แม่ปากร้ายยุค 80 - ตอนที่ 671 แต่งงาน
ตอนที่ 671 แต่งงาน
ในบรรดาเพื่อนที่ดีที่สุดอย่างเช่นพวกเถาจืออวิ๋นแล้ว ยกเว้นเคอจื่อฉิงที่ไปฮ่องกงกับเฉินเฟิงและไม่สามารถมาได้เนื่องจากคลอดบุตร คนที่เหลือล้วนมาถึงในวันก่อนงานแต่งงาน
มีหลายครอบครัวของพี่น้องฟางเว่ยกั๋วอาศัยอยู่ในบ้าน หลินม่ายจึงจัดการหาที่พักในโรงแรมให้กับเพื่อนทั้งหมด
เพื่อนหลายคนไม่ได้เจอกันพักหนึ่งแล้ว จึงเป็นเรื่องดีที่ได้พบเจอกันอีกครั้ง
หลังจากหลินม่ายเลี้ยงเป็ดปักกิ่งเพื่อนเหล่านี้ เธอก็ถามเถาจืออวิ๋นและหลิวหย่งเจียงว่าจะจัดงานแต่งเมื่อใด
เถาจืออวิ๋นเหลือบมองฉีฉีที่กำลังนั่งกินเป็ดปักกิ่งกับโต้วโต้ว
เมื่อเห็นว่าเด็กน้อยตั้งหน้าตั้งตากินเป็ดย่างโดยไม่หันมามองด้วยซ้ำ หล่อนจึงกระซิบตอบไปว่า “อย่างน้อยก็วันปีใหม่ปีหน้า ฉันยังไม่ได้เตรียมใจเลย”
หลายคนพูดติดตลก “ชีวิตนี้เธอไม่เคยมีความรักหรือยังไง? ยังไม่ได้เตรียมใจอะไรอีก?”
“ต้องรอหมอหลิวก่อน” หลินม่ายม้วนเป็ดปักกิ่งส่งให้โจวฉายอวิ๋น “แล้วเธอล่ะ จะอยู่คนเดียวไปตลอดชีวิตจริงๆ เหรอ?”
โจวฉายอวิ๋นหน้าแดงและตอบกลับอย่างลังเล “เรื่องนี้… อาจไม่ใช่เสมอไป”
หลินม่ายยิ้มมีเลศนัยและพูดว่า “เรื่องเป็นยังไงกันเนี่ย”
เถาจืออวิ๋นและเสี่ยวหม่านรีบบอกหลินม่ายว่า โจวฉายอวิ๋นก็มีแฟนแล้วเช่นกัน
หลินม่ายถามด้วยความสนใจว่าแฟนหล่อนมาจากไหน? สภาพทางครอบครัวเป็นอย่างไร? แล้วเขามีนิสัยเป็นอย่างไร?
โจวฉายอวิ๋นบอกเธอด้วยความเขินอายว่า แฟนของหล่อนเป็นคนงานธรรมดาในโรงงานอาหารรสชาติพิเศษติ่งเซียง และชื่อของเขาคือหงตั่งเชิง
ครั้งหนึ่งขณะที่หล่อนกำลังเลือกซื้อผัก หญิงชราคนหนึ่งเดินเข้ามาชน แต่อ้างว่าหล่อนเป็นคนชนนาง
เมื่อทั้งสองเถียงกันอย่างไม่มีใครยอมใคร หงตั่งเชิงก็ก้าวออกมาข้างหน้าและทำท่าจะลากหญิงชราไปยังสถานีตำรวจเพื่อให้ตำรวจสอบสวน ทำให้หญิงชราที่เป็นฝ่ายเดินชนตกใจกลัว
หงตั่งเชิงเหมือนกับหล่อน เกิดในครอบครัวชาวนาธรรมดา และหล่อนก็คิดว่าเขาเป็นชายหนุ่มนิสัยดี
หลินม่ายรู้สึกมีความสุขไปกับหล่อน
แม้จะไม่ได้อคติกับหญิงสาวที่เป็นโสด แต่ส่วนใหญ่ชีวิตของพวกหล่อนจะดีขึ้นถ้าสามารถหาคู่ครองที่ชอบพอกันได้
ในที่สุดหลินม่ายก็หันไปถามเสี่ยวหม่านว่าหล่อนกับหลี่หมิงเฉิงจะแต่งงานกันเมื่อไหร่
เสี่ยวหม่านกำลังกินเป็ดย่างและตอบไปว่า “ฉันยังเด็กอยู่ ไม่รีบหรอก”
หลังจากกินเป็ดปักกิ่งจนอิ่มแล้ว หลินม่ายปฏิบัติตามกฎและย้ายไปยังบ้านพ่อไป๋สำหรับงานแต่งงาน
พ่อไป๋ดึงแขนเสื้อของเธอให้เดินตามไปยังห้องส่วนตัว ก่อนจะพูดด้วยความตื่นเต้นและดูลึกลับ “เข้าไปดูสินเดิมที่พ่อซื้อให้ลูกสิ!”
เมื่อพวกเขามาถึงหน้าประตูส่วนตัว พ่อไป๋ผลักประตูให้เปิดออก ก่อนเห็นว่าห้องนั้นเต็มไปด้วยของที่เป็นสินเดิมเจ้าสาว
มีตั้งแต่เครื่องนอน หม้อ กระทะ ข้าวของเครื่องใช้ทุกชนิด ซึ่งล้วนแล้วเป็นของดีมีราคา
หลินม่ายกุมศีรษะ “พ่อ ฉันมีทั้งหมดนี่แล้วค่ะ”
“พ่อรู้” พ่อไป๋ละล่ำละลัก “ก็ลูกไม่ได้เติบโตเคียงข้างพ่อมา พ่อจึงต้องการชดเชยให้!”
หัวใจหลินม่ายได้รับการปลอบประโลมอย่างอบอุ่น เธอจึงเข้าไปสวมกอดพ่อไป๋
พ่อไป๋เป็นคุณพ่อหัวโบราณที่ปฏิบัติตามกฎที่ว่า ลูกชายเลี่ยงแม่ ลูกสาวเลี่ยงพ่อ
หลินม่ายกอดเขาแน่น แต่เขาไม่กล้าแม้แต่จะวางมือลงบนแผ่นหลังของเธอ และเพียงลูบศีรษะน้อยๆ ของเธอแผ่วเบา
ไป๋ลู่วิ่งไปยังโต๊ะเครื่องแป้งของหลินม่าย หยิบกล่องเครื่องประดับที่สวยงามออกจากลิ้นชัก “นี่เป็นสินเดิมที่พ่อซื้อให้เธอเหมือนกัน”
หลินม่ายเปิดดูและพบว่ามันเป็นสร้อยทองคำ
พ่อไป๋พูดด้วยความเขินอาย “เงินสำหรับสินเดิมใกล้หมดแล้ว พ่อจึงซื้อได้แค่สร้อยทองเส้นนี้เท่านั้น”
หลินม่ายยิ้มหวาน “นี่ก็ดีมากแล้วค่ะ”
ไป๋ลู่หยิบกล่องเครื่องประดับอีกกล่องออกมา “ส่วนนี่คือของขวัญแต่งงานที่ฉัน พี่ชายและพี่สาว ช่วยกันซื้อให้เธอ”
หลินม่ายเปิดดูและพบว่ามันเป็นต่างหูทองคำคู่หนึ่ง
คนสมัยนี้ชอบทองรูปพรรณกันมาก
หลินม่ายกล่าวขอบคุณและรับของขวัญจากพวกเขา
ไป๋เซี่ยโผล่หัวออกมาและถามว่า “เสวี่ยเป่า ชอบของขวัญชิ้นนี้จากเราไหม?”
หลินม่ายตอบกลับด้วยรอยยิ้ม “ชอบสิ ทำไมฉันจะไม่ชอบมันล่ะ มันเป็นเครื่องประดับทองคำเลยนะ!”
จากนั้นไป๋เซี่ยก็ยิ้มอย่างมีความสุข
ขณะที่ไปซื้อต่างหูทองคำคู่นี้ พี่น้องทั้งสามคนช่วยกันเลือกเป็นเวลานาน เพราะเกรงว่าเสวี่ยเป่าจะไม่ชอบ
หลินม่ายมองดูสินเดิมทั่วทั้งห้อง รู้สึกซาบซึ้งใจและรู้สึกผิดเล็กน้อย
พ่อไป๋และพี่น้องทุกคนปฏิบัติต่อเธออย่างจริงใจ แต่เธอกลับเว้นระยะห่างกับพวกเขาเสมอ
ในเมื่อพ่อไป๋ พี่สาวคนโต และพี่น้องไป๋เซี่ยไป๋ลู่ปฏิบัติต่อเธอด้วยความจริงใจ เธอก็จะปฏิบัติต่อพวกเขาเหมือนครอบครัวในอนาคต
คืนนั้นไป๋เหยียนพี่สาวคนโตพาพี่น้องไป๋เซี่ยและไป๋ลู่ไปเตรียมของทุกอย่างสำหรับหลินม่ายที่จะสวมใส่ในวันพรุ่งนี้
พ่อไป๋ยืนมองอยู่ด้านข้าง อดยิ้มด้วยความตื้นตันไม่ได้
พรุ่งนี้มีเสื้อผ้ามากมายที่ต้องสวมใส่
มีชุดเจ้าสาวที่ใส่ในพิธีแต่งงาน ชุดที่ใส่ในช่วงงานเลี้ยง
ชุดเจ้าสาวหนึ่งชุด ชุดราตรีเก้าชุด ซึ่งเถาจืออวิ๋นจัดเตรียมทุกอย่างด้วยความรอบคอบสำหรับหลินม่าย
ชุดเจ้าสาวหนึ่งชุด หมายถึงการรักเดียวใจเดียว
ชุดราตรีเก้าชุด สื่อถึงการครองรักอย่างยาวนาน
เมื่อรวมทั้งสิบชุดเข้าด้วยกัน หมายถึงความรักที่สมบูรณ์แบบ
ฟางจั๋วหรานยังส่งเครื่องประดับทองคำที่ซื้อจากฮ่องกงและมงกุฎหงส์ไฟทองคำบริสุทธิ์มาให้เป็นการส่วนตัว
เพื่อที่เจ้าสาวของเขาจะดูงดงามที่สุดในวันพรุ่งนี้ หลินม่ายก็ดื่มยาสมุนไพรจีนที่ไป๋เหยียนพี่สาวคนโตต้มให้ และเข้านอนตั้งแต่หัววัน
เธอนอนหลับสนิทตลอดทั้งคืน ก่อนจะถูกเถาจืออวิ๋นปลุกให้ลุกขึ้นมาแต่งตัวก่อนเวลารุ่งสาง
หลินม่ายถามด้วยอาการสะลึมสะลือ “กี่โมงแล้ว?”
“จะตีห้าอยู่แล้ว แต่เธอยังหลับสนิท แล้วแบบนี้จะไปเป็นเจ้าสาวใครเขาได้ยังไง”
ขณะที่พูด เถาจืออวิ๋นก็ดึงหลินม่ายออกจากเตียงเหมือนกับถอนหัวไชเท้า
หลินม่ายขยี้ตาลุกออกจากเตียงและเดินเข้าห้องน้ำเพื่อล้างหน้าล้างตัว ก่อนจะเดินกลับเข้ามาในห้อง
ไป๋ลู่เข้ามาพร้อมกับโจ๊กข้าวโพดหนึ่งชามและไข่ต้มหนึ่งฟอง เพื่อให้เธอได้กินอิ่มท้อง
เพราะเมื่องานแต่งเริ่มขึ้น ในฐานะเจ้าสาวแล้ว เธอจะไม่ค่อยมีโอกาสได้กินอีก
ปกติหลินม่ายจะไม่ชอบกินอะไรเลี่ยนๆ ในตอนเช้า แต่อาหารเช้าวันนี้น้อยเกินไป และเธอจะต้องหิวมากภายในสองชั่วโมง
เธอถือถ้วยโจ๊กข้าวโพดแล้วถามว่า “ขอเป็นเกี๊ยวแทนได้ไหมคะ?”
ไป๋ลู่โบกมือ “พ่ออยากให้เธอกินอันนี้ เพราะมันไม่หนักท้องมาก”
หลินม่ายไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากกินโจ๊กข้าวโพด
หลังอาหารเช้า ทุกคนช่วยหลินม่ายแต่งตัว
ช่างภาพถูกเชิญมาถ่ายภาพตลอดพิธีการ เพื่อเก็บความทรงจำอันล้ำค่านี้ไว้ให้หลินม่าย
พ่อไป๋ ไป๋เซี่ย และหยางจิ้นผู้เป็นพี่เขยเริ่มเขียนคำยินดีพร้อมช่วยกันแขวนลูกโป่งหลากสี ในไม่ช้าลานขนาดเล็กก็กลายเป็นงานเลี้ยงรื่นเริง
ห้องนั่งเล่นเต็มไปด้วยญาติพี่น้องใกล้ไกล
ไม่เพียงญาติจากฝั่งตระกูลไป๋เท่านั้น แต่ยังมีญาติมากมายจากตระกูลหลัว
แม้ว่าแม่ไป๋และพ่อไป๋จะหย่าร้างกันแล้ว แต่ญาติจากฝั่งตระกูลหลัวและพ่อไป๋ยังคงไปมาหาสู่กันเหมือนเดิม
หลินม่ายเชิญเพื่อนเจ้าสาวมาทั้งหมดหกคน ซึ่งล้วนเป็นเพื่อนร่วมห้องของเธอ
กล่าวอีกนัยหนึ่งคือเธอได้เชิญเพื่อนร่วมห้องคนอื่นมาด้วยทั้งหมด ยกเว้นสวีชิงหยา
เพื่อนเจ้าสาวทุกคนสวมใส่ชุดสีแดงม่วงเหมือนกัน
การกำหนดสีเสื้อผ้าไม่ได้มีให้เห็นในงานแต่งงานของคนอื่น
ทุกวันนี้เสื้อผ้ายังคงมีราคาแพงมาก
ไป๋เหยียนพี่สาวคนโตคอยจัดแจงสิ่งต่างๆ อยู่เคียงข้าง
ราวเก้านาฬิกา ไป๋ลู่ที่ยืนอยู่ประตูลานบ้านมองไปรอบๆ และวิ่งกลับเข้ามาอย่างตื่นเต้น บอกว่าขบวนงานแต่งงานกำลังมา และเป็นขบวนที่ค่อนข้างยาว
ทันทีที่เธอพูดจบ ทุกคนได้ยินเสียงประทัดถูกจุดเสียงดังจากตรอกในระยะไกล และมีแนวโน้มที่จะดังมากขึ้นเรื่อยๆ ยามเมื่อเคลื่อนตัวเข้ามาใกล้
ไป๋เหยียนใช้ตะกร้าสองใบบรรจุขนมจำนวนมากที่ฟางจั๋วหรานและหลินม่ายซื้อมาจากฮ่องกง จากนั้นขอให้พี่น้องไป๋ลู่และไป๋เซี่ยแจกจ่ายขนมเหล่านี้แก่แขกที่ประตูลานบ้าน
ครอบครัวพ่อไป๋เพิ่งย้ายมาที่ตรอกจินอวี๋เมื่อไม่นานมานี้ และเพื่อนบ้านหลายคนยังไม่ค่อยรู้จักพวกเขาดีนัก
ทุกคนเห็นว่าพิธีแต่งงานใหญ่โต ขบวนรถงานแต่งยังเป็นรถยนต์ทุกคัน แล้วขนมจากครอบครัวฝ่ายหญิงยังเป็นของที่ซื้อมาจากฮ่องกง
พวกเขาจึงอดไม่ได้ที่จะพูดคุยกัน ลูกสาวตระกูลไป๋แต่งงานกับคนใหญ่คนโตที่ไหนกัน ถึงได้มีพิธีแต่งงานยิ่งใหญ่แบบนี้!
หลินม่ายไม่ได้เชิญแม่ไป๋และไป๋ซวงมางานแต่ง แต่พวกหล่อนทั้งสองยังมาร่วมงานในช่วงเช้า
กระนั้นกลับไม่กล้าเข้าไปในลาน และยืนดูงานแต่งงานอยู่ด้านนอกร่วมกับเพื่อนบ้านคนอื่นๆ
ท้ายที่สุดลูกสาวของตนกำลังจะแต่งงาน แม่ไป๋จึงอยากมาเห็นเธอมีความสุขในงานแต่งวันนี้
ส่วนไป๋ซวงมาดูว่างานแต่งงานของหลินม่ายจะยิ่งใหญ่สักแค่ไหน
หลังเห็นว่างานแต่งงานของหลินม่ายยิ่งใหญ่และสวยงามกว่าที่คิด แล้วยิ่งฟังความคิดเห็นของเพื่อนบ้านเหล่านี้ มันก็ทำให้หล่อนรู้สึกไม่สบายใจจนอกแทบแตก
ไป๋ซวงชำเลืองมองแม่ไป๋ ก่อนจะนินทากับเพื่อนบ้านละแวกนั้นอย่างโจ๋งครึ่มว่าหลินม่ายแต่งงานกับชายชราที่แต่งงานเป็นครั้งที่สามแล้ว โดยบอกว่าเจ้าบ่าวนั้นคงอยู่ได้อีกไม่นาน
หล่อนไม่กลัวว่าจะถูกแม่ไป๋ดุด่าสักนิดหลังจากใส่ร้ายหลินม่าย
ถ้าแม่ไป๋โกรธเมื่อใด หล่อนจะแสร้งทำตัวน่าสงสารและยอมรับว่าตนทำผิดพลาดไป จากนั้นก็รอดพ้นไปได้ทุกครั้ง
แม่ไป๋ขมวดคิ้วเล็กน้อย ไม่คาดคิดว่าเด็กคนนี้จะกล้าพูดอะไรแบบนั้น
บรรดาเพื่อนบ้านในละแวกนั้นไม่ได้รู้จักตระกูลไป๋เป็นการส่วนตัว เมื่อได้รับฟังคำพูดของไป๋ซวง พวกเขาจึงแสดงสีหน้าดูถูก
โดยเข้าใจว่าตระกูลไป๋เกาะติดคนรวยและไม่สนใจที่จะรักษาหน้าของตระกูลด้วยซ้ำ
ไป๋ซวงยิ้มเยาะด้วยความสะใจ ก่อนหันไปปลุกปั่นแม่ไป๋ว่า “แม่ ไม่ว่าแม่จะเคยทำอะไรกับม่ายจื่อ แต่แม่ก็ยังเป็นแม่ที่แท้จริงของหล่อนนะคะ หล่อนไม่ทำเกินไปหน่อยเหรอที่ไม่เชิญแม่มาร่วมงานแต่งของตัวเอง ทำไมแม่ไม่สั่งสอนบทเรียนให้หล่อนเสียล่ะคะ?”
แม่ไป๋ถูกอีกฝ่ายยั่วยุจนรู้สึกโกรธ กำหมัดแน่นแล้วคลายออก ก่อนจะกำแน่นอีกครั้ง
ในที่สุดก็พูดออกมาว่า “ช่างเถอะ แม่ไม่ต้องการทำอะไรหล่อนอีกแล้ว อย่างไรซะวันนี้ก็เป็นวันสำคัญของม่ายจื่อที่มีครั้งเดียวในชีวิต”
ไป๋ซวงบอกว่าแม่ไป๋ช่างใจดีเหลือเกิน แต่ความจริงหล่อนรู้สึกผิดหวังไม่น้อย
ขณะเดียวกันก็ยังรู้สึกขุ่นเคืองต่อแม่ไป๋อยู่บ้าง
ปากพร่ำบอกว่ารักหล่อนมากที่สุด แต่กลับปฏิเสธที่จะทำลายงานแต่งงานของลูกสาวตัวเอง ช่างตอแหลอะไรเช่นนี้!
ในไม่ช้า รถยนต์ก็เคลื่อนตัวเรียงรายมาถึงลานหน้าบ้านตระกูลไป๋
ฟางจั๋วหรานที่สวมชุดสูทสีดำทรงตรงและประดับดอกไม้แห่งความสุขของเจ้าบ่าวไว้ตรงหน้าอก ก้าวเท้าลงจากรถเมอร์เซเดส-เบนซ์
คราวนี้ทุกคนต่างก็ได้เห็นว่าเจ้าบ่าวทั้งหล่อและยังหนุ่ม ไม่เหมือนกับคำพูดของไป๋ซวง จึงพากันหันมองหล่อนด้วยความเหยียดหยาม
ใครคนหนึ่งถามไป๋ซวงออกไป “ไหนบอกว่าเจ้าบ่าวเป็นชายชราที่แต่งงานครั้งที่สามแล้วไง นี่มันชายหนุ่มผู้หล่อเหลาชัดๆ”
ไป๋ซวงตอบออกไปด้วยความเคอะเขิน “ฉันจำผิดน่ะค่ะ แฟนอีกคนของลูกสาวตระกูลไป๋ต่างหากที่เป็นชายชรา”
แม้ว่าเรื่องราวจะกลายเป็นแบบนี้ แต่หล่อนก็ยังไม่วายแอบใส่ร้ายหลินม่าย
ทว่าสำหรับคนที่เริ่มต้นด้วยการโกหก จึงแทบไม่มีใครเชื่อในสิ่งที่หล่อนพูดแล้ว
หลายคนมองหล่อนด้วยความเหยียดหยามอย่างมาก
งานแต่งของหลินม่าย พ่อไป๋ได้เชิญเพื่อนบ้านหลายคนจากตรอกเสี่ยวหยางมาด้วย
เพื่อนบ้านเหล่านั้นมารวมตัวกัน เมื่อได้ยินคำพูดของไป๋ซวง เพื่อนบ้านบางคนจึงพูดออกไปคล้ายกับไม่ตั้งใจ “เอ๊ะ! คนนั้นมันไป๋ซวงที่สมรู้ร่วมคิดกับพ่อแม่ผู้ให้กำเนิด แล้วมาลักทรัพย์บ้านของพ่อแม่บุญธรรมตัวเองใช่ไหมนี่? ศาลไม่ได้ตัดสินให้เฝ้าระวังหรืออย่างไร ถูกควบคุมพฤติกรรมแล้วยังไม่สำนึกผิด ยังกล้ามาใส่ร้ายลูกสาวแท้ๆ ของพ่อบุญธรรมในที่สาธารณะแบบนี้อีกเหรอ?”
ไป๋ซวงตื่นตระหนกทันที
หล่อนไม่คาดคิดว่าหลังจากพ่อไป๋และคนอื่นๆ ย้ายออกจากตรอกเสี่ยวหยาง เขาจะเชิญเพื่อนบ้านจากที่นั่นมางานแต่งงานของหลินม่ายด้วย
ยิ่งไปกว่านั้น หล่อนไม่คาดคิดว่าพวกเขาจะได้ยินคำพูดที่หล่อนพยายามว่าร้ายหลินม่าย
หล่อนตกใจและลนลานปฏิเสธ “ไม่ใช่ฉันนะ ไม่ใช่ฉัน อย่ามากล่าวหาฉันนะ!”
“เรากล่าวหาเธองั้นเหรอ?” เพื่อนบ้านเย้ยหยัน “พูดไร้สาระ!”
ไป๋ซวงอับอายอย่างมาก หล่อนเลิกล้มความคิดที่จะอยู่ที่นี่ต่อและรีบคว้ามือแม่ไป๋เดินจากไป
ใบหน้าแม่ไป๋บิดเบี้ยวน่าเกลียดเล็กน้อย
ทันใดนั้นหล่อนก็รู้สึกว่าไป๋ซวงเป็นตัวสร้างปัญหา
เพื่อนร่วมห้องหลายคนของหลินม่ายเห็นฟางจั๋วหรานและคนอื่นๆ เข้ามายังลานบ้าน ดังนั้นพวกเขาจึงปิดประตูห้องของหลินม่ายอย่างแน่นหนา และทำการขอซองแดงเพื่อผ่านประตู
พวกเขารับซองแดงจำนวนมากแต่ยังคงไม่ยอมเปิดประตูให้ และยังพยายามเรียกร้องฟางจั๋วหรานและเพื่อนเจ้าบ่าวต่อ
หลินม่ายทนเห็นแบบนั้นต่อไปไม่ได้และขอให้เพื่อนร่วมห้องหยุด
แต่เพื่อนร่วมห้องของเธอมีมติเป็นเอกฉันท์บอกให้เธออยู่ในห้องก่อน
ท้ายที่สุดแม้แต่ฟางจั๋วเยวี่ยก็ยังเข้ามาช่วยเกลี้ยกล่อมเพื่อนเจ้าสาว พี่ชายและน้องสาวพูดหว่านล้อมไปมากมาย ยกเว้นการถูกโกงซองแดงไปสองซอง ก็ไม่มีความคืบหน้าอื่นใด
เฉินเฟิงจึงฉวยโอกาสตอนที่เพื่อนเจ้าสาวเผลอ เขาปีนออกหน้าต่างและเปิดประตูอย่างรวดเร็ว
ในที่สุดฟางจั๋วหรานก็เข้าไปยังห้องส่วนตัวของหลินม่ายได้สำเร็จ ทำให้เพื่อนร่วมห้องหลายคนของหลินม่ายกระโดดขึ้นด้วยความโกรธ
ฟางจั๋วหรานมองหลินม่ายซึ่งสวมมงกุฎหงส์ไฟสีทองและชุดเจ้าสาว คิดในใจว่าภรรยาของเขาช่างงดงามยิ่งนัก
หลินม่ายมองฟางจั๋วหรานร่างโปร่งสูงในสูทสีดำ คิดในใจว่าสามีของเธอช่างหล่อยิ่งนัก!
สี่เหนียง [1] นำชามบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปมาให้ทั้งสอง และขอให้พวกเขากัดคนละคำ
ฟางจั๋วหรานและหลินม่ายกัดเส้นบะหมี่ ก่อนจะขมวดคิ้วทั้งคู่
สี่เหนียงที่ยกชามบะหมี่มาให้ถามด้วยรอยยิ้ม “ดิบหรือสุก?”
“ดิบ” ฟางจั๋วหรานตอบอย่างตรงไปตรงมา
หลายคนโห่ร้องขึ้นทันที “ได้ดิบ เจ้าบ่าวบอกว่ากำลังจะมีลูก”
จากนั้นใบหน้าหลินม่ายก็แดงก่ำด้วยความเขินอายจนเป็นสีเดียวกับชุดเจ้าสาวที่กำลังสวมใส่ตอนนี้
เธอคิดว่าพิธีคงจบแล้ว แต่ป้าสี่เหนียงได้นำไข่ลวกอีกชามมาให้เธอกับฟางจั๋วหรานกิน
หลินม่ายและฟางจั๋วหรานต่างก็กินไข่ลวกนั้น
สี่เหนียงถามพวกเขาว่าไข่แดงในไข่ลวกเป็นไข่ฟองเดียวหรือสองฟอง
ฟางจั๋วหรานตอบ “สองฟอง”
ทุกคนหัวเราะชอบใจ เพราะเจ้าบ่าวหมายถึงกำลังจะมีลูกแฝดให้กับหลินม่าย
ใบหน้าของหลินม่ายเวลานี้แดงก่ำยิ่งกว่าเดิม
………………………………………………………………………………………………………………………….
[1] สี่เหนียง (喜娘) คือ สตรีที่บ้านเจ้าบ่าวเชิญมาช่วยแนะนำขั้นตอนในพิธีต่างๆ แก่บ่าวสาว ซึ่งเป็นคนที่รู้ในธรรมเนียมเป็นอย่างดีและรู้จักพูดจา
สารจากผู้แปล
ขนาดวันแต่งงานม่ายจื่อยังมาก่อกวนอีกเรอะยัยไป๋ซวง ไม่โดนแขกรุมกระทืบก็บุญแล้ว
ไหหม่า(海馬)