ดีเหมือนเดิม”
หลินม่ายพยักหน้า เก็บของและจากไป
เมื่อขี่จักรยานไปยังประตูลานบ้าน เธอก็รู้สึกตื่นเต้นเล็กน้อยเมื่อคิดว่าจะได้พบคุณปู่ฟางและโต้วโต้วในไม่ช้า
เธอต้องการทำให้คุณปู่ฟางและคนอื่น ๆ ประหลาดใจ ดังนั้นจึงค่อย ๆ เปิดประตูลานบ้าน
ขณะย่องเข้าไปในบ้าน ก่อนจะได้เห็นทุกสิ่งตรงหน้าอย่างชัดเจน อาหวงพลันพุ่งเข้ามาหาเธอพร้อมเห่าอย่างมีความสุขไปตลอดทาง หางของมันกระดิกเหมือนใบพัด
โต้วโต้ววิ่งออกมาพลางตะโกน “แม่จ๋า หนูคิดถึงแม่จ๋าจังเลย!” แล้วก็โผตัวเข้าไปในอ้อมแขนของหลินม่าย
หลินม่ายกอดหล่อนอย่างแรง “แม่ก็คิดถึงลูกมากเหมือนกัน แล้วก็คิดถึงปู่ย่าด้วย”
คุณปู่ฟางและคุณย่าฟางเดินออกมาจากบ้าน
คุณปู่ฟางยิ้มและโบกมือให้หลินม่าย “ปู่รู้ว่าวันนี้หลานจะกลับมา ใครบางคนทำซุปไก่ที่หลานชอบไว้ให้ตั้งแต่เช้าแล้ว เรามากินกันเถอะ”
หลินม่ายไม่ได้สังเกตคำว่า ‘ใครบางคน’ ในคำพูดของคุณปู่ฟาง เธอไปห้องน้ำเพื่อล้างมือแล้วเดินออกมา
จากนั้นเธอก็เห็นฟางจั๋วหรานออกมาจากครัวพร้อมกับชามซุปไก่สองสามชามบนถาด
ดวงตาของหลินม่ายฉายแววประหลาดใจแทบจะถลนออกมา “คุณมาที่นี่ได้ยังไงคะ?”
ฟางจั๋วหรานมองที่เธอและยิ้ม “ผมจะอยู่ที่นี่ทุกวันจากนี้ไป”
หลังจากคิดเรื่องนี้แล้ว หลินม่ายก็เข้าใจและถามอย่างยินดี “คุณย้ายงานมาที่เมืองหลวงแล้วเหรอ?”
“ก็ต้องเป็นแบบนั้นสิครับ ทุกคนย้ายเข้ามาอยู่ในเมืองหลวงกันหมด และมีเพียงคนเดียวที่อยู่ในเจียงเฉิง”
ฟางจั๋วหรานไม่มีทางบอกหลินม่ายว่าหลังจากกลับมายังเจียงเฉิง เขาคิดถึงหลินม่ายมากทุกวันจนกินไม่ได้นอนไม่หลับ ดังนั้นเขาจึงทำเรื่องย้ายมายังเมืองหลวง
ขณะที่เขาพูด เขาวางชามซุปไก่หลายชามไว้บนโต๊ะหินในสนามพร้อมบอกให้ทุกคนกินขณะที่ยังร้อนอยู่
หลินม่ายนั่งลงและถาม “คุณย้ายมาโรงพยาบาลไหนคะ?”
“โหย่วเหอ”
หลินม่ายกินซุปพลางเอ่ยถาม “ฉันเรียนในเมืองหลวงเพียงสี่ปีและจะกลับไปที่เจียงเฉิง เมื่อฉันเรียนจบและกลับไปที่เจียงเฉิง คุณก็ยังจะอยู่ในเมืองหลวงต่อไปเหรอคะ?”
ฟางจั๋วหรานกล่าว “ผมจะไปทุกที่ที่คุณอยู่ ถ้าคุณกลับไปที่เจียงเฉิง ผมก็จะย้ายกลับไปที่เจียงเฉิง”
หลินม่ายผงะไปครู่หนึ่ง “โรงพยาบาลไม่ใช่สวนผักนะคะที่คุณจะเข้าๆ ออกๆ ได้ตามใจชอบ”
ฟางจั๋วหรานตอบกลับ “คนอื่นเข้าและออกไม่ได้ตามอำเภอใจ แต่ผมทำได้ แต่เพื่อหลีกเลี่ยงความอับอาย หากผมย้ายกลับไปเจียงเฉิงในอนาคต ผมจะไม่กลับไปที่ผู่จี้ แต่ไปที่โรงพยาบาลจงหนาน”
หลินม่ายพยักหน้า
แม้ว่าโรงพยาบาลจงหนานจะไม่ดีเท่าโรงพยาบาลผู่จี้ แต่ก็ไม่ล้าหลังเกินไป
ฟางจั๋วหรานไปที่โรงพยาบาลจงหนานเพื่อทำงาน และเขาก็ไม่ได้รู้สึกว่านั่นเป็นการตัดสินใจผิด
หลังอาหารเช้า หลินม่ายบอกคุณย่าฟางว่าวันนี้เธอจะไปเที่ยวเซียงซานกับตระกูลไป๋
ระหว่างรับประทานอาหารเช้า คุณปู่ฟางและคุณยายฟางถามหลินม่ายเกี่ยวกับความสัมพันธ์ของเธอกับพ่อแม่ผู้ให้กำเนิดและคนอื่น ๆ
พวกเขารู้ว่าตอนนี้ครอบครัวกำลังแตกเป็นสองฝ่าย
แม่ไป๋และไป๋ซวงอยู่ฝ่ายเดียวกัน ส่วนพ่อไป๋และลูก ๆ อยู่ฝ่ายหลินม่าย
หลินม่ายกล่าวว่าพ่อไป๋พาทั้งครอบครัวไปที่เซียงซานในวันนี้เพื่อกระชับความสัมพันธ์ระหว่างครอบครัว
คุณปู่ฟางและคุณย่าฟางสนับสนุนทันที
แม้ว่าหลินม่ายจะไม่ได้อาศัยอยู่ในบ้านของตระกูลไป๋ แต่การมีความสัมพันธ์กลมเกลียวในครอบครัวก็เป็นสิ่งที่ดีเสมอ
โต้วโต้วไม่ได้เห็นหลินม่ายมาพักหนึ่งแล้ว แต่ในที่สุดวันนี้ก็ได้เห็น ดังนั้นไม่ว่าอย่างไรหล่อนก็ไม่ยอมแยกจากหลินม่ายพร้อมบอกว่าจะเดินทางไปยังเซียงซานกับเธอ
หลินม่ายไม่ได้ตอบตกลง
เธอบอกคุณปู่ฟางและคุณย่าฟางว่า การมาเยือนเซียงซานครั้งนี้เป็นไปเพื่อกระชับความสามัคคีในครอบครัว
แต่สถานการณ์ที่แท้จริงคือ พวกเขาทำการวางกับดักเพื่อให้ไป๋ซวงตกลงไป
เธอกลัวว่าการนำโต้วโต้วไปด้วยอาจส่งผลต่อแผนการทั้งหมด
แต่เมื่อลองคิดดูอีกที หากหลินเจี้ยนกั๋วและภรรยาของเขาได้เห็นโต้วโต้ว พวกเขาก็อาจจะหลงเชื่อในแผนการนี้มากยิ่งขึ้น
หลินม่ายสัมผัสใบหน้าเล็ก ๆ ของโต้วโต้วอย่างอ่อนโยน “ก็ได้จ้ะ โต้วโต้วของเราจะไปด้วย”
ฟางจั๋วหรานพูดจากด้านข้าง “ผมก็อยากไปเหมือนกัน”
………………………………………………………………………………………………………………………….
สารจากผู้แปล
อ้าว เจอรูมเมทที่เป็นโรคเจ้าหญิงเข้าเสียแล้วสิ สี่ปีนี้ม่ายจื่อจะอยู่มหาลัยยังไงไม่ให้ปวดประสาทกันนะ?
วางแผนขุดบ่อล่อปลาสินะ โต้วโต้วกับพี่หมออย่าทำแผนแตกล่ะ
ไหหม่า(海馬)