แม่ปากร้ายยุค 80 - ตอนที่ 679 ลอบทำร้ายในตอนเช้า
ตอนที่ 679 ลอบทำร้ายในตอนเช้า
สวีชิงหยาร้องไห้ในหอพักทั้งกลางวันและกลางคืนราวกับว่าคนทั้งหอพักกำลังกลั่นแกล้งหล่อน
หลายคนถามเธอว่าทำไมหล่อนถึงเอาแต่ร้องไห้ แต่หล่อนก็ไม่ได้อธิบาย เพียงร่ำไห้อยู่อย่างนั้นไม่หยุดหย่อน
นักศึกษาหลายจึงเริ่มเชื่อว่าหลินม่ายและคนอื่น ๆ กลั่นแกล้งสวีชิงหยา
นักศึกษาบางคนที่ประพฤติตัวราวกับนักผดุงความยุติธรรมต่างต่อว่าหลินม่ายและเพื่อนร่วมห้อง
พวกเขารายงานต่อองค์การนักศึกษาพร้อมขอให้ให้เจ้าหน้าที่องค์การตำหนิหลินม่ายและคนอื่น ๆ
เหล่าเพื่อนร่วมห้องรู้สึกไม่พอใจอย่างมากจึงตัดสินใจร้องขออาจารย์ที่ปรึกษาเปลี่ยนหอพัก
หลินม่ายเองก็ทำแบบเดียวกัน
เธอไม่อยากเผชิญหน้ากับคนที่เอาแต่ให้ร้ายผู้อื่นและปล่อยพลังด้านลบทุกวัน
ที่ปรึกษาได้รับคำร้องและรายงานต่อผู้บังคับบัญชา หลังได้รับการอนุมัติ พวกเขาก็จัดหอพักให้กับทั้งเจ็ดคน
สวีชิงหยาร้องไห้เสียใจมากยิ่งขึ้น รู้สึกว่าแม้แต่มหาวิทยาลัยก็ยังเลือกปฏิบัติต่อหล่อน
มหาวิทยาลัยไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากเอ่ยถามความสมัครใจนักศึกษาที่เต็มใจพักร่วมหอพักเดียวกันกับสวีชิงหยา
เพื่อนร่วมชั้นที่เห็นอกเห็นใจสวีชิงหยาต่างยกมือขึ้นทีละคนเพื่อแสดงความเต็มใจที่จะอยู่หอพักเดียวกันกับหล่อน
โดยเฉพาะหลูเชวี่ย ยกมือขึ้นสูงสุดราวกับจะสามารถทะลุท้องฟ้าได้
มหาวิทยาลัยพิจารณาว่าหลูเชวี่ยเป็นเจ้าหน้าที่ขององค์การนักเรียน หล่อนมีสติสัมปชัญญะสูงและสามารถดูแลผู้อื่นได้ ดังนั้นพวกเขาจึงให้สวีชิงหยาย้ายไปที่หอพักของหลูเชวี่ย
ส่วนรูมเมทเดิมของหลูเชวี่ยจะต้องกลายเป็นรูมเมทของหลินม่าย
ทุกคนกลายเป็นรูมเมทที่ดีต่อกันอย่างรวดเร็ว
ในที่สุดทุกอย่างก็จบลงด้วยดี และวันเสาร์ก็เดินทางมาถึงอย่างรวดเร็ว
หลินม่ายลืมตาตื่นตั้งแต่หกโมงเช้าตามปกติ จากนั้นเธอจึงเดินทางไปยังร้านซาลาเปาเพื่อปรับปรุงสูตรไส้
เวลาหกโมงเช้าแห่งเมืองหลวงในเดือนตุลาคมไม่สว่างนัก มีเงามืดอยู่ทุกที่ และมีคนเดินถนนเพียงไม่กี่คน
หลินม่ายสวมชุดวอร์มและวิ่งออกจากประตูมหาวิทยาลัย
หลังจากปรับสูตรไส้ซาลาเปาในทุกวันจนเสร็จสิ้น เธอก็มักจะไปวิ่งออกกำลังกาย
ไม่นานหลังจากที่เธอวิ่งออกจากประตูมหาวิทยาลัย เงาดำมากมายก็โอบล้อมเธอราวกับสายฟ้า
หลินม่ายระมัดระวังตัวทันที
ทันทีที่เหล่าชายหนุ่มสวมหน้ากากมาถึง พวกเขาก็โจมตีหลินม่ายอย่างกะทันหัน
หลินม่ายตระหนักได้ทันทีว่าตนได้พบกับพวกอันธพาล จึงเริ่มการต่อสู้แบบเอาเป็นเอาตายกับพวกเขาทันที
แม้ว่าจะมีคู่ต่อสู้หกคน แต่หลินม่ายก็ไร้ความปรานี เธอโจมตีร่างกายส่วนล่างของคนเหล่านั้นอย่างสุดแรง
ในเวลาเพียงสิบนาที ชายหนุ่มทั้งหกคนที่โจมตีเธอต่างนอนกลิ้งและร้องโหยหวนพลางเอามือกุมเป้ากางเกงไว้
การกระทำของพวกเขาดึงดูดผู้คนที่เดินผ่านไปมา คนเหล่านั้นมองเหตุการณ์ตรงหน้าด้วยความประหลาดใจ
หลินม่ายขอความช่วยเหลือโดยหวังว่าพวกเขาจะโทรหาเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยของมหาวิทยาลัยชิงหวา และบอกว่านักเรียนของพวกเขาถูกโจมตีโดยพวกอันธพาลสวมหน้ากากซึ่งไม่ทราบที่มา
ผู้สูงอายุที่เดินผ่านไปมายังคงลังเลเล็กน้อย แต่นักเรียนมัธยมปลายหลายคนวิ่งไปบอกเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยที่ประตูมหาวิทยาลัยชิงหวาว่าเกิดอันตรายต่อหลินม่าย
ทันใดนั้น เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยหลายคนก็วิ่งเข้ามาควบคุมพวกอันธพาลสวมหน้ากากทั้งหกบนพื้น และส่งพวกเขาไปยังสถานีตำรวจพร้อมกับหลินม่าย
เมื่อไปถึงสถานีตำรวจ อันธพาลห้าในหกคนนั้นก็ทนแรงกดดันไม่ไหวและให้การรับสารภาพ
ทั้งห้าคนชี้ไปยังชายที่เอาแต่ปิดปากและไม่พูดอะไร “ลวี่กั๋วต้งเป็นคนขอให้เราแอบลักพาตัวหญิงสาวที่ชื่อหลินม่ายและลากเธอไปยังที่ที่ไม่มีใครอยู่เพื่อสอนบทเรียนให้เธอ”
จากนั้นตำรวจก็ถามลวี่กั๋วต้งว่าทำไมเขาถึงลักพาตัวและพยายามสอนบทเรียนให้กับหลินม่าย
เมื่อเรื่องนี้มาถึงจุดนี้แล้ว ลวี่กั๋วต้งทำได้เพียงพยายามสารภาพและอธิบายรายละเอียดทั้งหมดให้ตำรวจฟังเพื่อร้องขอการผ่อนปรนโทษ
เขาบอกว่าโกรธแค้นที่หลินม่ายใช้อุบายในการถ่ายภาพอนาจารไป๋ซวง ดังนั้นเขาจึงสั่งให้เหล่าชายนิรนามมาสอนบทเรียนให้กับหลินม่ายเพื่อระบายความโกรธในใจ
หลินม่ายถ่ายภาพอนาจารของไป๋ซวงตั้งแต่เมื่อไหร่กัน?
ขณะที่ตำรวจออกหมายเรียกไป๋ซวง พวกเขาก็ทำการสอบปากคำหลินม่ายด้วย
หลินม่ายรู้สึกประหลาดใจ “ฉันถ่ายภาพไม่เหมาะสมของไป๋ซวงงั้นเหรอคะ? ทำไมฉันถึงไม่รู้เลย? เรื่องนี้เกิดขึ้นเมื่อไหร่คะ?”
ตำรวจกล่าวด้วยความสุภาพ “มันเกิดขึ้นเมื่อเดือนมีนาคมปีที่แล้ว หากคุณบอกว่าไม่ได้ทำ คุณมีพยานไหมครับ?”
“ฉันมีพยานค่ะ และมีหลายคนด้วย” หลินม่ายกล่าว “เมื่อเดือนมีนาคมที่ผ่านมาเป็นวันที่ฉันสอบเข้ามหาวิทยาลัย ในเวลานั้นฉันอยู่ที่เจียงเฉิงตลอดเพราะต้องเตรียมตัวสอบเข้าวิทยาลัยและทำธุรกิจในเวลาเดียวกัน ดังนั้นฉันไม่มีเวลามาปักกิ่งเพื่อถ่ายรูปอนาจารของไป๋ซวงหรอกค่ะ หากจะถามหาพยาน ถ้าคุณไปที่เจียงเฉิงเพื่อรวบรวมหลักฐาน คุณก็สามารถหาพยานได้มากเท่าที่ต้องการเลยค่ะ ทั้งครูและเพื่อนร่วมชั้นที่มหาวิทยาลัย ตลอดจนเพื่อนบ้านในละแวกนั้น ทุกคนสามารถเป็นพยานให้ฉันได้”
ตำรวจสองคนที่รับผิดชอบการสอบสวนกระพริบตา
หากสิ่งที่หลินม่ายพูดเป็นความจริงทั้งหมด แสดงว่าลวี่กั๋วต้งกำลังโกหก
ในเวลานี้หลินม่ายได้ให้เบาะแสใหม่
ว่ากันว่าพี่สาวของไป๋ซวงหาผู้ชายมากกว่าสิบคนมาเพื่อข่มขืนไป๋ซวงและถ่ายรูปอนาจารของหล่อน
เป็นไปได้ไหมว่าลวี่กั๋วต้งเข้าใจผิด คิดว่าเธอชื่อหลินเพ่ย
แม้พวกเธอทั้งสองจะมีนามสกุลหลิน แต่ชื่อของพวกเธอก็แตกต่างกันอย่างมาก เป็นไปไม่ได้ที่เขาจะฟังผิด
หลินม่ายจึงมีเหตุผลจงใจดึงเรื่องอื้อฉาวเกี่ยวกับไป๋ซวงออกมา
เพราะการที่เธอถูกโจมตีในครั้งนี้ ไป๋ซวงอาจเป็นผู้อยู่เบื้องหลัง ดังนั้นเธอจึงต้องต่อสู้กลับ
การโต้กลับที่ดีที่สุดคือการบอกให้ทุกคนรู้ว่ามีคนวางแผนทำลายไป๋ซวง โดยทำการข่มขืนและถ่ายรูปอนาจารของหล่อน
เรื่องนี้ไม่เพียงจะทำลายชื่อเสียงของเธอเท่านั้น แต่ยังอาจทำให้ลวี่กั๋วต้งทิ้งหล่อนไปอีกด้วย
ในท้ายที่สุดแล้วก็คงมีชายเพียงไม่กี่คนในโลกที่สามารถยอมรับหญิงที่เคยผ่านชายมานับสิบคนได้
แต่นั้นก็ไม่ได้หมายความว่าจะไม่มีชายใดยอมรับได้เลย
ตัวอย่างเช่นอู๋เสี่ยวเจี๋ยน หลินเพ่ยทั้งก่นด่าและต่อว่าเขา แต่เขากลับไม่เคยโกรธหรือคิดจะทอดทิ้งหล่อนไป
แต่หากเป็นเธอไปบอกว่าหลินเพ่ยพูดไม่ดีกับเขา เขาคงจับหัวเธอโขกกำแพงไปแล้ว
แม้จะไม่อาจมั่นใจได้ว่าชายที่หลงรักไป๋ซวงด้วยสุดหัวใจจะทอดทิ้งหล่อนไปหลังจากได้รับรู้เรื่องนี้ แต่เธอก็ต้องลองดูก่อน
นอกจากนี้ การมีส่วนร่วมของหลินม่ายในเหตุการณ์นี้มีจุดประสงค์อื่น นั่นก็คือเพื่อให้หลินเพ่ยได้รับการลงโทษที่หล่อนสมควรได้รับ แทนที่จะนั่งอยู่ในคุกเพียงไม่กี่ปี
ในตอนนั้น พ่อไป๋เต็มใจปล่อยหลินเพ่ยไป เพราะเขากลัวว่ารูปถ่ายอนาจารของไป๋ซวงจะถูกแพร่กระจาย
แต่เธอไม่กลัวและเธอกระตือรือร้นที่จะทำมัน
นายตำรวจทั้งสองฟังด้วยสีหน้าขึงขังผิดปกติ
เมื่อตำรวจนัดตรวจอาการบาดเจ็บของหลินม่าย พวกเขาก็ทำการสอบปากคำลวี่กั๋วต้งอีกครั้ง
ตำรวจถามว่าเขารู้จักหลินเพ่ยหรือไม่ ลวี่กั๋วต้งส่ายหัวด้วยความสับสน
ตำรวจเรียกตัวทุกคนที่รู้เรื่องคดีความอัปยศอดสูของไป๋ซวงตามคำบอกเล่าของหลินม่ายมาสอบสวน นั่นคือครอบครัวของพ่อไป๋
เมื่อพ่อไป๋และพี่น้องไป๋รู้ว่าไป๋ซวงยังคงทำตัวเป็นปีศาจและต้องการทำร้ายหลินม่าย พวกเขาทั้งหมดก็เต็มไปด้วยความขุ่นเคือง
ทุกคนต่างบอกเล่าเป็นเสียงเดียวกันว่า ไป๋ซวงถูกชายนับสิบข่มขืนและถ่ายภาพอนาจารเก็บไว้
พ่อไป๋ยอมรับความผิดพลาดของเขาอย่างจริงใจ เพื่อปกป้องชื่อเสียงของไป๋ซวง เขาจึงรายงานเท็จและแจ้งความเท็จ
ด้วยเหตุนี้ พ่อไป๋จึงรายงานเท็จต่อตำรวจ ซึ่งเป็นเรื่องที่เข้าใจได้
นอกจากนี้ การแจ้งความเท็จต่อตำรวจไม่ได้ก่อให้เกิดผลกระทบร้ายแรง ตามกฎหมาย เขาเพียงต้องจ่ายค่าปรับด้านความปลอดภัยสาธารณะเท่านั้น
คนธรรมดาไม่ค่อยรู้เรื่องกฎหมาย แม้แม่ไป๋จะเป็นครู หล่อนก็ไม่รู้เรื่องกฎหมายมากนัก
เมื่อตำรวจสอบปากคำหล่อน สิ่งแรกที่หล่อนคิดคือ พ่อไป๋เป็นผู้กระทำผิด
หากหล่อนพูดความจริง พ่อไป๋จะต้องรับผิดตามกฎหมายหรือไม่?
เมื่อคิดได้ดังนั้นหล่อนจึงลองเสี่ยงดูและเล่าความจริงทั้งหมดเกี่ยวกับคดีนี้ให้ตำรวจฟัง
หล่อนยังบอกอีกด้วยว่า เพื่อปกป้องชื่อเสียงของไป๋ซวง พ่อไป๋สมรู้ร่วมคิดกับหลินเพ่ยเพื่อบิดเบือนความจริงของคดีนี้
เขาถอนแจ้งความหลินเพ่ยในคดีสั่งให้ผู้อื่นข่มขืนไป๋ซวงและถ่ายรูปอนาจาร แต่แจ้งความหล่อนในคดีลักทรัพย์แทน
เมื่อพ่อไป๋และคนอื่น ๆ ถูกตำรวจสอบปากคำ ไป๋ซวงก็ถูกตำรวจสอบปากคำเช่นกัน
ลวี่กั๋วต้งพาชายสองสามคนไปลอบทำร้ายหลินม่ายในตอนเช้า และไป๋ซวงก็รู้เรื่องนี้
แม้ว่าหล่อนจะนั่งอยู่ในห้องเรียน แต่หัวใจของหล่อนก็กำลังรอข่าวดีจากลวี่กั๋วต้ง
ลวี่กั๋วต้งกล่าวว่าเขาจะไม่เพียงทุบตีหลินม่ายอย่างรุนแรงเท่านั้น แต่ยังจะถ่ายรูปอนาจารเธอด้วย
หลังจากถ่ายรูปอนาจารแล้ว เขาจะขู่ให้เธอไปกราบไป๋ซวงเพื่อยอมรับความผิดพลาดของตัวเอง
เมื่อไป๋ซวงคิดว่ารูปถ่ายที่ไม่เหมาะสมของหลินม่ายจะตกอยู่ในมือของตน หล่อนก็อดไม่ได้ที่จะแสดงรอยยิ้มที่ชั่วร้าย
แต่หล่อนไม่คาดคิดว่าแทนที่จะได้รับข่าวดีจากลวี่กั๋วต้ง ตนกลับได้รับหมายเรียกจากตำรวจแทน ซึ่งเรื่องนี้ทำให้หล่อนตื่นตระหนกเป็นอย่างมาก
เมื่อมาถึงสถานีตำรวจ ตำรวจได้สอบปากคำว่าหล่อนสนับสนุนให้ลวี่กั๋วต้งนำคนมาลอบทำร้ายหลินม่ายหรือไม่ แต่ไป๋ซวงปฏิเสธอย่างเด็ดขาด
หล่อนบอกกล่าวต่อตำรวจว่า ตนเพียงเล่าเรื่องที่พ่อไป๋ต้องการหย่าร้างกับแม่ไป๋เพราะเห็นแก่หลินม่ายให้กับลวี่กั๋วต้งฟัง
ลวี่กั๋วต้งรู้สึกโกรธมากเมื่อได้ยินเช่นนั้น และบอกว่าจะยืนหยัดเพื่อหล่อน
หล่อนคิดว่าลวี่กั๋วต้งเพียงพูดเล่น ไม่ได้จริงจังอะไร ไม่คิดว่าเขาจะทำแบบนี้
ไป๋ซวงร้องไห้อย่างขมขื่น หล่อนเสียใจที่ตนไม่ได้พยายามอย่างเต็มที่เพื่อห้ามปรามลวี่กั๋วต้งในเวลานั้น จึงทำให้เกิดหายนะครั้งใหญ่เช่นนี้
ตำรวจเล่าคำสารภาพของไป๋ซวงต่อลวี่กั๋วต้ง
ลวี่กั๋วต้งมีสีหน้าบูดบึ้งในตอนแรก แต่เขาก็สงบสติอารมณ์ได้อย่างรวดเร็ว
เขายอมรับกับตำรวจว่า คำให้การก่อนหน้านี้ของเขาเป็นเท็จทั้งหมด
ไป๋ซวงไม่เคยสนับสนุนให้เขาลอบทำร้ายหลินม่าย ทุกอย่างเป็นความคิดของเขาเอง
เหตุผลที่เขาต้องการสอนบทเรียนให้กับหลินม่าย เพราะเขาเห็นว่าตั้งแต่หลินม่ายกลับมายังบ้านตระกูลไป๋ ชีวิตของไป๋ซวงก็แย่ลงทุกวัน
เขาและไป๋ซวงเป็นเหมยเขียวม้าไม้ไผ่มาตั้งแต่เด็ก เขาทนไม่ได้ที่เห็นหล่อนอยู่ด้วยความลำบากใจ ดังนั้นจึงคิดจะยืนหยัดเพื่อหล่อน
นอกจากนี้ วันที่ 9 ตุลาคมยังเป็นวันเกิดของไป๋ซวง แม้ว่าวันเกิดของหล่อนจะผ่านมาหลายวันแล้ว เขาก็ยังต้องการจะสั่งสอนหลินม่าย
นับว่าเป็นการยิงปืนนัดเดียวได้นกสองตัว ไม่เพียงถือเป็นของขวัญให้กับไป๋ซวง แต่ยังเป็นการช่วยเหลือหล่อนด้วย
เมื่อลวี่กั๋วต้งรับผิด ไป๋ซวงก็เดินออกจากสถานีตำรวจโดยไม่ได้รับโทษได้เลย
ณ ประตูสถานีตำรวจ หล่อนพบแม่ไป๋ พ่อไป๋ และคนอื่น ๆ
เมื่อแม่ไป๋เห็นว่าพ่อไป๋ยืนอยู่กับลูก ๆ ทั้งหลายโดยไม่ได้รับโทษใด หล่อนก็รับไม่ได้
แม่ไป๋หันไปถามเจ้าหน้าที่ตำรวจที่เพิ่งสอบปากคำหล่อนพลางชี้ไปยังพ่อไป๋ “ทำไมเขาไม่ถูกจับในข้อหาแจ้งความเท็จล่ะคะ?”
ตำรวจอธิบายเหตุผลกับหล่อนอย่างอดทน แต่แม่ไป๋ก็ยังคงไม่พอใจ
พ่อไป๋และลูก ๆ ของเขาเผยท่าทางเย็นชา นี่เป็นครั้งที่สองที่แม่ไป๋ต้องการทำลายพ่อไป๋
ขณะที่คนทั้งสองกลุ่มออกไปพร้อมกัน ตำรวจคนหนึ่งก็หยุดไป๋ซวงทันที “อย่าเพิ่งไป เรามีอะไรต้องคุยกับคุณอีกสักนิดครับ”
………………………………………………………………………………………………………………………….
สารจากผู้แปล
ดีที่หลินม่ายฝึกศิลปะป้องกันตัวไว้ ไม่งั้นคงเสร็จนังงูพิษนี่แน่
ขอให้มีจุดเปลี่ยนสักทีเถอะ ใครก็ได้ทุบนังงูพิษนี่ให้แบนที
ไหหม่า(海馬)